ภรรยาคนที่เจ็ดของประธาน

ตอนที่ 173 ชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ (1)



ตอนที่ 173 ชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ (1)

สองสามีภรรยาแห่งตระกูลทรัพยสานมาที่ห้องของลูก สะใภ้ ต่างมองไปที่ลูกชายที่เจ็บปวดรวดร้าวและลูกสะใภ้ที่ มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก รับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจของ สองสามีภรรยา

“ปยุต มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ลูกรีบเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม พ่อกับแม่ไม่เชื่อว่าลูกจะเหลวไหลแบบนั้นหรอกนะ”

นายหญิงแห่งตระกูลทรัพยสานมีสีหน้ากังวลมองไปยัง ลูกชาย ปยุตหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ค่อยๆรื้อฟื้น ความในใจที่ไม่ยินดีจะบอกใครออกมา หากไม่ใช่วันนี้ จันทรมาหาเขาถึงที่บ้าน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเอาความ ลับนี้ซ่อนไว้ยังก้นบึ้งของหัวใจ

เมื่อเขาสารภาพความจริงที่เกิดขึ้นในคืนนั้นออกมาอย่าง หมดเปลือก ธามันโมโหจนเอากำปั้นชกที่กำแพงอย่าง แรง: “ผู้หญิงคนนี้ที่แท้ก็ขายตัวเองเหมือนกับแม่มันไม่มี ผิด ตอนนั้นมันก็ใช้กลอุบายแบบนี้หลอกล่อผมเหมือนกัน! เขายังขึ้นเสียงพูดต่อว่า : “คิดไม่ถึงว่าคุณพ่อของพวกเรา ที่ฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด กลับตกหลุมพลางพวก มันสองแม่ลูกเข้า ไม่น่าเลยจริงๆ

“อย่างว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ตอนนี้เรื่องก็เกิดขึ้น มาแล้ว โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร พวกเรามาช่วยกัน คิดหาทางแก้ไขกันดีกว่า”
นายหญิงแห่งตระกูลทรัพยสานทอดสายตามองไปที่ ลูกสะใภ้ กล่าวอย่างปวดใจว่า : “หนูผลิน แม่รู้ว่าหนูยัง ทำใจไม่ได้ในตอนนี้ หนูทำใจเย็นๆก่อนนะ พ่อแม่และ ปยุตจะอยู่เคียงข้างหนูเสมอ ไม่ให้นั่งจิ้งจอกพันหน้านั้น มาทําลายครอบครัวของพวกเราได้หรอกจ้ะ”

หลังจากที่ได้ฟังปยุตอธิบายชัดเจนแล้ว ผลินก็ไม่ได้มี ปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรมากนัก ในหัวของเธอนั้นได้แต่คิดถึง ภาพที่จันทรประกาศปาวปาวว่าลูกในท้องของเธอเป็นลูก ของปยุต นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เรื่องอื่นสำคัญตรงไหน?

เธอค่อยๆลุกขึ้นเดินแข็งทื่อตรงไปยังตู้เสื้อผ้าหยิบ กระเป๋าเดินทางออกมา ปยุตอึ้งรีบถามขึ้น : “ผลิน คุณจะ ไปไหน?”

“ฉันจะไปพักที่คอนโดริมทะเลสัก2-3วัน

หลังจากที่เธอจัดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวแบบไร้อารมณ์ แล้ว หันหลังกลับมาหยิบกระเป๋าเดินทางแล้วก้าวออกจาก ห้องนอนไป ปยุครั้งเธอไว้ : “คุณทำแบบนี้แปลว่าไม่อภัย ผมใช่ไหม?”

“คุณคิดว่าจะให้ฉันทำเหมือนปกติบอกคุณตอนนี้ว่า : ไม่ เป็นไรคะ ก็แค่ทำผู้หญิงคนอื่นท้องเอง คุณจะให้ฉันพูด อย่างนี้หรือ? ”

ผลินย้อนถามอย่างเย็นชา ปยุตไม่รู้จะโต้ตอบอะไรกับ เธอ เธอได้แต่ก้มหน้าหงิกๆลงบันไดไป ปยุตยังอยากจะรั้งเธอเอาไว้ แต่ถูกคุณพ่อห้ามปราม : “ปล่อยให้เธอ สบายใจก่อนเถอะ”

“ใช่ๆ คุณพ่อของลูกพูดถูก เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่มีผู้ หญิงคนไหนรับได้หรอก ตอนนี้ปล่อยเธอไปก่อน รอให้ ทุกอย่างสงบลง จัดการเรื่องยุ่งๆให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า”

ในใจของปยุตเจ็บปวดแสนสาหัส เขาได้แต่ก้มหน้ารู้สึก ท้อแท้เหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่สับสนวุ่นวายไปหมด

“วางใจเถอะผลินเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เธอจะต้องผ่าน มันไปได้แน่ๆ

ภายในคอนโดริมทะเลที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความ เจ็บปวดรวดร้าว ผลินจ้องมองไปยังห้องนอนอันโอ่โถง ก่อนหน้านี้ไม่นานคืนวันนั้น เธอยังมีความสุขอยู่กับปยุตที่นี่ ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

คืนนั้นเธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ ปยุตตลอดไป แต่ตอนนี้แผนการพังทลายลงเพราะการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกินขอบเขต ที่เธอจะสามารถรับไว้ได้จริงๆ

ถ้าเป็นความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน เธออาจจะแค่เสียใจซัก ระยะหนึ่งแล้วก็ผ่านมันไปได้ แต่ตอนนี้มีเด็กคนหนึ่งเกิดมา ด้วย จะให้เธอกับปยุตช่วยกันเลี้ยงดูเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง หรือ? เธอทำใจไม่ได้หรอก เธอไม่มีทางเอาลูกของศัตรู มาเลี้ยงดูเหมือนลูกแท้ๆได้ ไม่ใช่ว่าเธอใจแคบ แต่ว่าผู้หญิงคนไหนก็คงทําไม่ได้เช่นกัน

ทุกๆวันต้องเจอหน้าลูกของศัตรู ก็เหมือนเจอหน้าศัตรู เช่นกัน ชีวิตแบบนั้นคิดทบทวนดูแล้วให้ตายก็ไม่มีทางเกิด ขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นหากเธอได้เห็นเด็กคนนี้อยู่ตลอด ยิ่งทำให้ เธอคิดเชื่อมโยงไปว่านี่คือหลักฐานที่สามีได้ทรยศเธอ ไม่ ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นก็มีชีวิต อยู่อยู่ดี

ผลินทรุดลงนั่งที่โซฟา ในที่สุดก็หลั่งน้ำตาแห่งความ เจ็บปวดออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้

โชคชะตาอันเจ็บปวดยิ่งกว่าฮวาเหลียน เธอควรจะทำยัง ไงดีนะ? หัวใจจะต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดอีกกี่ครั้งกี่ หนกันนะจึงจะด้านชา

ค่ำคืนนี้เธอร้องไห้จนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา นั่งอยู่ อย่างเดียวดายในความมืด ตลอดทั้งคืนปราศจากความ หวาดกลัวใดๆอีก ในเมื่อชีวิตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่มีอะไรจะน่ากลัวมากไปกว่านี้อีกแล้ว

วันต่อมานายหญิงแห่งตระกูลทรัพยสานพร้อมคนรับใช้ มาหาเธอที่คอนโด เห็นสภาพอันห่อเหี่ยวของลูกสะใภ้ สะเทือนใจจับมือของเธอพูดว่า : “หนูผลินจ๊ะ อย่าเสียใจ ไปเลยนะ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายหนูจะล้มป่วย ลงนะจ๊ะ ถ้าหนูเป็นอะไรไปลูกชายของป้าก็จะพลอยแย่ไปด้วยเหมือนกันนะจ๊ะ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็แย่พอๆ กับหนูเนี่ยแหละ ลูกทั้งสองทุกข์ระทมขนาดนี้ ทำให้ในใจ ของแม่จวนเจียนจะสลายแล้วเหมือนกัน…..

“ขอโทษค่ะ”

“เด็กโง่ พูดอะไรอย่างนั้นหา? คนที่ควรจะกล่าวคำขอ โทษควรจะเป็นแม่ต่างหากละ ควรจะเป็นครอบครัวของแม่ ต่างหาก”

หญิงชรารีบบอกกับคนรับใช้ว่า “รีบเอาอาหารมาเร็ว เข้า”

คนรับใช้รีบเอาสำหรับกับข้าวออกมาจากตะกร้าที่ถืออยู่ ในมือ จัดเรียงอาหารเลิศรสมาสองสามอย่าง : “คุณผู้ หญิงคะ ไม่ว่าจะไม่สบายใจแค่ไหน ก็ควรจะทานอะไรสัก หน่อยนะคะ”

ผลินส่ายหน้า : “ฉันไม่อยากกิน

“อย่าทำอย่างนี้สิจ๊ะ ร่างกายของหนูไม่ได้เป็นของหนูคน เดียวนะจ๊ะ เด็กดี เห็นแก่คุณแม่เถอะนะจ๊ะ ทานอะไรสัก หน่อยเถอะนะ”

“ใช่คะคุณผู้หญิง กับข้าวเหล่านี้คุณนายลงมือจัดเตรียม เองเลยนะคะ หลายปีมานี้คุณนายไม่ได้เข้าครัวเลยนะคะ”

เห็นสายตาของคุณแม่สามีรอคอยการตอบรับการผลินเธอไม่อาจทนต่อความหวังดีของผู้ใหญ่ได้ รับเอากล่อง ข้าวมาจากคนรับใช้ด้วยมือสั่นเทา ตักเข้าปากไปทีละคําที ละคํา ริมฝีปากของเธอทั้งแห้งทั้งซีดเผือด ไม่มีสีเลือด แม้แต่น้อย ผ่านไปแค่คืนเดียวแก้มก็ตอบลง ดวงตาดำ คลํา นายหญิงเห็นลูกสะใภ้สภาพแบบนี้ ไม่เพียงเจ็บปวด แสนสาหัสถอนหายใจแบบทําอะไรไม่ถูกกล่าวว่า : “ผลิน ลูกชายของแม่รู้สึกอย่างไรกับหนู หนูรู้ดีกว่าใครเพื่อน นะจ้ะ ผู้ชายอยากออกจากบ้านก็ไม่จำเป็นต้องไปมีความ สัมพันธ์กับผู้อื่นเสมอไปหรอกนะจ๊ะ ไม่ได้ตั้งใจทรยศหนู หรอกนะจ๊ะ ยิ่งไปกว่านั้นหนูยังไม่ต้องเชื่อคำพูดของนัง จันทรนั่นก็ได้ เธอบอกว่าลูกในท้องเป็นลูกของปยุตก็ต้อง เป็นลูกของปยุตงั้นหรือ? เป็นลูกเขาจริงหรือไม่ รอให้ ครบ3เดือนก่อน พิสูจน์DNAแล้วเราค่อยว่ากัน”

“หนูไม่เคยคิดว่าเขาจะทรยศต่อหนูคะ ตอนนี้ปัญหาที่ ค้างคาใจอยู่ไม่ใช่เรื่องทรยศค่ะ แต่เป็นเรื่องเด็ก ถ้าเด็ก คนนั้นเป็นลูกของปยุตจริง คุณแม่บอกหนูหน่อยได้ไหมคะ ว่า จะให้หนูทำยังไงดี?”

นายหญิงอึ้งตะลึงงัน เขายังไม่ได้คิดถี่ถ้วนถึงเรื่องนี้ได้ แต่ตอบเลี่ยงๆไปว่า : “ถึงแม้เป็นลูกของปยุตจริงๆ หนูก็ ไม่ต้องกังวลใจไป ฉันกับคุณพ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง”

ผลินไม่พูดอะไรอีก เพราะในใจเธอรู้ชัดเจนอยู่แล้วว่า ตอนนี้ก็คือตอนนี้ เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องราวก็จะเปลี่ยนแปลง ไปได้อีก

ในห้องทำงานของโรงแรมเจ.เอส ปยุตหน้านิ่วคิ้วขมวดนั่งอยู่ที่โซฟา จ้องมองผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้า เอ่ยปาก อย่างเย็นชา : “ไปเอาเด็กออกซะ”

จันทรถลึงตามองเขาอย่างตกใจ คํารามออกมาด้วยความ โกรธ : “คุณพูดออกมาได้ยังไง? นี่เป็นลูกแท้ๆของคุณ นะ!”

“ผมไม่สนใจว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของใคร ผมบอกว่าให้ ไปเอาออกก็ไปเอาออกซะ ผมอุตส่าห์เจรจาต่อรองกับคุณ ดีๆแล้ว ให้คุณเลือกว่าจะทำหรือไม่…….

สายตาเย็นชาของเขาชี้หนทางสว่างให้ : “คุณลองกลับ ไปคิดทบทวนดู จะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ว่ามา”

จันทรถูกยั่วโมโหถึงขีดสุด เธอลุกขึ้นยืนคำรามออกมา สุดเสียง : “ฉันไม่เอาออก คุณเห็นฉันเป็นอะไร! คุณ อยากให้ผลินยกโทษให้คุณ จึงบอกให้ฉันไปเอาเลือดเนื้อ เชื้อไขของตัวเองออก ฉันยืนยันกับคุณตรงนี้เลยนะว่า ฝันไปเถอะ! สุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายชนะ คุณคอยดูก็แล้ว กัน!”

ปยุตจ้องมองแผ่นหลังของเธอที่หันหลังเดินจากไป มือทั้งสองกำหมัดแน่น จนเห็นเป็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา

เขานั่งอยู่ในห้องจนค่ำมืด เมื่อออกมาจากห้องแล้วก็ไม่ อยากกลับบ้าน บ้านที่ไร้ซึ่งผลิน ทุกวินาทีอันแสนรวดร้าว ขับรถไปอย่างไม่รู้จดหมายจนมาถึงริมทะเล มองคอนโดที่ ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เห็นหน้าต่างมีแสงไฟสีเหลืองส่องลอดออกมา ในดวงตาของเขามีหยดน้ำเอ่อล้นจน กระทั่งมันไหลลงมา

ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขารู้สึกว่าห่างเหินกับผลินมาก เหลือเกิน เขาอยากจะเดินเข้าไปหาเธอ ไปกอดภรรยา ที่รักของเขา แต่เขารู้ตัวว่าคนที่เธอไม่อยากเห็นหน้ามาก ที่สุดในตอนนี้ก็คือเขา

เขาไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อยที่จะอยากจากไป เขาได้แต่ยืน นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น แม้ว่าจะโดดเดี่ยวอย่างมาก แต่ก็ยังดี กว่ากลับไปเผชิญกับความอ้างว้างอย่างรุนแรงที่บ้าน

ฝนใกล้จะตกแล้ว ผลินเดินไปที่หน้าต่าง ยื่นมือเล็กๆ ออกมา เตรียมดึงม่านหน้าต่างมาปิด บังเอิญเห็นเงาผอม บางตะครุมๆอยู่ แม้ว่าจะมืดมาก แต่เธอรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นปยุตสามีของเธอเอง

เธอไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะปิดม่านลง แสงไฟที่ข้าง หน้าต่างหายไปในที่สุด ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทุกด้าน ไกลออกไปมีเพียงเสียงคลื่นที่คำรามออกมาด้วยความโกรธ อย่างต่อเนื่องราวกับว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อโลกใบ นี้

ปยุตยืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งดึกดื่น จึงกลับเข้าไปใน รถ นอนหลับไปครึ่งคืน เมื่อฟ้าเริ่มสางจึงขับรถออกไป ทํางาน3คืนต่อมาก็เช่นเดียวกัน

ไม่ได้กลัวว่าจะไม่เห็นหน้าเธอ ขอเพียงได้เห็นสายตาที่มองผ่านมาจากห้องนอน ในใจเขาก็รู้สึกคลายกังวลลงได้ บ้าง ทำให้เขานอนหลับได้ยาวถึง 3-4 ชั่วโมง ไม่เช่น นั้นแล้วเขาไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว

ผลินรู้ว่าเขามายืนที่ตรงหน้าต่าง4วันติดกันแล้ว แต่ เธอไม่ยอมออกไปพบเลยสักครั้ง ไม่ใช่ทุกครั้งที่พูดว่า ขอโทษแล้วจะถูกตอบรับว่า ไม่เป็นไร เสมอไป และ ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้น จะสามารถยิ้มและให้อภัยได้ ตลอด

คืนที่5 ลมกำลังก่อตัวขึ้นเป็นพายุทอนาโด แม้ว่าจะ ปิดหน้าต่างแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงคำรามของน้ำทะเลที่อยู่ นอกหน้าต่าง ม่านสีม่วงอ่อนถูกลมพายุที่แทรกเข้ามาข้าง ช่องหน้าต่างปลิวหน่อยๆ ผลินนอนอยู่บนเตียง จ้องมอง หลอดไฟสีขาวบนเพดานอย่างเหม่อลอย เธอรู้อยู่แก่ใจว่า ในเวลานี้ปยุตจะต้องอยู่ข้างนอก แม้ว่าจะปิดไฟแล้ว เขา ก็ยังไม่ไปไหน

ลมพัดแรงอย่างต่อเนื่องราวเกือบสามชั่วโมง จึงค่อยๆ หยุดลง แต่ว่าตามมาด้วยฝนห่าใหญ่ น้ำฝนที่ตกกระทบ ลงบนหน้าต่างนั้น ทำให้จิตใจของผลินสับสนวุ่นวายไป หมด

เธอผลักผ้าห่มออกลงจากเตียง เดินช้าๆไปที่ข้าง หน้าต่าง เลื่อนม่านขึ้นแล้วมองออกไปข้างนอก ปยุตยัง ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ทั้งตัวเปียกปอนไปหมด เขากลับยืน นิ่งราวกับต้นไม้ใหญ่
เธอหลับตาลง กลับไปที่เตียงนอนอีกครั้ง ข่มตาตัวเอง ให้หลับ แต่ยิ่งฝืนตัวเองเท่าไหร่ ก็ยิ่งหลับไม่ลง พอ หลับตาลงทีไร ก็เห็นแต่ปยุตกับความทรงจำอันขมขื่นของ เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน….


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ