ภรรยาคนที่เจ็ดของประธาน

ตอนที่ 205 ชวนคุณสวดมนต์



ตอนที่ 205 ชวนคุณสวดมนต์

เมื่อออกมาจากงานเลี้ยงตอนค่ำ ก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืน แล้ว เพื่อนร่วมงาน2-3คนดื่มจนเมาหัวรานํา ปยุตขมวดคิ้ว มองพวกเขา ส่งกุญแจรถตัวเองให้หัวหน้าแผนกวิจัยและ พัฒนา “ตอนนี้เรียกรถก็คงจะยาก คุณช่วยเป็นธุระขับรถไป ส่งพวกเขากลับบ้านอย่างปลอดภัยหน่อยเถอะนะ”

“แล้วคุณให้รถพวกเขาไป คุณจะกลับยังไงล่ะครับ?”

“ผมเรียกรถกลับเองได้”

หลังจากที่เหลียวหลังไปมองเพื่อนร่วมงานที่เดินโซซัด โซเซแล้ว หัวหน้าแผนกวิจัยและพัฒนาพยักหน้าตอบ : “ก็ได้ครับ ขอบคุณท่านประธานปยุดครับ

“ไม่เป็นไร ฝากด้วยนะ”

รอให้ทุกคนกลับกันหมดแล้ว ผลินพูดขึ้นว่า “เรากลับยัง ไงดีคะ?”

“มีผมอยู่ คุณยังกลัวว่าจะกลับไม่ถึงบ้านหรือ?”

เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเรียกคนขับรถ

“อ่อ รอสักครู่”

ผลินยับยั้งเขา “พวกเราเดินกลับกันเถอะค่ะ?”
“เดินกลับหรือ?” ปยุตเลิกคิ้ว “คุณรู้ไหมว่าจากตรงนี้เดิน กลับไปใช้เวลานานเท่าไหร่?”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่สนใจว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่”

ดีที่สุดยิ่งนานยิ่งดี นานมากแล้วที่เธอไม่ได้ออกไปเดิน เล่นกับปยุตเลย

“ถ้างั้นตกลงกันก่อนนะครับว่า ไม่ใช่เดินไปได้แค่ครึ่งทาง แล้วเหนื่อย บอกให้ผมอุ้มคุณกลับนะ”

“โอเค ไม่มีปัญหาค่ะ”

ทั้งสองตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ เริ่มออกเดินไปตามถนนอัน เงียบสงัดและกว้างขวาง ผลินแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า “คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าเลยนะคะ”

“ดาวเยอะแบบนี้ทุกวันแหละครับ”

“ใครบอกล่ะ วันที่ฝนตกคุณเห็นดาวด้วยหรือคะ?”

“เห็นสิครับ ก็แค่หลับตาลง นึกถึงดาวเต็มท้องฟ้า ก็ไม่ ต้องรอที่จะดูแล้วล่ะ

หมดกัน ผลินฝืนยิ้ม “พ่อนักจินตนาการเอาเอง”

เธอก้มหน้าดูมือของปยุตแล้วหันกลับมามองดูมือของเธอ บ้าง คิดในใจว่า ตอนนี้ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงซื่อบื้อจังนะ มือทั้งสองออกจะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ยังไม่รู้จักดึงเข้ามาจับอีก

“วันนี้ฉันได้เจอวารีด้วยค่ะ”

ปยุตอึ้งๆไป “คุณไปเจอที่ไหนครับ?”

“ในงานเลี้ยงตอนค่ำนี่แหละค่ะ เขามีเรื่องบอกกับฉันนิด หน่อย”

“อาจจะเป็นตอนที่คุณออกไปได้พักหนึ่งแล้ว ก็เห็นว่าเธอ ไปแล้วสิ?”

“คงอย่างนั้นครับ”

“เขาพูดอะไรกับคุณบ้างครับ?”

ผลินเหลือบตามองเขาทีหนึ่ง ทันใดนั้นเริ่มเล่นบทบาทใส่ ร้ายเขา “เธอบอกฉันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเธอ

นั่นเอง ปยุตเริ่มดูไม่ปกติ

“ระหว่างผมกับเขาก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”

“จริงหรือคะ? ฉันรู้หมดแล้วนะ คุณยังคิดจะปิดบังฉันอีก หรือ?”

“เธอเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างละครับ?”
“คุณอยากรู้ว่าเธอพูดอะไรกับฉันบ้าง คุณก็ต้องตอบ คำถามฉันมาก่อน 2 -3 ข้อ”

ปยุตมองดูสายตาจริงจังของเธอ ดูออกว่าเป็นกับดัก แต่ก็ รับปากเธอไป “ได้ครับ คุณถามมาสิ

“คุณรู้จักเธอได้อย่างไรคะ?”

“ที่ไนท์คลับวันนั้น เธอเป็นสาวเชียร์เบียร์อยู่ในร้าน ถูกคน ชั่วกลุ่มหนึ่งลวนลาม ผมก็เลยช่วยเธอไว้

“อ่อ คุณยังคงเป็นสุภาพบุรุษเหมือนเดิมจริงๆ เป็นพระเอก ในใจของสาวๆ คุณนี่ชอบไปอยู่ที่ไนท์คลับสถานที่อโคจร แบบนั้นเพื่อแสดงความเป็นวีรบุรุษของคุณงั้นหรือคะ?”

เธอคิดเชื่อมโยงไปถึงครั้งที่แล้วเขาก็ช่วยเธอแบบนี้ที่บาร์ ผลินชักไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้เขาช่วยผู้ หญิงไปกี่คนแล้ว

หากว่าทุกคนเหมือนกับวารี เธอคงจะปวดหัวอยู่ไม่น้อย

“บังเอิญเจอเป็นบางครั้งน่ะ ก็เห็นว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์นี่ ครับ”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? พวกคุณพัฒนาความสัมพันธ์กันจน กลายเป็นคนรักเลยไหม?”

“เปล่าครับ เธอบังเอิญพบว่าผมไปหาหมอด้านจิตวิทยาเพื่อขอคำปรึกษา จากนั้นเขาก็เหมือนคุณนั่นแหละวิ่งไป ถามหมอว่าผมเป็นอะไร แต่หมอประวีร์ไม่ได้บอกเธอ แต่ว่า เธอฉลาดมาก อาศัยจังหวะที่หมอกำลังตรวจคนไข้ แอบดู ประวัติการรักษาของผม

“หลังจากนั้นละคะ?”

“จากนั้นมาพวกเราก็กลายเป็นพาร์ทเนอร์กัน

“พาร์ทเนอร์แปลว่าอะไรคะ?”

“ผมจ่ายค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยให้เธอ ส่วนเธอช่วย รักษาอาการป่วยของผม

“ช่วยยังไงคะ?”

ในใจของผลินเริ่มก่อกองไฟขึ้น เพียงเพราะปยุตไม่ยอม พูด เธอจึงไม่มีทางเดาออก?

ปยุตแกล้งไอสองที เริ่มรู้สึกถึงความโกรธแค้นของคนที่ ยืนอยู่ข้างๆ หาทางจบบทสนทนาในหัวข้อนี้ลง “ถามอะไร มากมาย? เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว”

“เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ฉันจะรู้บ้างไม่ได้หรือยังไงคะ?”

“คุณก็บอกอยู่ไม่ใช่หรือว่าวารีเล่าให้ฟังหมดแล้ว?”

ปยุตย้อนถาม ผลินไม่ตอบอะไร
ในใจของเธอชักจะไม่เป็นสุขเสียแล้ว ทันใดนั้นแกล้ง เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่มีรอยยิ้ม : “คุณอยากรู้เรื่องระหว่างฉัน กับนภนต์ไหมละคะ?”

“ก็แล้วแต่ คุณอยากเล่า ผมก็ฟังได้ ไม่มีปัญหา”

ผลินมองค้อนเขาครั้งหนึ่ง พึมพำเยาะเย้ยในใจ ทำเป็น แกล้งตีหน้าซื่อในใจอยากรู้แทบตายละสิไม่ว่า

“ฉันกับเขารู้จักกันตอนสัมภาษณ์งาน เขาเป็นผู้สัมภาษณ์ ฉัน แต่ฉันกลับคิดว่าเขามาสัมภาษณ์งานเหมือนกับฉัน ตอน นั้นเลยคุยไปว่าถ้าสัมภาษณ์ผ่าน ฉันจะเลี้ยงข้าวเขา ผลก็ คือฉันสัมภาษณ์ผ่านน่ะ”

“แล้วยังไงต่อ?”

จากนั้นฉันก็ต้องเลี้ยงข้าวเขานะสิ แต่ว่านภนต์คนนี้ช่าง เป็นสุภาพบุรุษซะจริง ทานข้าวเสร็จแล้วเขารีบจ่ายเงินทันที เลยกลายเป็นว่าเขาเลี้ยงข้าวฉันแทน

เมื่อผลินนึกถึงความหลังเรื่องนี้ เธอยิ้มแย้มออกมาอย่าง ไม่รู้ตัว ในใจปยุตเริ่มไม่ค่อยพอใจ

“นภนต์คนนี้นับว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เลวทีเดียว คุณอยู่กับเขา นานขนาดนั้น ไม่ถูกใจเขาบ้างเลยหรือ?”

ปยุตแกล้งถามอย่างไม่สนใจ แต่ลึกๆในใจแล้วแคร์อย่าง

มาก
“ถ้าจะบอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถูกใจเลย ก็คงไม่ใช่ หรอกคะ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคอยเอาอกเอาใจดูแลเอาใจใส่ ตลอดเวลา เป็นผู้หญิงคนไหนก็ต้องหวั่นไหวทั้งนั้นแหละ”

“ถ้างั้นคุณมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแบบนั้นไหม?”

ปยุตอยากจะถามคำถามนี้เหลือเกิน อยากถามจนแทบจะ เป็นบ้าแล้ว

ถ้าฉันบอกไปแล้ว “……คุณจะโกรธไหมคะ?”

เขาทำเป็นหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน “ไม่โกรธหรอก น่า เราสองคนตอนนั้นเลิกกันแล้ว ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ใช้ชีวิตใหม่ได้ตามปกติ”

“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นคุณกับวารีก็คงได้อยู่ด้วยกันแล้ว”

ผลินหัวเราะเสียงขึ้นจมูก เอาท่าทีที่ปยุตเสแสร้ง แสดงออกมามาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนเรื่องราวของตัวเอง โดยไม่ได้ตั้งใจ

“ความสัมพันธ์ของคุณกับเขาพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว ล่ะ?”

ปยุตทำใจดีสู้เสือถาม ถึงแม้จะอยากรู้คำตอบทันที แต่ก็ กลัวเช่นกัน

ผลินจงใจแก้แค้น จึงตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องนี้….อย่าไปพูดถึงมันเลยคะ?”

ปยุตทันใดนั้นทำใจเย็นลงครึ่งหนึ่ง “ไม่เป็นไร เล่ามา เถอะ” ในใจเขายังต่ออีกประโยคหนึ่ง ผมรับฟังได้

“ก็ถึงขั้นนั้นที่คุณคิดน่ะแหละ”

“ขั้นนั้นน่ะขั้นไหนกันล่ะ?”

ปยุตตอนนี้ชักจะไม่ใจเย็นแล้ว แต่เป็นใจสลายแทน

“ก็คือ………ผลินหยุดกลางคัน ปยุตหัวใจแทบสลาย สายตาเหม่อมองล่องลอยไปรอให้เธอพูดความจริงออกมา “อัยยะ ถามอะไรมากมายขนาดนั้น? เรื่องมันแล้วไปแล้ว”

ปยุตสองตามืดมน เกือบจะเป็นลม ช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ เธอกลับหยุดกะทันหัน ตั้งใจทำให้เขารู้สึกวิตกกังวล

“คุณเลียนแบบผมหรือ?” ปยุตถามตรงๆอย่างไม่ค่อย

พอใจ

“ใครเลียบแบบคุณ? คำพูดแบบเดียวกันมีกฎข้อไหนบอก ว่าคุณพูดได้คนเดียวคะ? ถ้างั้นคุณไม่ขอให้คนทั้งโลกเป็น ใบ้ไปเลยล่ะ จะได้ไม่มีใครพูดซ้ำคุณได้อีก”

ทั้งสองถกเถียงกันไปตลอดทาง จนถึงบ้านเป็นเวลาเช้า มืดแล้ว
ปยุตเดินตรงไปยังห้องรับแขก ผลินร้องเรียกเขา “นี่คุณ คุณจะแยกห้องกับฉันไปถึงเมื่อไหร่กันต๊ะ?”

เขาหันกลับมา “วันที่หายดีแล้วน่ะสิ”

ผลินเข้าไปยังห้องนอน ปิดประตูดังปัง สบถด้วยความ โกรธ “ก็คืนนี้ฉันจะช่วยรักษาอาการของคุณให้ยังไงล่ะ!”

เธออาบน้ำแล้ว จากนั้นจึงเปลือยกายออกมาจากห้องน้ำ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เลือกไปเลือกมาได้เสื้อเชิ้ตของปยุตมาตัว หนึ่ง ตัวนี้แหละ ได้ยินว่าผู้ชายเมื่อเห็นผู้หญิงใส่เสื้อผ้าของ เขาแล้ว มักจะเปลี่ยนจากคนเป็นสัตว์ป่า

เธอเดินมาที่หน้าประตูห้องรับแขกของปยุต ก๊อก ก๊อก ยกมือขึ้นเคาะประตู ประตูเปิดแล้ว ปยุตมองเธอตั้งแต่หัว จรดเท้า อวัยวะบางอย่างเริ่มเคลื่อนไหว

“มีอะไร?”

เขาตั้งใจถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตากลับจ้องเขม็งไป ยังเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า ผลินยืนเท้ารูปตัววายอยู่ตรงหน้าเขา เอนหลังพิงข้างประตู กลิ่นดอกกุหลาบหอมหวนกระจายฟุ้ง ไปทั่วจนทำให้คนหวั่นไหวและคล้อยตาม ปยุตกลืนน้ำลาย แล้วกลืนน้ำลายอีก : “ผมถามว่า คุณเคาะประตูทำไม?”

ผลินยิ้มหวาน “ฉันยืนอยู่ตรงหน้าคุณอย่างนี้แล้ว คุณว่ายัง ไงล่ะ?”
พูดไป ใช้มือที่อ่อนไหวไร้กระดูกเกี่ยวคอของปยุต หายใจ รดต้นคอของเขาพลางกระซิบที่ข้างหูว่า “ชวนคุณสวดมนต์ มังคะ”

หัวใจของทั้งสองคนเต้นแรง ปยุตทันใดนั้นออกแรงดึง เธอเข้ามาในห้อง ปิดประตูลง

ผลินรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเขา นึกถึงการ แสดงออกดังชายชาติทหารของเขาเมื่อสักครู่ ทั้งน่าขำและ น่าโมโห จึงแอบยื่นมือเข้าไปหยิกที่เอวเขาทีหนึ่ง

ปตขมวดคิ้วอย่างรู้ความหมาย แต่ไม่หยุดเคลื่อนไหวมือ ของเขา ยิ่งไปกว่านั้นไม่นานทั้งสองก็ตกอยู่ในสภาพเปลือก กายทั้งคู่


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ