ภรรยาคนที่เจ็ดของประธาน

ตอนที่182 จากไปอย่างสิ้นหวัง (3)



ตอนที่182 จากไปอย่างสิ้นหวัง (3)

“หนูจันทร เธอใจเย็นลงหน่อย ฉันบอกเธอตั้งแต่แรกแล้ว ว่ามันง่ายที่จะตายหากเธอกินยากระตุ้นการตกไข่ แต่เธอ เองก็ยังยืนยันที่จะกิน บวกกับการดื่มหนักในช่วงนี้ เด็กจึง ได้รับสารพิษจากแอลกอฮอล์ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนก็หายไปแล้ว”

“คุณหมอ คุณต้องช่วยเขานะ ฉันขอร้อง คุณช่วยเขาเถอะ นะ เด็กคนนี้สําคัญกับฉันมาก เขาต้องไม่เป็นไร ต้องไม่มี อะไรเกิดขึ้นกับเขา!!”

จันทรทรุดลงร้องไห้กับพื้น คุณหมอกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะ แต่ไม่มีอะไรที่ฉันสามารถทำได้อีกแล้ว เธอต้อง ยอมรับความจริง…

คณหมอเป็นคนทีทัตดาแนะนําให้กับจันทร เธอเป็นคนสั่ง ยาช่วยในการตกไข่ให้ สามีของคุณหมอมีตำแหน่งสำคัญ ในบริษัทของทัตดา ดังนั้นคำขอร้องของทัตดาจึงทำให้เธอ ไม่สามารถปฏิเสธได้

ออกจากโรงพยาบาล จันทรมีสภาพเหมือนศพ เธอนั่งอยู่ บนเก้าอี้นอกโรงพยาบาล จ้องมองพื้นด้วยความว่างเปล่า เอาแต่พึมพำว่า “ฉันจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าลูกของฉันหายไป แล้ว ต้องไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด ฉันจะทำยังไงดี จะทำยังไง…

เด็กคนนี้เป็นความหวังเดียวของเธอที่จะอยู่ตระกูลทรัพย สาน ก่อนที่เธอจะสิ้นหวัง และมันยากมากที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างเช่นเมื่อวานนี้ แต่วันนี้กลับถูก วินิจฉัยว่าเด็กตายไปแล้ว มันทำให้เธอยอมรับไม่ได้ ไม่ สามารถยอมรับได้ ไม่มีเด็กก็ไม่มีความปลอดภัย เธอต้องคิด หาทางออก ในวิธีที่ฉลาดที่สุดเพื่อปกป้องตัวเอง…

หลังจากผลินพักผ่อนมาครึ่งเดือน ในที่สุดก็ปรับตัวได้ เห็นลุงที่ตื่นแต่เช้าเพื่อหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัว เธอก็ รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่ตัวเองต้องทำงานเพื่อครอบครัวบ้าง

ความเจ็บปวดเหล่านั้น ถึงเวลาที่ต้องวางมันลง มันถึง เวลาแล้วที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่

ในคืนนั้น เมื่อครอบครัวรวมตัวกันเพื่อทานอาหาร เธอ พูดว่า “คุณลุงคะ คุณมีคนใหญ่คนโตคนไหนที่พอจะรู้จักใน สถานีตำรวจบ้างไหมคะ”

“มีสิ ทําไมเหรอ”

“คุณให้เขาเปลี่ยนชื่อบนบัตรประชาชนของฉันได้ไหมคะ”

“ทําไมต้องเปลี่ยนชื่อด้วยล่ะ”

ลงและป้าถามขึ้นพร้อมกัน

“ฉันอยากไปทํางาน

“ทำงานต้องเปลี่ยนชื่อด้วยเหรอ”
เธอถอนหายใจ “ฉันต้องการที่จะจบมันทั้งหมด ไม่อยาก จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นผลิน

ทีปินเยิ้มบาง “ไม่อยากให้คนที่รู้จักเธอในอดีตหาเธอพบ เหรอ”

เธอไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง

“ได้ งั้นฉันจะคุยกับเขาพรุ่งนี้ มันคงไม่ยากเกินไป”

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ผลินส่งการ์ดให้กับลุง “เงินที่ อยู่ในนั้น พรุ่งนี้คุณสามารถใช้มันได้เลยนะคะ”

“เธอถือไว้เองเถอะ ฉันจะต้องเอาเงินของเธอมาทำอะไร”

“มันต้องใช้เงินเพื่อทำธุรกิจ และคุณป้าก็ต้องการเงิน สำหรับค่ายา คุณเก็บมันไว้เถอะค่ะ ที่ต้องมาอยู่มากินกับ พวกคุณฉันเองก็รู้สึกไม่สบายใจด้วย”

ตีรณจำต้องยอมรับที่เธอให้ ต่อมา ผลินเริ่มส่งประวัติส่วน ตัวไปบนอินเทอร์เน็ต เธอส่งไปยังองค์การณ์ขนาดใหญ่ หลายแห่ง และอดทนรอจนกว่าจะมีการตอบรับ

สองวันต่อมา เรื่องที่ลุงไปแก้ไขให้ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ดังนั้น ผลินจึงเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่าเวทิดาและ กลับไปใช้นามสกุลของแม่
เธออยากเปลี่ยนชื่อนานแล้ว เพราะละอายที่จะใช้ นามสกุลเจริญมาศ ในที่สุดตอนนี้เธอก็สามารถรวบรวม ความกล้าที่จะบอกลากับอดีตทั้งหมด

ในโลกนี้ไม่มีผลินอีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้ ชีวิตของเธอจะ ถูกแทนที่ด้วยเวทิดา

สองในสี่บริษัทที่ส่งประวัติส่วนตัวไปเรียกเธอมา ให้เธอ ไปสัมภาษณ์ เธอเลือกหนึ่งในบริษัทที่น่าสนใจที่สุด

โครงการของบริษัทนี้ดำเนินการค่อนข้างคล้ายกับบริษัท เจ.เอส.ทรัพยสาน บางทีอาจจะเป็นบริษัทที่เคยร่วมทุนกับ บริษัทเจ.เอส.ทรัพยสานของปยุตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่ง เธอรู้สึกว่าตัวเองมีความหวังจะได้รับการยอมรับมากขึ้นที่นี่

การได้รับแจ้งให้ไปสัมภาษณ์ ทำให้ผลินมีความสุขมาก ลุงและป้าก็มีความสุขเช่นกัน ป้าบอกว่า “ยัยลิน พรุ่งนี้ฉัน จะพาเธอไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อชุดใหม่นะ ต้องแน่ใจว่า เธอจะได้แต่งตัวดีสําหรับการสัมภาษณ์”

“อึมได้ค่ะ”

ผลินตอบตกลง ตอนที่ออกจากบ้านตระกูลทรัพยสาน เธอ แทบจะไม่ได้เอาอะไรติดตัวออกมาเลย มีเพียงหนังสือที่เธอ เก็บไว้ ส่วนเสื้อผ้าราคาแพงที่ปยุตซื้อให้เธอทั้งหมดอยู่ใน บ้านหลังนั้น

ป้าบอกว่าเธอโง่ ไม่เอาเงินออกมาอย่างน้อยก็เอาเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าออกมาก็ได้ แต่เธอไม่ได้เสียใจเลย เพราะเธอรู้สึกว่าสำหรับคนถูกเหยียบย่ำความภาคภูมิใจ มัน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปกป้องศักดิ์ศรีตัวเอง

ยิ่งกว่านั้น เธอไม่ได้สวมเครื่องประดับ เธอสวมเพียง สร้อยข้อมือ แต่น่าเสียดายที่สร้อยข้อมือมันไร้ค่า มันเป็น ของที่เธอและปยุคใช้เงินไปแปดหยวนกับอีกห้าสิบเซ็นชื่อ ทีภูเขาหลวง บางทีหากโยนมันลงบนพื้นถนนก็คงจะไม่มี ใครเก็บมันขึ้นมา แต่สําหรับเธอแล้ว มันคือความทรงจําที่ดี ที่สุดในวันที่มืดมิด

วันสัมภาษณ์ ผลินสวมชุดสูทสีชมพู แต่งหน้าบางเบา ตอนที่ออกมาจากห้อง ป้าก็พูดถึงเธออย่างกระตือรือร้นว่า “ดูนั่นสิ ยัยลินของเราตอนไม่แต่งตัวก็ว่าสวยแล้ว พอแต่ง ตัวขึ้นมาหน่อย ก็เรียกได้ว่าสวยจนไม่มีคำบรรยายเลย

ครึ่งเดือนของการปรับสภาพจิตใจ เธอดูดีขึ้นและดีขึ้น ยกเว้นบางครั้งที่อยู่คนเดียวในเวลาเงียบ ๆ ส่วนเวลาอื่น เธอพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาจิตใจให้มองโลกในแง่ดี

หลังจากทานอาหารเช้า ป้าไปส่งเธอที่ประตู จัดชุดให้ เธอ ยิ้มและพูดว่า “จะรอฟังข่าวดีจากเธอนะจ๊ะ

“อื้ม ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ!”

เมื่อบอกลาป้า เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง บน เส้นทางของการหางาน เธอมีใบรับรองวิชาชีพครู สามารถ หางานเป็นครูได้ แต่เธอไม่ต้องการ เหตุผลง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เธอเคยผ่านมาในชีวิตของผลิน เธอไม่ต้องการที่จะมี ประสบการณ์เดิมแบบนั้นอีกครั้ง เพราะตอนนี้เธอใช้ชีวิต เป็นเวทิตา

ในสถานที่ของการสัมภาษณ์ มองดูตึกสูงที่ยืนอยู่เบื้อง หน้า เธออดไม่ได้ที่จะประหม่า ดูเหมือนว่าจะเป็นองค์กร ขนาดใหญ่

ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า หลังจากแจ้งเจตจำนงที่มา พนักงานต้อนรับก็ชี้ไปที่ลิฟต์ “ที่ห้องประชุมบนชั้นเก้านะคะ การสัมภาษณ์วันนี้จะจัดขึ้นที่นั่นค่ะ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ”

ผลินหันเดินไป เมื่อประตูลิฟต์กำลังจะปิด เธอวิ่งตาม “เฮ้ เดี๋ยวก่อนค่ะ”

เข้าไปในลิฟต์ ในนั้นมีเพียงคนเดียว เป็นผู้ชายอายุยี่สิบ แปดหรือยี่สิบเก้าปี ดูสะดุดตา แต่น่าเสียดายที่ค่อนข้างสูง เกินไป

เขาสวมใส่ด้วยชุดลำลอง มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากาง เกงยีนส์ เป็นผู้ชายที่มีเปลือกตาชั้นเดียว เมื่อเห็นผลินเข้า มา ก็เหล่มองเล็กน้อยเทียบได้ว่าไม่แตกต่าง

ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปช้า ๆ หัวใจของผลินเป็นกังวลเล็กน้อย ความเชื่อมั่นก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามันติดอยู่นอกลิฟต์หรือ เปล่า และเพื่อบรรเทาความตึงเครียด เธอหันศีรษะของเธอ ไปยิ้มให้กับผู้ชายข้าง ๆ ตัว และเริ่มบทสนทนา “คุณมาที่นี่ เพื่อสัมภาษณ์เหมือนกันเหรอคะ”

มองดูการแต่งตัวของเขาแล้วคาดว่าไม่ใช่พนักงานใน บริษัท ดังนั้นมันเป็นธรรมชาติที่จะจัดเขาอยู่ในหมวดเดียว กับเธอ

ผู้ชายคนนั้นชะงักไป ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้า ตอบ

“คุณสงบนิ่งดีจังเลย ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับมันนิดหน่อยน่ะ ค่ะ”

เธอยิ้มอีกครั้ง ลูบหน้าอกและพูดว่า “ยังไงก็ตาม…..ฉัน ต้องได้งานนี้”

“พยายามเข้านะครับ”

ในที่สุดชายคนนั้นก็เปิดปากทองคำของเขา และมีเสียงที่ ไพเราะมาก

“ขอบคุณนะคะ ถ้าฉันประสบความสำเร็จในการสัมภาษณ์ ฉันจะเลี้ยงมื้อเย็นคุณเลย”

ในบรรยากาศที่ตึงเครียด ที่เหมือนกับเป็นคู่แข่งเขากลับ ปลอบเธอ ผลินรู้สึกขอบคุณจริง ๆ
เสียงลิฟต์หยุดดังขึ้นที่ชั้นเก้า เธอหันข้างไปและยกกำปั้น ขึ้นให้กับผู้ชายคนนั้น “สู้ๆ”

“สู้ ๆ”

ผู้ชายที่ดูสูงและเฉื่อยชาเดินนำออกไปจากลิฟต์

ก่อนเข้าห้องประชุม ผลินสูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งแต่ สอนในโรงเรียนหลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัย นี่เป็น ครั้งแรกที่เธอเข้าสัมภาษณ์ เธอบอกตัวเองว่า คุณทำได้ แน่นอน!

ผลักประตูเปิด มีคนหลายคนมานั่งรอสัมภาษณ์เหมือน กันกับเธอ แต่…ผู้ชายที่ดูสงบนิ่งคนนั้นไปไหน

ถึงแม้ว่ามันจะน่าสงสัย แต่มันไม่สำคัญ เธอนั่งรอให้ผู้ สัมภาษณ์มาปรากฏตัว

ประมาณสิบนาทีต่อมา ประตูห้องประชุมถูกผลักเปิดออก เรียกให้ผู้สัมภาษณ์สี่คนเข้าไป เมื่อพวกเขานั่งในตำแหน่ง ที่เหมาะสม ผลินเงยหน้าขึ้นมอง และเกือบจะร้องขึ้นด้วย ความตกใจ นั่น…นั่นไม่ใช่คนที่มาสัมภาษณ์หรอกเหรอ ทำไมถึงกลายเป็นผู้สัมภาษณ์ไปได้

เธอจ้องไปที่ป้ายผู้อำนวยการฝ่ายการตลอด และมีอีกไม่ กี่คำว่านภนต์ รู้สึกอายมากจนอยากมุดลงหลุม ตอนนี้เธอ ต้องพูดว่าอะไร ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้เลย…
ในจํานวนสี่ผู้สัมภาษณ์นภนต์เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ใส่ สูท ดูเหมือนว่าเขาจะมีบทบาทสำคัญในบริษัทนี้ จึงไม่มีข้อ จํากัดอะไรทั้งนั้น

เห็นเขายิ้มให้เธอ จากที่ตอนแรกก็ตื่นเต้นพออยู่แล้ว มัน ไม่ดีขึ้นเลยกลับเครียดมากกว่าเดิม

ผู้สัมภาษณ์หลายคนเริ่มถามคําถาม คําถามที่เกิดขึ้นนั้น ยากและแปลกประหลาด คําตอบ สับสนของผลินนั้น ไม่รู้ ว่าเป็นคําตอบที่ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี อย่างไรก็ตามอดไม่ ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหวังอะไรเลย

ช่างเป็นคนที่โง่เง่า เข้าใจผิดว่าผู้อำนวยการฝ่ายตลาด เป็นคนที่มาสัมภาษณ์งาน นภนต์ต้องรู้สึกแน่ว่าความ สามารถในการแยกแยะคนของเธอนั้นเลวร้ายเอาการ

ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์ มีการประกาศรายชื่อที่ ผ่านทันที ชื่อแรกที่ผ่านการสมัครคือ “เวทิดา”

ผลินช็อกไป ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ว่าเธอได้รับการคัด เลือก เป็นไปไม่ได้…

สัมภาษณ์หกคน สามคนถูกคัดเลือก สามคนที่ไม่ได้ถูก เลือกตอบรับโค้งคำนับและออกไป ผลินเริ่มยอมรับความ จริงที่ว่าตัวเองได้รับคัดเลือก

“ขอแสดงความยินดีกับทั้งสามที่ได้เข้าร่วมงานกับบริษัท ของเรา และมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเรา พรุ่งนี้มาถึงบริษัทแปดโมงเช้าเพื่อมารายงาน จะมีคนคอยจัดการให้คุณ ในแผนกที่เหมาะสม…

ผลินจิตใจมึนงง จนกระทั่งผู้สัมภาษณ์พูดจบ เธอลุกขึ้น และเดินออกไปกับอีกสองคนที่ได้กลายเป็นเพื่อนร่วมงาน ของเธอ

“คนที่ใส่ชุดสีชมพูอย่าเพิ่งไปครับ”

หัวใจของเธอเต้นแรง รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่คุ้นเคย มอง ย้อนกลับไป ภายนอกยิ้มข้างในไม่ยิ้มชี้ไปที่ตัวเองและถาม ว่า “ฉันเหรอคะ”

“ที่นี่มีใครใส่ชุดสีชมพูนอกจากคุณไหมล่ะ” นภนต์กวัก มือเรียก “มานี่ครับ”

เธอฝืนใจเดินไป “มีอะไรเหรอคะ”

ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นภาพลวงตา เธอรู้สึกว่าสายตาของ ผู้ชายคนนี้มันชั่วร้าย…

นมนต์กอดอกมองเธอ และพูดออกมาว่า “ชวนผมไปทาน ข้าวสิ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ