บทที่ 212 บ้านที่อยู่คนเดียว
ทีแรกญาดายังรู้สึกลังเลว่าควรจะเข้ามาสมัครงา นที่บริษัทQSหรือไม่ ดูๆแล้ว คีรินไม่ได้อยากจะให้เธอ เข้ามาทำงานในบริษัทเลย
เธอรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญาบ้าๆนั้นว่าจะไม่ ข้องเกี่ยวกันอีก เธอมาสัมภาษณ์งานที่บริษัทเขา ถ้า เขาเห็นเธอเป็นพนักงานคนหนึ่ง ก็สมควรรับเธอเข้า ทำงาน สุดท้าย เพราะคำๆเดียวของเขา กลับทำไมเธอ ไม่ผ่านการสัมภาษณ์งาน
คีรินบอกว่าต่อไป พวกเขาไม่มีอะไรติดค้างกัน อีก จริงๆเขาเกลียดเธอ เธอรู้ดี แต่เธอไม่เข้าใจว่าเขา เกลียดเธอตรงไหน
ในใจของเธอรู้สึกไม่พอใจมากๆ ต่อให้ไม่พอใจ มากขนาดนี้ แต่บริษัทไม่รับเธอเข้าทำงาน งั้นก็คงต้อง เป็นไปตามนี้
เธอเลยถอนหายใจออกแรงๆ และเดินไปตรงลิฟต์ แล้วคีรินก็กำลังก้มดูมือถือและยืนรอลิฟต์อยู่ รอบข้าง ของเขาไม่มีใครยืนอยู่ คิดว่าเขาคงจะทำธุระเสร็จเลย จะออกจากบริษัท
เธอกำลังคิดว่าจะเดินไปรอลิฟต์ไหม แต่พอนึกถึง ชั้นนี้เป็นชั้น33 เธอเลยล้มเลิกความคิดที่จะเดินบันไดไหนๆพวกเขาก็ไม่ข้องเกี่ยวกันแล้ว งั้นก็ทําเป็นคน แปลกจะดีกว่า
ทําไมเธอต้องเดินบันไดเพราะเขาด้วย พอเธอเดิน ไปที่ลิฟต์ เขาไม่เงยหน้ามองเธอเลย ทำเหมือนเธอเป็น อากศ
พอเธอคิดถึงคำพูดของผู้สัมภาษณ์ “ท่านประธาน ของบริษัทก่าขับมาเองว่าไม่ให้รับคนประเภทนี้เข้า ทำงาน” ทำให้เธอรู้สึกโกรธเคืองมากๆ
“คีริน!” เธอรู้สึกทนไม่ไหว เลยเรียกชื่อเขาออก
คีรินเงยหน้าและก้มหน้าลงโดยเร็ว ตอนเขาเงย หน้า เขาไม่มองมาทางเธอเลย เหมือนกลัวว่าจะทำ สายตาของตัวเองแปดเปื้อนสิ่งสกปรก
เธอรู้สึกขุ่นเคืองใจมาก เธอเลยขยับเข้าไปใกล้ เขา แล้วเห็นว่าเขากำลังแชทกับสาวสวยคนหนึ่งอยู่
สาวน้อยคนนั้นถามเขา “ตอนเที่ยงคุณมีเวลากิน ข้าวกับฉันไหมคะ?”
คีรินตอบกลับ “มีสิ”
สาวน้อยคนนั้นถามเขา “วันนี้มีเวลาด้วยหรอ??
คีรินตอบกลับ “คนจะคบหาดูใจกันก็ต้องมีเวลาให้ กันบ้าง”
หญิงสาวจึงส่งสติ๊กเตอร์หน้าเขินให้เขา
คีรินจึงเอามือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง และ เธอก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “คีริน นี่คุณกำลังกลั่นแกล้ง ฉันใช่ไหม?”
คีรินหันมามองเธอด้วยสีหน้าที่เฉยชา
“บริษัทของผมไม่ต้องการพนักงานที่ไม่ได้เรื่อง” คีรินพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เธอเลยรู้สึกขึ้นเพราะคำพูดของคีริน “ฉันไม่ได้ เรื่องตรงไหน ฉันมาบริษัทไม่ได้คิดจะรับเงินฟรีๆ
คีรินจึงแสยะยิ้มขึ้น “ผมไม่สนว่าคุณจะได้เรื่อง หรือไม่ได้เรื่อง นี่เป็นบริษัทของผม ผมไม่อยากให้คุณ เข้าทำงาน ไม่ได้หรือไง?” เขาพูดขึ้นอย่างไร้เยื้อใย
เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายใจดำขนาดนี้ แต่ก่อน บอกว่ารักเธอ ตอนนี้บอกว่าไม่รักก็ไม่รักแบบนี้
จู่ๆเธอก็อยากร้องไห้ ทำไมตัวเองก็มาเจออะไร แบบนี้ เธอเลยแอบเช็ดน้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมา
พอเข้าไปในลิฟต์ ก็รู้สึกอึดอัดใจและอยากให้ถึง ชั้นหนึ่งไวๆ วันนี้เธอไม่น่ามาสัมภาษณ์เลย เหมือนยื่น หน้าตัวเองให้คีรินตบ
จึงรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเอง
ตอนกลางคืนที่รินดากลับ พอเธอสังเกตเห็น นัยน์ตาที่แดงก่ำของตัวเอง เลยถามขึ้น “ญา แกร้องไห้ หรอ!”
เธอส่ายหวั “ ไม่หนิ แค่ออกไปข้างนอก ทรายมัน ปลิวเข้าตา ฉันเลยขยี้ตาจนตาแดง”
รินดาพยักหน้าเบาๆ เธอไม่ได้ถามต่อ ญาดาเลย รู้สึกโล่งอกเบาๆ เธอกับคีรินได้เจอกันในบริษัท เรื่องนี้ เธอไม่อยากบอกให้รินดารู้ กลัวว่าเธอจะหัวเราะเยาะ ตัวเอง
“แกสัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้าง!” ตอนที่กินข้าว
รินดาก็ถามเธอ
เธอเลยตอบตามความจริง “พวกเขาบอกว่าอายุ ของฉันอยู่ในช่วงที่ใกล้จะแต่งงานมีลูก กลัวฉันทำไป ครึ่งปีก็ออกไปแต่งงานมั้ง ยังไงก็ช่างมันเถอะ ค่อยดูอีก ทีแล้วกัน เพราะยังไงก็มีงานดีๆให้ทำอยู่แล้ว”
รินดาเห็นว่าเธอดูโศกเศร้าขึ้นมาทันที เลยไม่ได้ถามต่อ
หลังจากเธออาบน้ำและเดินออกจากห้องน้ำ ก็ได้ เดินผ่านห้องนอนรินดา เธอได้ยินรินดาคุยโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าได้คุยอะไรกัน รินดาเลยพูดขึ้น “เหมือนเธอ ร้องไห้.…………
เธอไม่ได้ชอบแอบฟังใครคุยกัน เลยเดินเข้าห้อง ไป แล้วไม่ได้คิดว่ารินดากำลังพูดถึงใครร้องไห้อยู่
ตอนกลางคืนตอนที่เธอเริ่มส่งResumeไปหลายๆ บริษัท ทั้งสามมานี้เธอก็ได้ไปสัมภาษณ์หลายๆบริษัท แต่ทุกบริษัทมักจะให้สวัสดิการที่ไม่ดี
จากนั้นเธอจึงได้งานบริษัทเล็กๆ ที่มีฐานเงินเดือน แค่ 16,000 ถึงมันจะน้อย แต่ค่าเช่าบ้านแถวบริษัท ถือว่าราคาไม่สูงมาก อีกอย่าง เธอก็ได้เจอเรื่องโชคดี ก็ คือเธอทํางานไม่ถึงสองเดือน ก็ได้ทําโปรเจคด้วยตัวเอง จึงได้มันค่าคอมมาประมาณหนึ่งแสน เธอจึงเอาเงินก้อน นั้นไปคืนรินดา และเก็บออมไว้
พอเธอมีเงินก้อนหนึ่ง เลยย้ายออกไปอยู่คนเดียว เธอจึงหาเช่าคอนโดเล็กๆ เป็นคอนโดที่ค่อนข้างเก่า จึง ต้องตกแต่งและซ่อมแซมภายในเอา และเป็นคอนโดที่ ไม่มีแอร์ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีอะไรเลย ค่าเช่าเลยถูก
พอรินดามาเยี่ยมเธอที่คอนโด เลยบ่นว่าคอนโดที่นี่ไม่ใช่ที่พักของคน แล้วบอกให้เธอย้ายกลับไปอยู่ กับเขา เธอกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนไม่เอาไหน ที่ เอาแต่พึ่งพาคนเดียว อีกอย่างพ่อแม่ของรินดาก็ชอบมา เยี่ยม เธอเลยรู้สึกเกรงใจพวกท่าน
แต่ยังไงญาดาก็ไม่เคยฟังใครอยู่แล้ว รินดาเลยได้ แต่บอกเธอว่าถ้าอยู่ไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ย้ายกลับไปอยู่กับ เธอ
ถึงแม้จะเป็นแค่คอนโดที่เธอเช่า แต่นี่ก็ถือว่าเป็น บ้านของเธอ ในบ้านไม่มีเครื่องใช้อะไรสักอย่าง เธอก็ คงต้องเก็บเงินแล้วค่อยๆซื้อของใช้เข้าบ้าน
ทุกเดือนเธอจึงต้องขยันขันแข็ง และพยายามหา ลูกค้าให้ได้ และรับโปรเจคมาทำเยอะๆ เงินเดือนเธอ จึงจะได้ประมาณ 5-6 หมื่น พอเธอหักค่าน้ำค่าไฟ ค่า เน็ต และค่าใช้จ่ายของตัวเอง ก็ต้องใช้ประมาณ 4 หมื่น เกรงว่าชีวิตนี้ก็คงจะซื้อบ้านดีๆในกรุงเทพไม่ได้ แต่ อย่างน้อย อาชีพนี้ก็สามารถให้เธอมีเงินเก็บออมบ้าง และตอนเธอแก่ตัวมา เธอจะได้มีเงินไว้ซื้อบ้านเล็กๆ และมีเงินเกษียณอายุที่เอาไว้เลี้ยงชีพ
แค่เธอสามารถมีชีวิตแบบนี้ ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ดังนั้น เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีเงินเก็บออมกว่านี้ เธอ จึงต้องทำกับข้าวกันเองทั้งสามมื้อ ถึงบริษัทจะไม่ให้กิน มื้อเที่ยง แต่ก็ยังมีไมโครเวฟให้เธอใช้
สุดสัปดาห์ของอาทิตย์นี้ เธอต้องไปซื้อของ
มากมาย
ซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวคอนโดที่เธออยู่มีของไม่เยอะ เธอเลยต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปหลายสถานี เพื่อไปห้าง สรรพสินค้าที่ใหญ่ๆหน่อย
เธอต้องซื้อหม้อหุงข้าว หม้อสุกกี้ กาต้มน้ำ…….. ตอนที่เธอกำลังคิดว่าตัวเองควรซื้ออะไรอีก ก็ได้เผอิญ เห็นผู้ชายที่ตัวเองคุ้นเคย
คีรินกำลังเดินควงแขนกับผู้หญิงที่หน้าตาดีมาก ทั้งสองกำลังเลือกซื้อของกันอย่างมีความสุข และมีรถ เข็นวางอยู่ตรงหน้า
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ