บทที่ 75 กลับบ้านเกิด
มาร์วินคงจะตกตลึงในคำพูดของญาดา เขาคงจะ นึกไม่ถึงว่าจะเธอจะพูดคำๆนั้นออกมาด้วยสีหน้าที่เฉยชา พวกเขาสองคนเดินมาถึงจุดนี้ได้ สาเหตุก็มาจากพี่ชาย เขา
เธอเงยหน้ามองเขา แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ญารู้ว่า วันคงไม่อยากจะมองหน้าญาอีกต่อไป ไม่เป็นไร ญาก็คือ คนแบบนี้แหละ ญากับแม่เป็นคนประเภทเดียวกัน วินเป็น คุณชาย คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด คงไม่เข้าใจคนที่ พวกฉันที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาเงิน”
“ตอนเด็กๆแค่หวังว่าตัวเองจะกินอิ่มนอนอิ่ม และมี เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นก็พอ คนโตมาก็อยากจะมีเสื้อผ้าและ กระเป๋าแบรนเนมได้ใช้ได้ใส่เหมือนคนอื่นบ้าง และอยาก จะไปกินข้าวในร้านอาหารหรูๆ ญาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะ จะไม่อิจจฉาผู้หญิงคนอื่นที่มีชีวิตที่ดีได้ยังไง?”
เขามองเธอด้วยนัยน์ตาที่ดูถูกเหยียดหยามและดูผิด หวัง “ญาไม่ต้องมาหาเหตุผลที่ตัวเองเป็นคนโลภมาก หรอก”
ญาดาพูดขึ้น “ทุกคนล้วนอยากมีชีวิตที่สุขสบาย วิน ไม่เข้าใจหรอก เพราะวินเกิดมาก็เพียบพร้อนทุกอย่าง ดัง นั้นตอนวินเห็นคนอย่างญารักเงินก็หาว่าญาโลภมาแบบ นี้”
“ใช่ ทุกคนอยากมีชีวิตที่สุขสบาย แต่นี่ไม่ใช่แค่ สุขสบายแล้ว ญาก็รู้ว่าพี่จะแต่งงานแล้ว ตอนนี้ญาจะ กลายเป็นตัวอะไร ญาไม่รู้สึกอายบ้างหรือไง เพื่อเงิน ญา สามารถทําทุกอย่างได้โดยไม่สนว่ามันจะผิดชอบชั่วดีเลย หรือไง? ไร้ยางอายจริงๆ ถ้าผมรู้ว่าคนเป็นคนแบบนี้ งั้นก็ ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
พูดจบเขาก็เดินออกจากร้านกาแฟ
ตอนนี้ทั้งตัวของญาดาหนาวสั่นไปหมด หนาวจน เหมือนมีคนเอาน้ำแข็งมาสาดใส่ตัว คนที่เธอรักด่าเธอว่า ไร้ยางอายจริงๆ แล้วจะทำเป็นไม่รู้จักเธอมาก่อน????
เธอยังคงนั่งอยู่ในร้านกาแฟไปสักพัก จนพนักงาน เข้ามาถามเธอว่าสั่งเครื่องดื่มอะไรเพิ่มเติมไหม จากนั้น เธอถึงจะได้สติกลับมาแล้วออกจากร้านไป
แสงแดดตอนฤดูร้อนมายังไม่สามารถทำให้ความ หนาวในใจของเธอหายไป
ตอนนี้เหมือนโลกได้ทอดทิ้งเธอไป และเธอเองก็ ทอดทิ้งโลกนี้ไปเหมือนกัน
แม้กระทั่งเธอไม่รู้ว่าตัวเองควรทำแบบนี้ต่อไป แล้ว สดท้ายตัวเองจะมาความสบไหม? เธอเดินอยู่ในห้างหรใจกลางกรุงเทพเหมือนคนไร้วิญญาณ และมองคนสัญจร ไปมาอย่างเร่งรีบ และสีหน้าของทุกคนต่างก็เต็มไปด้วย ความทุกข์ทรมานกับชีวิตที่มีอยู่
พวกเขาหลายคนกลัวว่าสิ้นเดือนนี้จะมีค่าเช่าห้อง จ่ายไหม ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจะพอไหม? ลูกๆของ พวกเขาต้องเรียนพิเศษหรือเปล่า? กระดูกซี่โครงใน ตลาดสดขึ้นราคาอีกแล้ว? เดือนนี้โบนัสลดลงอีกแล้ว?
ทุกคนต่างก็รู้สึกวิตกกังวลกับชีวิตของตัวเอง คู่สามี ภรรยาต้องทะเลาะกันเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ ชีวิตธรรมดา ของคนพวกนี้อาจจะเจอความลำบากบ้าง แต่ก็คือความสุข เล็กๆของชีวิต
เธอจึงมองไปบนผืนฟ้ากว้าง ในกรุงเทพ น้อยครั้ง มากที่จะเห็นท้องฟ้าสีฟ้าและพระอาทิตย์ที่แจ่มใสแบบนี้
เธอนั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ และกำลังรอรถเมล์คันต่อ ไป เธอจึงรถเมล์แบบไร้จุดหมายปลายทาง แล้วเลือกที่ นั่งข้างหลังสุด จากนั้นก็ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คีรินเป็นคนโทรมา แต่เธอก็ไม่ สนใจ ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้น
มีลุงคนหนึ่งหันมาบอกเธอ “หนู โทรศัพท์มา
เธอจึงส่งยิ้มให้ลุงคนนั้น “รู้แล้วค่ะๆ”
ลุงแกก็มองเธออย่างแปลกใจ จากนั้นก็หันไปข้าง หน้า โทรศัพท์ดังไปสักพัก คนที่โทรมาก็ตัดสายไปเอง
เธอนั่งรถเมล์ไปลงที่สถานีที่มีรถไฟใต้ดิน จากนั้นก็ นั่งไปที่หมอชิต แล้วซื้อตั๋วรถบัสกลับบ้านเกิดของเธอ นี่ก็ คงจะเป็นครั้งแรกที่เธอกลับบ้านเกิด
ถึงแม้กรุงเทพจะเป็นเมืองที่พัฒนามากๆ แต่ระแวกก รุงเทพที่ห่างออกไปประมาณสี่ชั่วโมงก็มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่กันดารมากๆ นั่นก็คือบ้านเกิดของเธอ ถือว่าเป็นหมู่บ้าน ที่มีคนจนอาศัยอยู่เยอะที่สุด
รถบัสนําเธอไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วเธอต้อง นั่งรถสองแถวเข้าไปอีกที ถนนทางเข้าหมู่บ้านไม่ได้เป็น ถนนลาดยาง จึงขรุขระไม่เรียบ แถมยังเดินทางลำบาก จู่ๆ คีรินก็โทรมาหาเธออีก เธอเลยปิดเครื่องหนีเขาทีเดียว ตอนนี้เธอแค่อยากจะกลับบ้านมาเยี่ยมคนๆหนึ่งที่รักเธอ จากใจจริง
ตอนนี้เธอไม่อยากถูกนอกภายนอกรบกวนเธอ
เธอนั่งอยู่บนรถสองแถว และชมทิวทัศน์บ้านเกิด ของเธอ ในความทรงจำของเธอ เธอไม่ได้รู้สึกคิดถึงหรือผูกพันกับอะไรที่นี่เลย
เธอเคยอยู่ที่นี่มาห้าปี แต่ก่อนเป็นถนนขี้โคลนแบบ นี้ ผ่านมายี่สิบปี ถนนเส้นไปหมู่บ้านก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่ เปลี่ยน พอถึงฤดูฝนทีไร ชายกางเกงของเธอก็มักจะเปื้อน ขี้โคลน
ตอนเวลาที่เธอถึงหมู่บ้าน ก็เป็นเวลาที่เด็กๆเลิก เรียนพอดี มีคนๆในหมู่บ้านมองเธอด้วยสายตาที่แปลก ประหลาด จากนั้นเธอก็เอาลูกอมออกจากกระเป๋าแล้วถาม พวกเขา “กินไหม?”
เด็กพวกนั้นถูกสอนมาอย่างดี ไม่มีทางรับของกินจาก คนแปลกหน้า
เธอเลยไปตามหาบ้านของปู่กับย่าของเธอ เธอยังพอ จำได้ว่าบ้านที่เธอเคยอยู่เป็นหลังไหน
จากนั้นพอเธอเดินไปจนถึงประตู เธอจึงลังเลว่าจะ เข้าไปดีไหม
ตอนที่เธอตัดสินใจว่าจะเดินออกจากที่นั่น ก็มีผู้เฒ่าที่ ทั้งหัวของเธอเต็มไปด้วยผมขาวออกจากในบ้าน และเธอ ก็มองญาดาไปสักพัก จากนั้นจึงถามขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ “ญาดาหรอ?”
เธอไม่กลับบ้านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ตอนนี้หน้าตา ของเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ย่าของเธอกลับจําเธอได้
เธอเลยพยักหน้า “ค่ะ หนูเอง สุขภาพคุณยังแข็ง แรงดีไหมคะ?”
ในความทรงจําของเธอ ย่าของเธอมักจะใจร้ายกับ เธอ ตอนที่พ่อเธอยังอยู่ ย่าญาดาไม่ให้เรียกญาดาเรียก เธอว่าย่า
ผู้เฒ่าคนนั้นจึงลังเลไปสักพัก จากนั้นก็เดินขึ้นหน้า มาจับมือเธอแล้วจูงเธอเข้าไปในบ้าน “โตขนาดนี้ เวลา ผ่านไปเร็วจริงๆ”
เธอเข้าไปข้างในก็ไม่ได้เจอหน้าปู่ของเธอ ตรงชั้น วางเก่าๆที่ติดผนัง อันหนึ่งมีรูปของพ่อวางไว้ อีกอันเป็น รูปของปู่
เธอเลยรู้ว่าปู่ของเธอตายจากไปแล้ว ความเกลียด แค้นที่มีต่อปู่ย่าเธอได้หายไปตอนที่ได้เห็นรูปถ่ายคนแก่ที่ วางอยู่ชั้นวาง
ย่าเธอจับมือเธอ แล้วดึงเธอไปที่ห้องครัว จากนั้น ก็ให้เธอนั่งตรงโต๊ะไม้เก่าๆ “ฉันอยากจะไปหาหนูที่กรุง เฟท แต่ฉันอ่านหนังสือไม่ได้ เดี๋ยวไปแล้วหลงทาง เลยไม่กล้าไปหาหนู”
เธอเลยถามย่าเธออย่างแปลกใจ “คุณจะไปหาหนูมี เรื่องอะไรหรอคะ?”
ย่าเธอเลยถอนหายใจดังๆ “ปู่ของหนูจากไปปีที่ แล้ว ก่อนจากไป เขาเคยบอกว่าฉันกับเขาไม่เคยทำดีกับ หนู หนูถูกแม่หนูรับไปอยู่ด้วย แกกลัวว่าแม่หนูจะทำไม่ดี กับหนู แต่พอทุกครั้งที่มองหน้าหนู แกก็มักจะนึกถึงแม่หนู เลยไม่อยากให้หนูอยู่ที่นี่”
เธอคิดว่าปู่ย่าของเธอไม่ได้ติดค้างอะไรเธอ หลัง จากที่พ่อเธอจากไป พวกเขาก็ไม่ยอมรับเลี้ยงเธอ แต่ก่อน เธอเคยเกลียดแค้นพวกเขา แต่หลังๆมาก็หายโกรธแค้น ไปแล้ว
“หนูรู้ หนูก็ไม่ได้เกลียดแค้นพวกคุณ คุณวางใจเถอะ ตอนนี้หนูมีชีวิตที่ดีมาก”
อย่างน้อยความเป็นห่วงของย่าเธอก็มาใจความ จริงใจ เธอรู้สึกซาบซึ้งมากๆ
พอกินมื้อค่ำเสร็จ เธอก็จุดธูปกราบไหว้ปู่และพ่อของ เธอ พอเธอเห็นย่าที่เธอผอมซูบและแก่มากๆ เธอก็รู้สึก สงสาร อายุขนาดนี้แล้วก็ต้องอยู่อย่างไม่มีสามีไม่มีลูก
พวกเราต่างก็มีผู้น่าสงสาร
ย่าเก็บกวาดที่นอนให้เธอ ตอนที่เธอกำลังจะนอน ย่า ของเธอก็เดินมาหาเธอ แล้วถามเธอ “คุณยังมีธุระอย่าง อื่นหรอคะ?”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ