บทที่ 128 ตนเองยังเอาตัวไม่รอด
บนรถม้าหมาจิ้งจอกหางสั้นหมอบอยู่ที่มุมด้าน หนึ่ง บางครั้งก็ลืมตาขึ้นเพื่อมองอันหลิงหยุนราวกับ เห็นใจนาง
ถังเหอและพ่อบ้านกำลังควบม้าอยู่ด้านนอก อาซิว ถูกส่งไปแล้วไปและตอนนี้ก็ดึกแล้ว
ก่อนเข้าเมืองพ่อบ้านเอ่ยกับอันหลิงหยุนว่าพวก เขาต้องไปก่อน อันหลิงหยุนรับปากไปคำหนึ่ง พ่อบ้าน และถังเหอลงจากรถม้าและทิ้งอันหลิงหยุนไว้นอก ประตูเมืองแล้วจากไป
หมาจิ้งจอกหางสั้นลุกขึ้นจากรถม้าและเหยียดตัว ไปหาหลิงหยุน มันเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน
อันหลิงหยุนสัมผัสหมาจิ้งจอกหางสั้น “พวกคน โบราณเหล่านี้อ้างว่าตนเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่กลับไม่ อาจเทียบเท่าเจ้า
ขี้ขลาดไม่เอ่ยถึง รังแต่จะทำร้ายคนอื่น”
อันหลิงหยุนออกมาจากด้านในรถม้าและขับรถม้า เข้าไปในเมือง
แต่เมื่อนางเข้ามาในเมือง นางก็เห็นดวงตาคู่หนึ่ง อยู่ที่ประตูเมือง นางรู้สึกว่ามีคนกำลังมองมา จากนั้น นางจึงมองขึ้นไปที่ประตูเมือง โดยบังเอิญ นางเห็นชายในชุดแดงยืนถือมือโคมไฟเมื่อเห็นนางเขาก็เดิน ลงมาจากหอคอย
อันหลิงหยุนรู้ว่าตนไปไหนไม่ได้เสียแล้ว นางจึง หยุดรถม้าลงที่ด้านหนึ่ง
กลางคืนดึกดื่นไม่มีผู้ใดอยู่บนถนน เสินหยุนเจ๋ เดินมาตรงหน้าของอันหลิงหยุน เขาขมวดคิ้ว เอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่งตัวแบบนี้พวกเขาก็ยังทิ้งเจ้า ไป ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงได้เป็นคนไร้หัวใจเช่นนี้?”
ก่อนหน้านี้เจ้าก้าวหน้าไปมาก แต่ตอนนี้ เจ้ากลับ ไม่ก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย
เสินหยุนเจ๋ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห เขาดึงชุดคลุมสุนัข จิ้งจอกสีดำบนตัวออกและโยนลงบนร่างของหลิงหยุน โดยตรง เขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ใส่”
อันหลิงหยุนรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ถึงแม้เสินหยุนเจ๋ จะเป็นคนตระกูลเสิน แต่เขากลับดีต่อเจ้าของร่างเดิม
นางไม่เข้าใจจริงๆ หากตั้งแต่แรกเสินหยุนเจ์เป็น เช่นนี้ เห็นทีเจ้าของร่างเดิมคงสมองจมน้ำพังไปแล้ว ถึงได้ไม่ชอบเขา
เมื่อมองไปที่ขนสุนัขจิ้งจอกสีดำบนร่าง อันหลิง หยุนก็หยิบมันมาและวางไว้ข้างๆ
“ข้าใกล้จะถึงบ้านแล้ว ไม่รบกวนท่านแม่ทัพน้อย” อันหลิงหยุนไม่กล้าใช้เงินหยุนเจ๋ นางเป็นพระชายาเสียน ดึกดื่นไม่อยู่จวน อีกทั้งยังมาอยู่กับบุรุษเพียงลำพัง นางหน้าไม่อาย แต่ท่านพ่อ ของนางยังต้องมีหน้าตาอยู่
เสินหยุนเจ๋ไม่สนใจแม้แต่น้อย เขากระโดดไปที่ อันหลิงหยุนและนั่งลงข้างๆ นาง เขาคว้าบังเหียนม้า จากนั้นจึงสะบัดแส้ลงที่บั้นท้ายของม้า มันเชื่อฟังอย่าง ยิ่งและวิ่งไปทางจวนท่านแม่ทัพ
หมาจิ้งจอกหางสั้นมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของ หลิงหยุนและขดตัวอย่างสบาย ๆ
เสินหยุนเจ๋หันไปมอง เขาขมวดคิ้ว “หมาจิ้งจอก หางสั้นเป็นของดี เจ้านับว่าโชคดี”
“ก็พอไหว” อันหลิงหยุนไม่พูดมาก นางกลับเข้าไป ข้างใน
เสินหยุนเจ๋มักจะมองไปที่อันหลิงหยุนตลอดทาง อันหลิงหยุนจัดการเสื้อผ้าของตนเองด้วยเกรงว่าจะ เปิดเผยอะไรออกมา
“มีอะไรต้องกลัว ใช่ว่าไม่เห็นมาก่อน” เสินหยุนเจ๋ เอ่ยมาขนาดนี้ อันหลิงหยุนก็แปลกใจ เขาเคยเห็น?
อันหลิงหยุนไม่ได้ถาม นางคิดว่านี้ไม่มีความหมาย อะไรอีก
ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้ว
เสินหยุนเจ๋เอ่ยถาม “ดึกดื่นเจ้าออกไปทำอะไร?” “เจ้าดึกดื่นไม่หลับไม่นอนออกมาวิ่งอยู่บนกำแพงเมืองทำอะไร?”
คำต่อค่า หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไร้คำพูดไป
เมื่อรถม้ามาถึงจวนแม่ทัพ เสินหยุนเจ๊กีวางแส้ลง และกระโดดออกจากรถม้า เขาหันไปมองอันหลิงหยุน “ดึกๆ ตื่นๆ ออกไปข้างนอกให้น้อยๆ หน่อย”
พูดจบเขาก็หันหลังจากไปทันที อันหลิงหยุนลง จากรถม้าและมองไปยังทิศทางที่เสินหยุนเจ๋จากไป เสินหยุนเจ๋จากไปอย่างง่ายดายยิ่ง แต่เขาก็ไม่
ควรปรากฏตัวขึ้นมาอยู่แล้ว เรื่องทุกอย่างล้วนผ่านไป
มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในตอนนี้อีก แต่เขากลับ
มักปรากฏตัวขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เพื่ออะไรกัน?
อันหลิงหยุนรู้สึกว่าเสินหยุนเจ๋ก็น่าสงสารเช่นกัน รักแต่ไม่ได้ครอบครอง มาตอนนี้ก็ยังลังเลที่จะจากไป
เมื่อเห็นเส้นหยุนเจ๋จากไปไกล อันหลิงหยุนก็หัน กลับมาและเตรียมที่จะกลับไปยังจวนแม่ทัพ แต่ทันทีที่ นางหันกลับมา นางก็เห็นกงชิงวี่ยืนอยู่ตรงข้าม
เขาใส่ชุดดำทั้งตัว ด้านหลังคลุมด้วยเสื้อคลุมขน สัตว์สีเทา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่มีการแสดงออก แต่อันหลิงหยุนก็รู้สึกได้ว่าไม่ดีแน่
“ท่านอ่อง” อันหลิงหยุนย่อคำนับ
กงชิงวีไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเดินไปยังรถ ม้า จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีดำ มาให้นางดู
อันหลิงหยุนมองไปที่เสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีดำที่อยู่ ตรงหน้าเขา จากนั้นจึงมองไปที่กงชิง วี่ “ข้าไม่มีอะไร จะพูด” กงชิงวี่กำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกดำเอาไว้แน่น ก่อนจะ
โยนมันทิ้งไปด้านหนึ่ง
หมาจิ้งจอกหางสั้นตกใจจนรีบมุดเข้าไปในอ้อม แขนของอันหลิงหยุน เมื่อรู้สึกว่าอ้อมแขนนี้ไม่ ปลอดภัย มันจึงรีบกระโดดลงมาและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ ที่ประตูจวนแม่ทัพ
อันหลิงหยุนหันไปมองหมาจิ้งจอกหางสั้นที่กำลัง หนี แม้แต่สุนัขจิ้งจอกยังวิ่งหนี นี่แสดงให้เห็นว่ากงชิงวี่ โกรธมากแค่ไหน
จิตวิญญาณของสัตว์นั้นดีกว่าของมนุษย์ หากสัตว์ หวาดกลัวจนไม่แม้แต่จะเอาเจ้านายของตน นั่นย่อม เห็นได้ว่าน่ากลัวเพียงใด
“นี่คือคำอธิบายของพระชายาต่อข้าหรือ?” ใบหน้าของกงชิงที่ดูแทบไม่ได้ อันหลิงหยุนนิ่งคิด แต่ กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ซูมู่หรงเคยเอ่ย เขาถูกคนเข้าใจ ผิด แต่กลับไม่เอ่ยอธิบาย เขาบอกว่าคนที่เชื่อเจ้าย่อม ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอธิบาย คนที่ไม่เชื่อเจ้าอธิบายก็ไร้ ประโยชน์
นางไม่ได้ต้องการให้กงชิงวี่เชื่อนาง แต่ถ้าหากเขาต้องการเข้าใจผิด มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอธิบาย
อันหลิงหยุนหันหลังและคิดจะจากไป แต่กงชิงวี่ เรียกนางไว้ “หยุด”
อันหลิงหยุนหยุด กงชิงที่ไม่เคลื่อนไหวและเอ่ย อะไรออกมา
อันหลิงหยุนยืนอยู่สักพัก จากนั้นจึงหันไปมองกง ชิง นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อาซิวถูกข้าปล่อยออกมาแล้ว หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าเพียงคนเดียว เรื่องนี้ข้าบอก ท่านแล้วเมื่อเช้า แต่ท่านไม่รับปาก ดังนั้นข้าจึงได้แต่ ต้องเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคน
อาซิวกำลังจะตาย ถ้าไม่ไปเขาตายแน่!”
“ข้าดูถูกพระชายาไปจริงๆ แม้กระทั่งบุกเข้าไปใน คุกใต้ดินยังทำได้ด้วยซ้ำ” กงชิงวี่เดินมาตรงหน้าของ อันหลิงหยุน เขากัดฟันแน่นและจ้องนาง “อย่าคิดว่าถ้า เจ้ามีส่วนช่วยเหลือข้าแล้วข้าจะไม่กล้าจัดการเจ้า!”
อันหลิงหยุนเงียบไปครู่หนึ่ง “จะจัดการกระไรท่าน อ๋องสั่งการเถอะ เรื่องของอาซิวที่จริงก็คือความผิด ของข้า”
“อย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าของกงชิงวีซีดขาว
อันหลิงหยุนไม่มีอะไรจะพูด กงชิงวี่ยิ่งโกรธมาก ขึ้น แม้กระทั่งคำพูดอ่อนหวานยังไม่มี นางไม่พูดคำพูด ที่นุ่มนวล ช่างจริงเสียจริง?”
“ขึ้นรถ”
พูดจบกงชิงวี่ก็เข้าไปด้านในรถม้า อันหลิงหยุน เหลือบนมองไปที่เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีดำบนพื้น จากนั้นจึงมองกลับไปที่หมาจิ้งจอกหางสั้นที่ซ่อนตัวอยู่ ที่ประตู หมาจิ้งจอกหางสั้นมองไปที่เสื้อคลุมขนของ จิ้งจอกสีดำ วันนี้มีที่นอนแล้ว หากนางผ่านเข้าประตู จวนแม่ทัพที่ปิดแน่นนี่ไม่ได้ สุนัขจิ้งจอกที่สูงส่งขนาด นี้อย่างนาง อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนร้องเสียงแหลมอยู่ ด้านนอก
เมื่อรู้สึกได้ว่าหมาจิ้งจอกหางสั้นเข้าใจความหมาย ของนาง อันหลิงหยุนจึงขึ้นรถม้าไป
รถม้าไม่มีคนขับ อันหลิงหยุนหยิบแส้ขึ้นมาและ ขับรถม้ากลับไปยังจวนอ่องเสียน เมื่อพวกเขาจากไป หมาจิ้งจอกหางสั้นก็ออกมา
จากซอกประตูและเดินไปยังหน้าเสื้อคลุมขนจิ้งจอก
ดำ นางงับแขนเสื้อข้างหนึ่งเอาไว้จากนั้นจึงลากไปยัง
หน้าประตูจวนแม่ทัพ
ประตูจวนแม่ทัพไม่ได้เปิดออก หมาจิ้งจอกหางสั้น จึงเข้าไปนอนในเสื้อคลุมตลอดทั้งคืน
อันหลิงหยุนขับรถม้ากลับไปยังจวนอ๋องเสียน หลังจากออกจากรถม้ากงชิงวี่ก็ลงจากรถทันที รถม้า ถูกส่งต่อให้กับผู้ดูแล กงชิงวี่เหลือบมองอันหลิงหยุน ยิ่งมองก็ยิ่งโมโหจนแทบระบายออกมาไม่ไหว
“เข้ามา!”
กงซิงเดินไปที่ลานโอวหวานอย่างโกรธเกรี้ยว อันหลิงหยุนรู้ดี กงชิงวีไม่ได้ทำอะไร นางจึงตามกงชิง ไปที่ลานโอวหลาน
ในเวลานี้อาหยูกำลังคุกเข่าอยู่ที่ลานโอวหลาน อันหลังหยุนเขาอาหยูเข้าก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เขาเป็น คนเดียวที่สามารถขโมยป้ายห้อยเอวมาจากกงชิงวี่ได้ ต้องมีคนออกมาเพื่อสารภาพผิดในเรื่องนี้ อีกทั้งอาหยู เองก็มิอาจหลบหนีความผิดนี้ไปได้ กงชิงวี่ไม่มีทาง ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
อันหลิงหยุนมองไปที่อาหยูด้วยความหดหู่ นางไม่ ได้รู้สึกเศร้าเพราะอาหยู แต่เศร้าเพราะกงชิง ผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ แสนยิ่งใหญ่ แต่สวนหลังบ้านมัก มีเรื่องรุมเร้าไม่เว้นวัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็คงอยู่ไม่ เป็นสุข
อาหยูมองไปที่อันหลิงหยุน “พระชายา นี่คือเรื่องที่ ข้าน้อยก่อขึ้นคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ พระ ชายาไม่จำเป็นต้องช่วยข้า”
“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า น้องสาวเจ้าตายแล้ว ส่วน เจ้าก็ใช้ชีวิตคุ้มแล้วอย่างนั้นหรือ?” อันหลิงหยุนอา รมณ์ไม่ดี
อาหยูเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่อาหยู กระทำกลับไม่มีเรื่องใดที่ตรงไปตรงมาสักนิด หากเขา อยากจะตายก็ไปตายให้ไกลหน่อย เวลานางเห็นจะได้ ไม่ต้องรู้สึกรำคาญใจ
มาตอนนี้เขานั่งคุกเข่าที่ลาวโอวหลานไม่ยอมลุก ส่วนนางเองก็ไม่ได้ตาบอด จะมองไม่เห็นได้กระไร?
แต่เดิมนางตั้งใจจะจากไป มาตอนนี้นางกลับนึก เสียใจที่กลับมาพร้อมกงชิง
ตัวนางเองยังเอาตัวเองไม่รอด แต่กลับต้องมารับ ดาบแทนอาหยู
ช่างไม่มีเหตุผล!
อาหยูไม่เอ่ยพูด
อันหลิงหยุนมองไปที่ห้องของกงชิง วี่ เพื่ออาหยู นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปเคาะประตู “ท่าน อ๋อง”
“พูด”
กงชิงวี่ที่กำลังโกรธเกรี้ยว เอ่ยคำราม
สีหน้าอาหยูเป็นกังวล เขารีบเข้าไปดูอันหลิงหยุน เกรงว่าจะทำให้นางเดือดร้อนไปด้วย
อันหลิงหยุนเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าเคยสัญญากับอาห
ยูว่าจะไปช่วยคน แต่ปัญหาของเขื่อนตูฟางจู้นทำให้
ท่านอ๋องเป็นกังวลมาโดยตลอด ข้าจึงก็ไม่สะดวกที่จะ
เอ่ยเรื่องของอาซิวขึ้นมา เรื่องของเขื่อนตูฟางจุนพอจะมีทางแก้ขึ้นมาอยู่ บ้าง เมื่อคืนข้าจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นกับท่านอ่อฮง แต่ท่าน
กลับโกรธจนจากไป ข้าเองก็ไม่ได้นำมาใส่ใจอะไร
เพียงแค่ยามอาหารเช้าข้าไม่เห็นพ่อบ้าน เมื่อ สอบถามถึงค่อยรู้ว่าเขากำลังร้องไห้อยู่หน้าประตู ที่แท้เป็นเพราะคนนำความมาบอกว่าอาซิวใกล้จะไม่ ไหวแล้ว
เมื่อคิดว่าตนไม่ควรผิดคำพูด ข้าจึงไปร้องขอท่าน ถางให้พาข้าไปหาอาซิว
ท่านถางสงสารพ่อบ้านจึงได้ไปที่คุกใต้ดิน
หลังจากช่วยอาซิว พวกเราก็กลับจวน แต่ยามที่ ไปถึงประตูเมือง ข้าก็คิดได้ว่าเรื่องนี้มิอาจให้ท่านอ๋อง ตำหนิท่านถางและพ่อบ้านได้
ถึงกระไรก็ต้องรับโทษ ดังนั้นข้าจึงคิดจะรับโทษ ด้วยตนเอง
เนื่องจากอาจเป็นอัตรายถึงชีวิต ดังนั้นท่านถาง และพ่อบ้านจึงกลับมาก่อน
ดังนั้นเมื่อพวกเขากลับไปถึงจวน หม่อมฉันจึงโดด เดี๋ยว
หลังจากเข้ามาในเมือง หม่อมฉันก็เห็นเสินหยุนเจ๋ เข้ามาขวางหน้ารถม้าของหม่อมฉันเอาไว้ ซ้ำยังบอกว่า ข้าและเขาเป็นคู่รักตั้งแต่เยาว์วัย อีกบอกอีกว่าข้า สัญญากับเขาว่าจะแต่งงานเป็นภรรยาของเขา
หม่อมฉันหวาดกลัวและถูกเขาทำให้ตกใจขึ้นมา
หม่อมฉันเอ่ยอยากไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ในคืนวัน แต่งงานหม่อมฉันทานยามากเกินไป จากนั้นก็ตายไปแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมาหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก สำหรับเสินหยุนเจ๋ หม่อมฉันไม่รู้จักเขาจริงๆ
แต่หลายครั้งเขาก็ยังเอ่ยถึงเรื่องที่น่าตื่นตระหนก พวกนั้น หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำเช่นไร
หากหม่อมฉันเคยสัญญากับว่าจะแต่งงานกับเขา จริง หม่อมฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมก่อนการแต่งงาน หม่อมฉันถึงได้คลั่งไคล้คะนึงหาท่านอ่องขนาดนั้น แต่ หากในใจของหม่อมฉันมีแค่ท่านอ่อง เช่นนั้นเหตุใด เสิ่นหยุนเจ๋ถึงได้เอ่ยคำพูดที่ฟังแล้วสมเหตุสมผลอย่าง ยิ่งขึ้น
หม่อมฉันคิดไม่ออก
เขาหยิบแส้ขึ้นมาและยืนกรานที่จะส่งข้ากลับบ้าน อีกทั้งยังไม่ให้ข้ากลับมายังจวนอ่องเสียน และนำเสื้อ คลุมของเขามาให้แก่ข้า เขาเอ่ยว่าเขาเห็นคนของจวน เสียนอ่องทิ้งหม่อมฉันไว้ลำพังยามค่ำคืน ไม่สนใจว่า หม่อมฉันจะใส่เสื้อผ้าน้อยแค่ไหน ไม่สนใจว่านี่เป็น เวลากลางดึก บอกว่าข้าช่างโง่งมเฉกเช่นเมื่อก่อน ที่ ทำเป็นแค่เอาใจท่านอ่องและไม่สนใจสิ่งอื่นใด
เขาบอกข้าว่าหากมีโจรขึ้นมาและพาตัวข้าไป ต่อ ให้ข้าจะร้องไห้แทบตายก็ไม่มีใครสนใจแน่”
“เข้าม” กงชิงวี่เอ่ยเสียงคำรามขึ้นมาอย่าง
กะทันหัน จนอาหยูตัวสั่นสะท้าน เห็นได้ว่าท่านอ่อง
โกรธมากขนาดไหน
แต่ในเวลานี้ อันหลิงหยุนกลับนิ่งสงบ คำพูดเหล่า นั้นนางเอ่ยออกมาอย่างเป็นปกติอย่างยิ่ง ราวกับว่า เป็นเพียงบทละครบทหนึ่งเท่านั้น
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ