ยอดหมอยาของอ๋องเสียน

บทที่ 122 นี่แทบจะทำให้ข้าโกรธแทบตายแล้ว



บทที่ 122 นี่แทบจะทำให้ข้าโกรธแทบตายแล้ว

“ทำไมถึงเป็นท่าน?” เป็นไงบ้าง” การได้เห็นเสิน หยุนเจ๋ สีหน้าของอันหลิงหยุนก็กลับมาดีขึ้น เพราะ ท้ายที่สุดเส้นหยุนเจ๋จะไม่ทำร้ายนาง

“เห็นเจ้าแต่งตัวแบบนี้ออกมา ข้าก็รู้แล้วว่าเรื่องที่ เจ้าจะทำไม่ใช่เรื่องดีอะไร มาทำอะไรที่นี่กัน ที่ที่ อากาศหนาวเหน็บแบบนี้ มือเท้าเจ้าเย็นลง ไม่กลัวแข็ง ตายอยู่ข้างนอกหรือไง?” เสินหยุนเจ๋กล่าวไปขณะเดิน ไปที่ยังตรงหน้าของอันหลิงหยุน

อันหลิงหยุนกลับไม่กลัวเขา นางถามกลับ “เจ้า ตามข้ามาเพราะกลัวว่าข้าจะเกิดเรื่อง?”

“หรือจะให้ข้ากลัวว่าเจ้าจะกลายเป็นนางฟ้า?” เสินหยุนเจ๋ตอบอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มมายืนอยู่ตรง หน้าอันหลิงหยุนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขากำลัง มองไปที่อันหลิงหยุน จนทำให้นางรู้สึกอึดอัด

อันหลิงหยุนงงงัน “ข้ารู้จักท่านมาก่อนเพื่อนกันงั้น หรือ?”

“ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อน ในเมืองนี้ จะมีใครที่สามารถ %3D มีชื่อเสียงชั่วร้ายเหม็นโฉ่ขนาดนั้นได้อีก ข้าและเจ้าคน หนึ่งผีเน่า อีกคนโลงผุ ย่อมถูกจัดให้กลายเป็นคน ประเภทเดียวกันไป” เสินหยุนเจ๋เอ่ย เขาปลดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนตัวออก จากนั้นจึงคลุมมันลงบนตัวของ อันหลิงหยุน

อันหลิงหยุนก้มมองที่ไหล่ของตน จากนั้นจึงมอง ไปที่เสินหยุน”เจ้าให้เสื้อคลุมขนสัตว์กับข้า เจ้าไม่ หนาวหรือ?”

“หนาวแต่ทนได้ เจ้าเป็นสตรี ใส่ให้มากหน่อยยังไง ก็ดีกว่า ส่วนข้านั้นเคยชินแล้ว ชายแดนนั้นทั้งมีลมแรง และเต็มไปด้วยฝุ่น หน้าหนาวนั้นก็หนาวเหน็บ เทียบ กับที่นี่แล้วต่างกันมาก ที่นี่ดราวกับเตียงอุ่นๆ ดีอย่าง ยิ่ง” เสินหยุนเจ๋เดินไปรอบๆ แม่น้ำ หันหลังเอ่ยกับอัน หลิงหยุน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นเคือง

อันหลิงหยุนเอ่ยถาม “เจ้าไม่ชอบชายแดนไม่หรือ ไม่?”

“ไม่ชอบ แล้วจะทำกระไรได้? ข้าอยู่ที่นี่มีแต่จะ ทำให้พวกเขาเป็นกังวล” เสินหยุนเจ๋ยิ่งเย็นชามากขึ้น

หลิงหยุนถาม “เช่นนั้นการที่เจ้าเอ่ยเรื่องพวกนี้กับ ข้า เจ้าต้องการให้ข้ารู้อะไร?”

“ตรงนั้นไม่ดี แต่ข้าก็ผ่านมันมาได้ ทั้งวันและคืน ข้าคิดถึงแค่เพียงคนๆหนึ่ง คนๆนั้นทำให้ข้าสามารถ อดทนกับมันไปได้ ข้าเคยเอ่ยเอาไว้ว่า ข้าจะต้องกลับ ไปพร้อมชัยชนะ ข้าจะต้องไม่แพ้พ่าย นางบอกว่าจะ อยู่รอต้อนรับข้า ไม่เมาไม่เลิกรา”

“เจ้าคงไม่ได้พูดถึงข้าใช่หรือไม่?” อันหลิงหยุนรู้สึกประดักประเดิด ราวกับว่ามีเรื่องเข้าใจผิด เจ้าของ ร่างเดินเห็นขัดๆ ว่าชอบกงชิง วี่ เหตุใดจึงมีเสินหยุนเจ๋ โผล่ออกมาได้? หรือนางจะเหยียบเรือสองแคม?

“เจ้าจำไม่ได้หรือ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างพวกเขาทำ อะไรกับเจ้าเอาไว้?” เสินหยุนเจ๋หันไปมองอันหลิงหยุน

อันหลิงหยุนได้แต่เอ่ย “เดิมที่ข้าไม่ทันระวัง บังเอิญตกลงไปในแม่น้ำจนเกือบจมน้ำ หลังจากตื่นขึ้น มาความทรงจำข้าก็หายไปบางส่วน”

“ดังนั้นเจ้าจึงจำข้าไม่ได้?”

เสินหยุนเจ๋รู้สึกขบขัน ราวกับว่าอันหลิงหยุนกำลัง เอ่ยโกหก อันหลิงหยุนถูกเขามองจนในใจรู้สึกเต้น กระหน่ำขึ้นมา

เสินหยุนเจ๋ยกมือขึ้นเพื่อจะตีอันหลิงหยุน ดวงตา ของหลิงหยุนมืดลง นางยกมือขึ้นและซ่อนเข็มเงิน หลายอันไว้ระหว่างหมัดของตน สีหน้าของเสินหยุนเจ๋ เปลี่ยนไปทันที เขาก้าวถอยหลัง “เจ้าไม่ใช่นาง”

อันหลิงหยุนรู้ว่านี่ไม่ดีแน่ เมื่อครู่เสินหยุนเจ๋กำลัง ทดสอบนาง ดังนั้นนางจึงรีบเก็บเข็มเงินในมือเข้าไป

ใบหน้าของนางหมดความอดทน อันหลังหยุนก้าว หลบไปข้างๆ สองก้าว จาดนั้นจึงมองดูสีหน้าขาวซีด ของเสินหยุนเจ๋ จากนั้นจึงปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ของ เขาวางไว้ที่พื้น

“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ข้าจำไม่ได้จริงๆ ว่าเจ้าเป็นใคร” อันหลิงหยุนสงบนิ่ง นางสามารถยอมรับได้ ว่าเจ้าของเดิมเหยียบเรือสองแคม แต่มิอาจยอมรับว่า ถูกเปิดโปงได้

ถ้าหากพูดถึงกงชิงวี่นางยังพอทนยอมรับได้ แต่ มาวันนี้กลับมีเสิ่นหยุนเจเพิ่มขึ้นมาอีก นี่ย่อมเพิ่มความ ไม่มั่นคงขึ้นไปอีกขั้นแล้ว

เสินหยุนเจ๋หันกลับมา “พวกเจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน แล้ว เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าคืออันหลิงหยุน ไม่ว่าเข้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าใช้” อันหลิงหยุนเดินไปด้านหนึ่ง นางออกมาไม่ ได้เพื่อมานัดพบคนลับๆ เวลามีจำกัด นางจะต้องรีบหา มันโดยเร็ว

ตุ๊กแกนั้นเติบโตบนเขา ในถ้ำและป่า แต่เดิมนาง ไม่คิดว่าจะมีในสถานที่เช่นนี้ หลังจากไปสืบถามนาง ถึงค่อยรู้ว่าบนภูเขาแห่งนี้มีของสิ่งหนึ่ง หัวโต ตัวเล็ก หางสั้น นางก็รู้ทันทีว่ามันคือตุ๊กแกแต่คนที่นี่เรียกมันว่า เสี่ยวหลง

อีกทั้งการจะหาตุ๊กแก จำเป็นต้องไปหาในที่ที่มีน้ำ ตุ๊กแกวางไข่ในน้ำ พวกมันไม่สามารถออกจากน้ำไป ไหนไกลได้ ตุ๊กแกไม่ได้อาศัยอยู่ในน้ำ แต่สามารถพบได้ในน้ำ

อันหลิงหยุนต้องการค้นหาร่องรอยของมัน

นางเดินไปรอบๆ แหล่งน้ำ ด้านหนึ่งเดินด้านหนึ่งสังเกตการณ์ จากนั้นจึงหยุดลง นางถกเสื้อขึ้นและยื่น มือออกไปยกน้ำแข็งขึ้นมาชั้นหนึ่ง

แขนเสื้อเปิดออก มือของนางเอื้อมไปจับหญ้าที่ ตายแล้วเอาไว้นางดึงมันออกและโยนทิ้งไป จากนั้น จึงออกไปตรวจสอบโยนรอบๆ อีกครั้ง และเดินขึ้นไป ในภูเขา

หลังจากเดินไปรอบหนึ่ง อันหลิงหยุนก็พบถ้ำใน ภูเขาก่อนที่ฟ้าจะมืดลง

ถ้ำนั้นใหญ่อย่างยิ่ง อันหลิงหยุนสามารถเดิน เข้าไปได้ นางไม่ได้รีรอต่อไป นางโค้งตัวเดินเข้าไป ทันที

เมื่อเข้าไปข้างใน หูของนางก็ตั้งใจฟัง นางรู้สึกว่า มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้นแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันไม่ได้ ส่งกลิ่นเหม็นสาบออกมา นั่นย่อมหมายถึงมันไม่ได้เป็น สัตว์ใหญ่ประเภทแมว อีกทั้งยังไม่ใช่สุนัขจิ้งจอก นอกจากนี้ก็ไม่ได้อยู่ในช่วงที่เคลื่อนไหวในเวลานี้อีก ด้วย”

นอกเหนือจากสัตว์เหล่านี้แล้ว อันหลิงหยุนไม่ได้ กังวลอะไรอีก

หลังจากเดินเข้าไปข้างในสักพัก บนพื้นก็มีบาง อย่างคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็วและส่งเสียงดัง

อันหลังหยุนหยิบถุงผ้าขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นขาออก ไป นางรู้สึกได้ว่าของที่อยู่บนพื้นถูกพลิกตัวกลิ้งออกไป อันหลิงหยุนเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว มือเท้า แม่นยำ เพียงชั่วครู่ก็จับตุ๊กแกเอาไว้ได้ จากนั้นจึงโยน ลงถุงผ้า ปิดปากถุงเอาไว้ และเดินไปยังปากถ้ำ

แสงสว่างเล็กน้อยที่ทางเข้าถ้ำ มีคบไฟสว่างขึ้นมา เสินหยุนเจ๋ยืนอยู่ที่ปากถ้ำ

อันหลิงหยุนหดหู่ยังตามมาหลอกหลอนนางอยู่

อีก

นางเดินไปตรงหน้าของเสินหยุนเจ๋อันหลิงหยุนพู ดอย่างหมดความอดทน “เจ้าตามข้ามาตลอด?”

“เจ้าคืนหยุนหยุนมาให้ข้า ข้าก็จะเลิกตามเจ้า” ดวงตาของเสินหยุนเจ๋ลึกล้ำ อันหลิงหยุนได้แต่เอ่น “ข้าก็อยาก แต่เสียดายที่ข้าไม่มี”

“เช่นนั้นข้าจะประกาศเรื่องของเจ้าออกไป”

“ตามใจเจ้าเถอะ”

อันหลิงหยุนเดินผ่านเขาไป เมื่อออกมาจากถ้ำ และเห็นว่าฟ้ามืดลงแล้วจึงคิดจะกลับ

เสินหยุนเจ๋ติดตามนางไปตลอดทางราวกับเงา ตามตัว จนถึงประตูเมือง อันหลิงหยุนหยิบตราประทับ ที่เอวขึ้นมาและเข้าเมืองไป แต่เดิมนางคิดจะกลับไป ให้เร็วหน่อย กระไรก็ตามนางพบกับรถม้าของจวนอ่อง ตวนที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา คนขับตะโกนเสียงดัง “หลบ

ไป พระชายาตวนออกเดินทาง”

อันหลิงหยุนเห็นรถม้ามาถึงตรงหน้าแล้ว จะหนีก็ไม่ได้ จึงยกมือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ของมนุษย์

ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้นเอง ร่างกายของนางถูก รวบเอาไว้กลางอากาศ จากนั้นจึงค่อยๆ หมุนลงมา หยุดลงกับพื้น

อันหลิงหยุนมองไปที่เสินหยุนเจ๋ที่ค่อยๆ ปล่อย นางออก เสินหยุนเจ๋ขมวดคิ้ว “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน | แน่? เจ้าเป็นใคร? ”

หลิงหยุนไม่ได้เอ่ยพูด นางถูกทำให้ตกใจไปไม่

น้อย

ขุนฉูฉุมองผู้คนเป็นผักปลา ดังนั้นนางจึงไม่ใส่ใจ ในชีวิตของผู้คนสักนิด ใครกล้าเอ่ยปากก็ลองดู บน ถนนใหญ่เช่นนี้ จะชนใครก็ไม่สำคัญ ถนนนี้เป็นของ ตระกูลนาง

อันหลิงหยุนหันไปมองดูรถม้าที่ถูกควบวิ่งไป มัน หายไปแล้ว

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” เสินหยุนเจ๋ถามนาง

อันหลิงหยุนผลักเสินหยุนเจ๋ออก นางโบกมือ “ข้า ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ท่านช่วยเอาไว้”

“ข้าไปส่งเจ้า”

เสินหยุนเจ๋ดึงข้อมือของอันหลิงหยุนเอาไว้ และ เตรียมไปส่งนางไปที่จวนแม่ทัพ
อันหลิงหยุนดึงมือออก ไม่จำเป็น วันนี้ขอบคุณ แม่ทัพน้อยที่ช่วยข้าเอาไว้ ข้าขอตัวกลับก่อน ต่อหน้า สาธารณชน ฉุดกระชากกันเช่นนี้ หากคนเห็นเข้าจะ ตกเป็นขี้ปาก”

“ตอนนี้เจ้าแต่งตัวยังไง ยังจะตกเป็นขี้ปากอะไร ได้อีก?”

เสินหยุนเจ๋หงุดหงิด เขามองไปที่เสื้อผ้าผู้ชายบน ตัวนาง จากนั้นจึงดึงอันหลิงหยุนไปราวกับลูกไก่ตัว น้อย

อันลิงยุนถูกลากไปครึ่งถนน ก็เงียบขึ้นมา

นางคิดไม่ถึงว่าเสิ่นหยุนเจ๋จะแข็งแกร่งมากขนาด นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้แขนเสื้อของตนต้องขาดออก อัน หลิงหยุนได้แต่ยอมแพ้

เมื่อเขาไปถึงประตูจวนแม่ทัพ เสินหยุนเจ๋ก็ปล่อย อันหลิงหยุน “หากไม่มีเรื่องอะไรอย่าออกนอกเมืองไป คนเดียว หลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยาก”

“ขอบคุณแม่ทัพน้อย” อันหลิงหยุนทำตัวไม่ถูก นี่ นางตกเป็นเป้าหมายแล้วใช่หรือไม่?

“เข้าไปเถอะ”

“เชิญแม่ทัพน้อย ข้ามองส่งท่าน”

“อืม”

เสินหยุนเจ่หันกลับไปทางจวนเสินเฉิงเสี้ยง เขาไม่ได้หันกลับมา แต่แค่เดินไปอย่างช้าๆ

อันหลิงหยุนรอสักครู่ คนเฝ้าประตูก็ออกมาและ เห็นว่าเป็นอันหลิงหยุน เขาอ้าปากถามว่า “คุณหนู ทะเลาะกับคุณท่าน อีกแล้วหรือขอรับ?”

อันหลิงหยุนมองอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมไม่มอง ข้าในแง่ดีๆ บ้าง?”

“ครับ”

อันหลิงหยุนเห็นว่านางมาถึงจวนแม่ทัพแล้ว จึงส่ง คนไปที่จวนอ๋องเสียนเพื่อบอกกล่าวสักเล็กน้อย วันนี้

นางมารับประทานอาหารค่ำที่จวนแม่ทัพแล้วจะกลับ

ไป หลังจากคนที่นั่นรู้และนั่งลงได้ไม่นาน กงชิงวี่ก็มา

ด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นกงชิงวี่อันหลิงหยุนก็ได้แต่ต้องลุกขึ้นมา

“ท่านอ๋อง”

“อืม”

กงชิงขี่มองอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงเดิน เข้าไปข้างใน

“ท่านพ่อตา” กงชิงที่ไปพบแม่ทัพอันและทักทาย เขาก่อนเป็นอย่างแรก

อันหลิงหยุนมองจากด้านหนึ่งด้วยสีหน้าหดหู เอ่ย เสียงคล่องปากขนาดนั้น ซ้อมมาดีสินะ?
ได้หันกลับมา แต่แค่เดินไปอย่างช้าๆ

อันหลิงหยุนรอสักครู่ คนเฝ้าประตูก็ออกมาและ เห็นว่าเป็นอันหลิงหยุน เขาอ้าปากถามว่า “คุณหนู ทะเลาะกับคุณท่าน อีกแล้วหรือขอรับ?”

อันหลิงหยุนมองอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมไม่มอง ข้าในแง่ดีๆ บ้าง?”

“ครับ”

อันหลิงหยุนเห็นว่านางมาถึงจวนแม่ทัพแล้ว จึงส่ง คนไปที่จวนอ๋องเสียนเพื่อบอกกล่าวสักเล็กน้อย วันนี้

นางมารับประทานอาหารค่ำที่จวนแม่ทัพแล้วจะกลับ

ไป หลังจากคนที่นั่นรู้และนั่งลงได้ไม่นาน กงชิงวี่ก็มา

ด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นกงชิงวี่อันหลิงหยุนก็ได้แต่ต้องลุกขึ้นมา

“ท่านอ๋อง”

“อืม”

กงชิงขี่มองอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงเดิน เข้าไปข้างใน

“ท่านพ่อตา” กงชิงที่ไปพบแม่ทัพอันและทักทาย เขาก่อนเป็นอย่างแรก

อันหลิงหยุนมองจากด้านหนึ่งด้วยสีหน้าหดหู เอ่ย เสียงคล่องปากขนาดนั้น ซ้อมมาดีสินะ?
อันหลิงหยุนยิ้มอย่างประดักประเดิด เขาลงมือไปแล้วอย่างที่คิด

“ข้าก็แค่รีบร้อนไปจัดการธุระ เห็นว่าท่านกำลังยุ่ง ขนาดนั้น”

“ข้ายุ่งมากจริงๆ ข้าไม่โทษพระชายา” ปากบอกไม่ โทษ แต่กงชิงวี่กลับกัดฟันกรอก

อันหลิงหยุนโมโห “หากท่านไม่โทษข้า ท่านคงไม่ โบยอาหยู ขังหงเถาและลุ่ยหลิว นี่เห็นชัดๆ ว่าท่าน กำลังทำให้ข้าดู”

“ข้าจับหมาจิ้งจอกหางสั้นเอาไว้แล้วด้วย” กงชิงวี่ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

อันหลิงหยุนประหลาด “จับนางมาทำอะไร”

“นางไม่ได้ดูแลเจ้านายให้ดี ส่งกลับไปยังถ้ำ จิ้งจอก เพื่อผสมพันธุ์ จากนั้นจึงค่อยฝึกมันใหม่ แบบนี้ ถึงค่อยฟังคำพูดของข้ามากขึ้น”

“กงชิง เจ้าทำเรื่องแบบนี้กลับจิ้งจอกได้ลง โหด

ร้าย” อันหลิงหยุนว่าเขา กงชิงหันกลับมา ดวงตาดุร้าย “พูด”

อันหลิงหยุนถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจ ไปชั่วขณะ แต่เพื่อหมาจิ้งจอกหางสั้นแล้ว นางยังคงไม่ ยอมถอย “หากท่านกล้าส่งจิ้งจอกน้อยกลับรัง พรุ่งนี้ ข้าจะไป”
“เจ้าไป? ” กรุงชิงที่เข้าใกล้นางในขณะที่มีอยังไพล่ หลัง อันหลิงหยุนโมโหอย่างยิ่ง

สู้ไม่ชนะเขา ไม่อย่างนั้นคงจะเตะเขาออกไป


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ