บทที่ 208 ลักลอบสังหาร
ทันใดนั้นชายชุดดำสี่คนก็เข้าประชิดอันหลิงหยุน อันหลิงหยุนเห็น ชายทั้งสี่นั้นออกมาจากกำแพงและออกมาจากพื้น ทั้งยังแยกกันเป็น สองกลุ่มอยู่ด้านหน้า
เมื่อเห็นพวกมันมาแล้ว อันหลิงหยุนก็ชักกระบื่ออกมา พร้อมหยิบผง ยาขึ้นมาด้วย
นางมิหวาดกลัวต่อพวกมันแม้แต่น้อย แสดงให้พวกมันได้รู้ว่า ความ
ตายไม่น่ากลัว เท่าการอยู่อย่างตายทั้งเป็น
หากมาไม่เยอะมากเกินไป ยังไงก็ไม่เกินความสามารถของอันหลิง หยุน
“วางอาวุธซะ” ชายผู้หนึ่งออกคำสั่ง พร้อมเข้าโจมตีอันหลิงหยุนที่ พร้อมรับมืออยู่แล้ว และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จู่ๆก็มีคน ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง เป็นคนจำนวนไม่น้อยที่มาช่วยหนุน พร้อมปกป้องอันหลิงหยุนให้หลบอยู่ด้านหลังในทันที
พวกเขามีประมาณเจ็ดถึงแปดคน ซึ่งดูแล้วหาใช่คนในวังไม่ โดย แต่ละคนสวมชุดสีดำ และถือดาบยาวไว้ในมือ
เมื่อปลายดาบกระทบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เกิดประกายไฟ ขึ้น
อันหลิงหยุนได้แต่เฝ้ามองผู้คนตรงหน้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด อัน หลิงหยุนไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะมีคนเหล่านั้นที่ปรากฏกายขึ้นมาช่วย เหลือ นางจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง
แต่พวกเขานั้นไม่ลดละ พยายามกันอย่างเต็มที่ในการสังหารอัน หลังหยุน
อันหลิงหยุนยืนอยู่ด้านหลัง สังเกตการณ์พลางเตรียมพร้อมที่จะ รับมือกับสงครามตรงหน้าอยู่ทุกเมื่อ
การกระทบกันของดาบในการต่อสู้ทำให้เกิดประกายไฟ พวกที่มา ลอบสังหารก็ได้ส่งสัญญาณเรียกพวกพ้องออกมา และแน่นอนว่าพวก มันปรากฏตัวขึ้นกันอย่างรวดเร็ว
อันหลิงหยุนสังสัยว่า จักเป็นไปได้เยี่ยงไรที่มีคนเข้าออกวัง โดยไม่มี
ผู้ใดสังเกตเห็นเลย
หรือว่า คนพวกนี้จักเป็นคนในวัง?
อีกฝ่ายมีคนกว่ายี่สิบคน กรู่เข้ามาขัดขวางภายใต้แสงจันทร์ทรานี้ พวกมันล้อมตัวและปิดกั้นทางหนีของอันหลิงหยุนไว้ ดูเหมือนจะไม่ ลดละความพยายามในการสังหารอันหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย
ชายชุดดำเจ็ดถึงแปดคนในด้านนี้ก็ขนาบข้างพลางล้อมรอบตัวอัน หลังหยุนไว้ หนึ่งในนั้นสั่งว่า: “พาพระชายาออกไปให้ได้”
“มีคนมาจากด้านหลังอีกแล้วขอรับ” มีคนคนหนึ่งกล่าวขึ้น
คนที่สั่งการหันไปมอง พวกเขากระจายตัวล้อมอันหลิงหยุนในทันที โดยอยู่ด้านหน้าสี่คนด้านหลังอีกสี่คน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะโต้กลับ
ศัตรู
อันหลิงหยุนรู้ว่านางนั้นโชคร้ายเสียแล้ว
“ไหนดูเสียหน่อยว่าพวกเจ้าจักหนีไปที่ใดได้?” คนที่พูดเริ่มใกล้เข้า มา อันหลิงหยุนจึงกล่าวว่า: “พวกท่านไปกันก่อนเถิด เป้าหมายของ พวกมันคือข้า”
” ไม่มีใครสนใจคำของอันหลิงหยุน ทั้งแปดคนหมุนไปรอบๆ เพื่อป้องกันอันหลิงหยุนไว้
อันหลิงหยุนถาม: “พวกท่านเป็นคนของใครกัน?” และแน่นอนว่าไม่มีใครตอบกลับ
พวกที่ต้องการสังหารเข้าจู่โจมทันที สามคนเข้าปะทะด้วยความ แข็งแกร่ง มีคนหนึ่งเข้าประชิดตัวอันหลิงหยุน ดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ จะไม่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
อันหลิงหยุนมองไปที่พวกเขาทั้งหลาย การต่อสู้ของพวกเขานั้น คล่องแคล่วอย่างน่าทึ่ง มากกว่าสหายร่วมรบของนางเสียอีก พวกเขา
เป็นใครกันแน่?
สุดท้าย ฝั่งที่มีคนน้อยกว่า จึงสู้ไม่ไหว ทำให้หนึ่งในนั้นถูกฟันจนล้ม ลง อันหลิงหยุนอยากจะเข้าไปช่วย แต่คนข้างๆคว้ามือไว้ พร้อมกล่าว ว่า: “ช้าก่อนพระชายา”
อันหลิงหยุนขยับไปไหนไม่ได้ มองไปที่คนอื่นๆ ก็คิดว่าตอนนี้เรายัง ไม่พ่ายแพ้ แต่ไม่ช้าก็เร็วคงแพ้พ่ายเป็นแน่ และแล้วการต่อสู้ก็ทวีคูณมากขึ้น เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาอีกทาง
คราวนี้คนเหล่านี้ก็ว่องไวกันอย่างมาก
เป็นชายชุดดำสิบกว่าคน ที่จู่ๆก็หยุดชะงักไป
พลางยกดาบกันขึ้นมา
ฝ่ายที่อารักษ์อันหลิงหยุนจึงกล่าวขึ้น: “อารักขาพระชายา”
ทุกคนเตรียมความพร้อมอารักขาอันหลิงหยุน โดยให้อันหลิงหยุน ยืนอยู่ตรงกลาง
คนฝั่งตรงข้าม ก็หันมามองกันและกัน พร้อมแทรกเข้ามาในทันใด อันหลิงหยุนรู้สึกประหม่า เพราะพวกเขามีมากเกินไปจนน่ากลัว แม้ว่าอันหลิงหยุนมักอยู่ในหน่วยกรองข้อมูลของฝ่ายศัตรูอยู่บ่อย ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้พบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
เห็นคนวิ่งเข้ามา ก็ต่อสู้กันไปกันมา และพวกเขาเหล่านั้นก็กำลังฆ่า คน ง้างดาบขึ้นและฟันลงไปดั่งการฆ่าคนนั้นง่ายดายเหมือนฆ่าแมลง อันหลิงหยุนถามคนที่ประชิดตัวอยู่ข้างๆ “พวกท่านรู้จักหรือไม่?”
“ไม่รู้จัก ไม่ใช่คนของพวกเรา”
คนข้างตัวอันหลินหยุนตอบกลับ นางจึงกล่าว : “แค่ไม่ฆ่าเราก็เป็น
พอ”
หลังจากที่อันหลิงหยุนพูดจบ นางก็สะบัดมือพลางเดินไปข้างหน้าผู้ ที่ได้รับบาดเจ็บ นางหยิบยาออกมาเอาใส่ปากอีกฝ่าย คนอื่นๆที่ใส่ หน้ากากอยู่ อันหลิงหยุนก็ดึงหน้ากากออกแล้วยัดยาเข้าปากไป อีก ฝ่ายตกตะลึงกันอยู่นาน
อันหลิงหยุนฉีกแขนเสื้อของพวกเขาแล้วพันแผลให้
ในเพลานี้ บนพื้นนั้นราบเป็นหน้ากลอง หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ชายชุดดำที่ฆ่าคนมิเอ่ยสิ่งใด เขาเหลือบมองอันหลิงหยุนแล้วถอย จากไป
พวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตาเดียว
ชายชุดดำผู้อารักขาอันหลิงหยุนก็วางมือ และจากไป
อันหลิงหยุนเพียงหันหน้า คนก็หายไปแล้ว นางกวาดสายตามองบน พื้นอีกครั้งก็ได้เห็นคนตายกว่าสามสิบคน
อันหลิงหยุนรู้สึกตกใจอย่างมาก เพราะนอกจากการได้เห็นคนตาย ในเวลารบแล้ว ตอนนี้นางแค่อยากช่วยชีวิตผู้คนเพียงเท่านั้น แต่ไม่ เคยคิดมาก่อนเลยว่าจักมีผู้คนล้มตายมากมายถึงเพียงนี้
อันหลิงหยุนค่อยๆเดินอ้อมคนเหล่านั้นไป
เดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีเสียงตะโกนเรียกดังขึ้น: “อันหลิงหยุน อัน
หลิงหยุน..”
เมื่ออันหลิงหยุนได้ยินเสียงของเส้นหยุนเจ๋ ก็หยุดทันที
เงินหยุนเจวิ่งมาข้างหน้าอันหลิงหยุน มองอันหลิงหยุนที่ยืนนิ่งไม่
ไหวติง ก็นึกว่านางตกใจกลัว จึงเข้าโอบกอดนางเอาไว้
อันหลิงหยุนผลักเงินหยุนเจ่ออกไป
นางทำอะไรไม่ถูก หากกงชิงวี่รู้เข้าต้องโมโหมากเป็นแน่ เส้นหยุนเจกาม: “เป็นอย่างไรบ้าง? กลัวมากใช่หรือไม่?”
อันหลิงหยุนส่ายหน้า: “ยังพอไหว ว่าแต่คนพวกนี้เข้ามาในวังได้ อย่างไรกัน แล้วพวกมันเป็นใครกันแน่?”
เมื่อถูกถามโดยอันหลิงหยุน เส้นหยุนเจ๊ก็ไปตรวจดูทันที พอดึงผ้า ปิดหน้าออก เสินหยุนเย่ถึงกับผงะไป อันหลิงหยุนก็แน่ใจว่าเคยเห็น บุคคลผู้นี้ ซึ่งเป็นขันทีของวังที่นางเคยพบมาก่อน
เงินหยุนดูอีกสองสามคน ก็พบว่าพวกเขาเป็นคนของวังเพิ่ง
หยีเช่นกัน
ในขณะที่เงินหยุนหยุดนิ่ง
อันหลิงหยุนก็ขยับตัวออกจากกองมรณะนี้ พร้อมเดินจากไป
เฉินหยุนเจ๋เรียกนาง: “ท่านอย่าเพิ่งไป” อันหลิงหยุนยังอยู่และมองดูหยุนจุดคบเพลิง เผาร่างคนเหล่า
นั้นทั้งหมดที่นอนกองอยู่บนพื้น
อันหลิงหยุนไม่ทำการใด อีกทั้งยืนดูการทำลายหลักฐานของ
หยุนเจ
หลังจากการเผา เสินได้นำธนบัตรเป็นจำนวนห้าหมื่นตำลึง ออกมาจากแขนเสื้อเขาให้แก่อันหลิงหยุน แต่อันหลิงหยุนไม่ได้รับเงิน มา: “ข้ามีเงินอยู่แล้ว แม่ทัพน้อยจงเก็บไว้เถิด
เดี๋ยวก็จักมีคนมากันแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ
อันหลิงหยุนรู้ว่า เสินหยุนเจไม่ได้ต้องการจะทำลายให้ร่างเหล่านี้ให้ มอดไหม้หายไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในเวลาอันสั้น เสินหยุนเจ๋เพียง แต่ต้องการให้คนเหล่านี้เสียโฉมเพียงเท่านั้น
ส่วนจะเป็นเช่นไรต่อนั้น ฮ่องเต้อาจมิซักถามมูลเหตุอันใด เพราะ ฮองเฮานั้นกำลังทรงพระครรภ์ ด้วยเหตุนี้ฮองไทเฮาจึงทำสิ่งใดต่อ ฮองเฮามิได้
อันหลิงหยุนเดินไปตามกำแพง เสินหยุนก็เดินตามนางไปด้วย ทั้งสองไม่มีใครพูดสิ่งใด เพียงรีบเดินออกจากที่แห่งนั้น เมื่อคนในวัง
เห็นว่าเกิดไฟไหม้ก็เริ่มมีคนมาทางนี้กันแล้ว เสินหยุนเจ๋อุ้มอันหลิงหยุน พลางกระโดดขึ้นบนกำแพงวัง และกระโดดลงไปยังอีกวังหนึ่ง
อันหลิงหยุนนั้นเดินช้าๆ เพราะนางกำลังตั้งครรภ์ “รีบเดินเร็ว”
เงินหยุนเจ่เห็นอันหลิงหยุนที่กำลังเดินช้าๆ จึงได้หันไปเรียกนาง
อันหลิงหยุนจำต้องกล่าวว่า “ข้าเจ็บขา แม่ทัพน้อยนำไปก่อนเถิด หากเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจักไม่ซักทอดแก่ท่าน เพียงท่านมาหาข้าก็เป็น พระคุณยิ่งแล้ว”
“เช่นนั้นข้าจักอุ้มท่านเอง”
พูดจบเสินหยุนเจ๋ก็จะมาอุ้มอันหลิงหยุน ทำให้อันหลิงหยุนนั้นตกใจ และปฏิเสธทันควัน
“ข้าจะเดินเอง” อันหลิงหยุนจึงรีบเดิน
ทั้งสองเดินห่างจากรัศมีของกองเพลิงแล้ว เสินหยุนเจ๋ไปส่งอันหลิง หยุนกลับถึงวังเพิ่งหยี เพลานี้ผู้คนในวังพากันแตกตื่นเหตุด้วยที่ไม่พบ ตัวอันหลิงหยุน อีกทั้งด้านหลังวังก็เกิดเหตุเพลิงไหม้
ทุกคนต่างเป็นกังวลเพราะกลัวผลกระทบจากเพลิงไหม้นั้น
สวีกงกงและแม่นมซีมารออยู่ที่ทางเข้าวังเพิ่งหยีตั้งนานแล้ว ทั้งคู่ พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นอันหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้น
สวีกงกงก้าวมาด้านหน้า: “พระชายาเสียนกลับมาแล้วหรือขอรับ?”
“อึม”
อันหลิงหยุนรับคำตามความเหมาะสม พลางเดินเข้าวังไป
เมื่อเข้าไป จึงได้เห็นว่า ฮ่องเต้ชิงหยู่กำลังนั่งอยู่ในลานโถงเสียแล้ว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ