บทที่ 77 คางคกตัวหนึ่ง
จากนั้น เยสวนและชิวรั่วหานคุยกันอีกหลาย ประโยค ก่อนวางสายไป
เย่สวนจับจ้องลู่เสี้ยงหยางนิ่งๆ พร้อมความรู้สึกที่ ยากจะอธิบาย
ไม่คิดเลยคนไร่ค่าในสายตาคนอื่น กลับเป็นเจ้า ชายขับบีเอ็มสำหรับน้องสาวเธอ
น้องสาวเธอเรียนจบนอก หัวสมัยใหม่ นิสัยเธอ กล้าได้กล้าเสีย หากเธอได้รู้ความจริง ลู่เสี้ยงหยางคือ เจ้ายขับบีเอ็มคนนั้น เธอยังคิดจะสารภาพรักอย่างตรง ไปตรงมาหรือ?
ลู่เสียงหยางไม่เคยถูกเย่สวนจับจ้องเช่นนี้มาก่อน เขายกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าอย่างอึดอัด ก่อนเอ่ย : “หน้า ผมมีดอกไม้บานหรือไง?”
เยสวนหน้าแดงก่ำ เธอส่ายหน้ารัว : “อะไร ใคร
มองคุณ”
“นั่นสิ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย แกเคยเห็น หงส์ที่ไหนจ้องอึ่งอ่างไหมล่ะ?” หลิวจิ้งขัดขึ้นแทงใจดำ สู่เสี้ยงหยาง
ลู่เสี้ยงหยางแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจ พร้อมเอ่ยเสียง เรียบ : “คางคกแล้วไง? คางคกก็มีความฝัน ดีกว่าเป็น แค่กบตัวนึง กบทำได้แค่นั่งจ้องท้องฟ้าเท่านั้นแหละ”
หลิวจิ้งถลึงตามองลู่เสี้ยงหยาง “แกว่าใครเป็นกบ
กัน?”
ลู่เสี้ยงหยางเอ่ยพลางหัวเราะ “คุณแม่ อย่าร้อนตัว ไปสิ ผมแค่เปรียบเทียบ”
“เหอะ ไม่ว่ายังไง แกก็เป็นแค่คางคก อย่าคิดที่จะ จับลูกสาวฉัน” หลิวจิ้งเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า
เย่สวนทนฟังไม่ได้อีกต่อไป : “แม่เลิกพูดได้แล้ว ลู่ เสี้ยงหยางมีการเปลี่ยนแปลงมากแล้ว แม่ต้องเชื่อใน
ตัวเขา”
เชื่อในตัวเขา?
หลิวจิ้งทำตาขวาง เท้าสะเอวพร้อมเอ่ย “นอกซะ
จากหมูจะปีนต้นไม้ได้”
“…” เย่สวนไร้คำพูด เธออยากบอกแม่ของเธอ เสียจริง ลู่เสี้ยงหยางเป็นคนซื้อบีเอ็มคันนั้น มีสิทธิ์ อะไรว่ามาลู่เสี้ยงหยางแบบนี้
เช้าวันที่สอง
ขณะที่ลู่เสี้ยงหยางทำงานที่หยูเม่ยหยินกรุ๊ป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
สายจากหลี่ซือซื้อ
หลี่ซื่อซื้อเป็นประธานรักษาการที่เฟยหยางกรุ๊ป ช่วยลู่เสี้ยงหยางดูแลงานต่างๆ
ลู่เสี้ยงหยางเพิ่งกดรับสาย เสียงหวานดังขึ้นจาก ปลายสาย : “ท่านประธาน ต้องขอโทษด้วยที่โทรมาร บกวนคุณ มีเรื่องบางอย่างฉันตัดสินใจเองไม่ได้ เลย โทรมาขอความเห็นจากคุณ”
“อืม ไม่เป็นไร ว่ามาสิ มีเรื่องอะไร?” ลู่เสี้ยงหยาง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลี่ซือซื้อพยักหน้า ก่อนเริ่มอธิบาย : “นักแสดงใน สังกัดเราซูเยียนรัน ที่โด่งดังเพียงค่ำคืนด้วยเพลง “ค่ำคืนที่เงียบเหงา” ตอนนี้ขึ้นเป็นอันดับต้นๆของ วงการ มีผู้กำกับมาหาเธอ อยากให้เธอถ่ายซีรีย์ จาก สถานการณ์ซูเยียนรันตรงหน้า คณะกรรมการส่วน หนึ่งเห็นว่าเธอควรอยู่ในวงการเพลงต่อไป เพื่อ ตำแหน่งในวงการเพลง แต่อีกส่วนในที่ประชุมเห็นว่า เธอควรเข้าสู่วงการแสดง เป็นทั้งนักแสดงและนักร้อง ฉันจึงมาขอความเห็นจากท่านประธาน”
ลู่เสี้ยงหยางไตร่ตรองสักครู่ก่อนเอ่ย : “เรื่องนี้ขึ้น อยู่กับตัวซูเยียนรันเอง เธอต้องแน่ใจก่อน ว่าตัวเธอเอง มีความสนใจในด้านการแสดงหรือไม่”
ความสนใจเป็นครูที่ดีที่สุด หากคนหนึ่งคนสนใจ ในเรื่องอะไร เขาจะทำมันได้ดีเกินคาด
หากคนคนหนึ่งไม่ชอบสิ่งใด หากเขาถูกบังคับ ท้ายที่สุดจะเสียเปล่า
“ท่านประธานสบายใจได้ ฉันได้คุยกับซูเยียนรัน แล้ว เธอมีความสนใจในด้านการแสดง เพียงแต่เธอกดดัน เกรงว่าทำทั้งสองอย่างพร้อมกันจะทำได้ไม่ดี
พอ ทำให้การร้องเพลงของเธอดรอปลง” หลี่ซือซือเอ่ย ด้วยรอยยิ้ม “อืม ถ้าอย่างนั้นเธอก็ปลอบใจเธอหน่อยแล้วกัน
ปล่อยวางความกดดัน ลองเป็นนักแสดงดู ไม่แน่เธอ
อาจจะโด่งดังในด้านการแสดงด้วย เพื่อเป็นนักแสดง
อย่างเต็มตัว” ลู่เสี้ยงหยางเอ่ย
“ค่ะประธาน ฉันจะทำตามคำชี้แนะ” หลี่ซือซือรับ
คำ
“อืม ยังมีอะไรอีกไหม?” ลู่เสี้ยงหยางเอ่ยถาม
“เอ่อ….” หลี่ซื่อซื้อลังเลจะพูดดีหรือไม่ จึงอ้าอึ้ง อยู่นาน : “ประธานยังมีอีกเรื่อง”
“โอเค ถ้างั้นก็รีบว่ามา ไม่ต้องอ้าอึ้งหลอก ฉันไม่ กินเธอสักหน่อย” ลู่เสี้ยงหยางเอ่ยอย่างราบเรียบ
ปลายสายบ่นพึมพำ “คุณไม่กินฉัน ฉันก็ไม่ต้อง กลัวอะไรแล้ว”
“คือง ประธาน” หลี่ซือซือจัดแจงตัวเอง ก่อน อธิบาย : “คนที่มาหาซูเยียนรัน คือผู้กำกับขาใหญ่ แล้วก็เป็นเพื่อนที่ดีของฉันด้วย เพื่อซีรีย์เรื่องนี้ เขา แสวงหานักแสดงที่เหมาะสมมาตลอด เขาอดหลับอด นอน ที่สุดก็เจอซูเยียนรัน แต่ยังขาดพระเอก ตัวละคร ค่อนข้างซับซ้อน ฉะนั้นความต้องการค่อนข้างสูง”
“พระเอกเป็นชนชั้นสูง เพราะล้มละลายจึงตกต่ำหลังสู้ชีวิตในเมืองจึงพบกับนางเอกเข้า ทั้งคู่เริ่มมีใจให้ กัน ท้ายที่สุดพระเอกเริ่มสร้างตัวใหม่ หลังผ่านอะไร ต่อมิอะไร ในที่สุดก็ได้พบเส้นทางแสนรัญจวน”
“ฉันขอพูดตามตรง ตัวละครเหมือนชีวิตของ ประธานเลย ที่ล้มลุกคลุกคลาน ประธาน หากคุณ สนใจ มาเป็นพระเอกดูไหม ฉันเชื่อว่า หากคุณมารับ บทนี้ต้องน่าสนใจมากแน่” หลี่ซือซือพูดจบประโยคใน เวลาอันสั้น
ให้ตาย!
บ้ารึป่าว ให้ผมไปถ่ายละครเนี่ยนะ
ลู่เสี้ยงหยางไร้คำพูด เขาแสดงละครเป็นซะที่ไหน ลู่เสี้ยงหยางปฏิเสธโดยไม่คิด
แม้หลี่ซือซื้อคิดเอาไว้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่วายรู้สึกผิด หวังเล็กน้อย
“โอเค ไม่มีอะไรแล้ว” ลู่เสี้ยงหยางเอ่ยก่อนตัด สายทิ้งไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังเลิกงาน ลู่เสี้ยงหยางออกจากบริษัท มุ่งกลับ
บ้าน
เพิ่งเข้าบ้าน ลู่เสี้ยงหยางเห็นเย่สวนและหลิวจิ้งนั่ง อยู่บนโซฟา เจรจาอะไรสักอย่าง
เยสวนมีสีหน้าลังเล : “แม่ พรุ่งนี้วันเกิดชิวรั่วหาน เธอเชิญชวนให้เราไปบ้านเธอ แม่จะไปไหม?”
หลิวจึ้งมีสีหน้าลำบากใจ เธอปฏิเสธโดยไม่คิด : “ไปทำไมฉันไปไม่หลอก”
หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ของหลิวจิ้งกับน้าสะใภ้ ของเย่สวนไม่ลงรอยมาโดยตลอด น้าสะใภ้รักและเอ็น ดูเย่สวนมาก ความสัมพันธ์ของเย่สวนและชิวรั่วหาน นั้นแนบแน่นมาก ไม่มีความลับอะไรต่อกัน
“เฮ้อ แม่ ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว แม่คิดว่าจะปล่อย ให้เป็นแบบนี้ตลอดไปหรือไง?” เย่สวนถอนหายใจ พร้อมเอ่ย : “พวกท่านทั้งสองอายุมากแล้ว ยังมีอะไรที่ ปล่อยวางไม่ได้อีก”
หลิวจิ้งโมโหอย่างหนัก “ฉันนึกถึงเรื่องที่นัง แพศยาชิวเจียงหั้วก่อทีไร โมโหทุกทีเลย เธอดูมันช่าง กล้า เปลี่ยนนามสกุลของรั่วหานตามลำพัง สำหรับฉัน ฉันรู้จักรั่วหานสกุลหลิว ไม่ใช่ชิว”
“เอ่อ….นี่มัน….เย่สวนหมดหนทาง
สิบปีก่อนคุณอาของเธอบอกว่าจะหนีไปกับหญิง อื่น น้าสะใภ้ของเธอโมโหจึงเปลี่ยนนามของรั่วหาน จากหลิวเป็นชิว
ต่อแต่นั้นเธอก็ใช้ชื่อชิวรั่วหานโดยตลอด
นั่นหมายความว่า เธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับบ้าน ตระกูลหลิวอีก
“เย่สวน แกลองว่ามาสิ ชิวเจียงหั้วมากเกินไปหรือ เปล่า? คุณทวดของเธอโมโหจนแทบคลั่ง แกว่าฉันควร ให้อภัยมันหรือ?” หลิวจิ้งเอ่ยอย่างโมโห
เย่สวนอยากคลายปมของพวกเขามาโดยตลอด
จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม : “แม่ ก็แค่นามสกุล บ่งบอกอะไรไม่ ได้หลอก อีกอย่าง แม่ยอมไปบ้านน้าสะใภ้ หรือเพราะ แม่คิดว่าสู้น้าสะใภ้ไม่ได้กัน?”
ประโยคนี้ เย่สวนใช้แผนการสะกิดโทสะ
เป็นไปตามคาด หลิวจิ้งดีดตัวลุกขึ้นกับประโยคที่
ได้ยิน “ใครว่าฉันสู้มันไม่ได้ นั่งแพศยานั่นจะสู้ฉันได้ ยังไง”
แม้เธอพูดไปอย่างนั้น แน่ในใจเธอกลับไร้ความ มั่นใจ
น้าสะใภ้ของเย่สวนเป็นผู้หญิงที่เก่งกาจ เธอเปิด บริษัททำโฆษณา เห็นว่าได้ร่วมมือกับบริษัทใหญ่อย่าง เฟยหยางกรุ๊ปด้วย
หลิวจิ้งยังสาวก็เริ่มเอาเปรียบลูกสาวตนเอง เธอ ไม่มีทางสู้ชิวเจียงหั้วได้อยู่แล้ว
หากแต่ หน้าหนาอย่างหลิวจิ้ง เธอไม่มีทางยอมรับ อยู่แล้ว เพียงแค่ปัดความรับผิดชอบไปที่ลู่เสี้ยงหยา
เธอจ้องเขาพร้อมเอ่ยอย่างเย็นชา : “ถ้าไม่ใช่ เพราะต้องพาไอ้ไร้ประโยชน์นี่ออกไปขายขี้หน้าฉัน กลัวน้าสะใภ้แกที่ไหนกัน”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ