บทที่ 216 เรียกฉันว่าศิษย์พี่
ชายคนนี้ไม่ใช่ใครคนอื่นแต่เป็นสู่เสี้ยงหยาง
สู่เสี้ยงหยางเห็นหวังเสว่ถอดรองเท้าทิ้งไว้เพื่อไล่ตามโจร คนนี้ ดังนั้นเขาจึงเก็บรองเท้าของเธอแล้วเดินตามเธอมา
โชคไม่ดีที่เขาได้เห็นหวังเสว่ล้มอยู่กับพื้นและกำลังจะถูก ผู้ชายเป็นสิบคนรุมโทรม
บ้าเอ้ย สิ่งที่กูไม่ชอบที่สุดก็คือผู้ชายรังแกผู้หญิง และยัง เป็นผู้ชายหลายๆ คนรังแกผู้หญิงคนเดียวด้วย
ลู่เสี้ยงหยางรู้สึกโกรธแล้วตะโกนขึ้นมาทันที “ปล่อยผู้ หญิงคนนั้นซะ”
๑๑… ใคร?
ชายเหล่านั้นหันหน้าไปก็เห็นลู่เสี้ยงหยางทันที หวังเสว่พูดอย่างรีบร้อนว่า “รีบโทรแจ้งตำรวจที”
เธอไม่อยากให้ลู่เสี้ยงหยางต้องลำบากไปด้วย เพราะลู่เสี้ ยงหยางดูบอบบางเหมือนเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เกรงว่าผู้หญิงที่ แข็งแรงหน่อยก็สามารถล้มเขาได้
สู่เสี้ยงหยางไม่ได้สนใจคำพูดของหวังเสว่และยังคงเดิน เข้าไปหาเธอ
บ้าจริง นายมันปัญญาอ่อนหรือ?
หวังเสว่หงุดหงิดจนบ่นอยู่ในใจ
ไม่นานสู่เสี้ยงหยางก็เดินเข้าไปใกล้กับหวังเสร่
โจรคนนั้นมองไปที่สู่เสี้ยงหยางแล้วพูดว่า “ไอ้หนู นายหา เรื่องตายเองจะโทษพวกเราไม่ได้นะ”
เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งเข้าไปหาลู่เสี้ยงหยาง
เขารู้สึกเจ็บใจมากที่ถูกหวังเสว่แตะจนล้มลงกับพื้น ตอนนี้ เขาจะได้ใช้ลู่เสี้ยงหยางเป็นที่ระบายสักที
แต่เนื่องจากเขาดูถูกลู่เสี้ยงหยาง จึงไม่ได้ใช้อาวุธมีดใน มือ เขาคิดว่าใช้กำปั้นเพื่อสั่งสอนลู่เสี้ยงหยางก็เกินพอแล้ว
ลู่เสี้ยงหยางสีหน้าเฉยเมย จากนั้นเหวี่ยงหมัดออกไป กระแทกกับกลางอกของโจรคนนั้น
ผับ!
โจรที่ถูกชกเข้ากลางอกก็ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของ เขาบิดเบี้ยวในทันที
อ้า!
ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นจากปากของ เขาและร่างกระเด็นออกไปกระแทกกับกำแพงด้านหลัง
ผลบ!
จากนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากปากและร่างกายต่อยๆ ฟาด ลงไปนอนนิ่งอยู่กับพื้นเหมือนคนที่พร้อมตาย
เมื่อเห็นฉากที่โหดร้ายเช่นนี้ หวังเสว่และชายเหล่านั้นต่าง ก็ต้องสูดปากด้วยความตกใจ
“แมร่งเอ๊ย ไอ้เด็กคนนี้มีของว่ะ พวกกูไปอัดมันให้ตาย ก่อน” ชายผิวเข้มคนหนึ่งตะโกนพูดขึ้น
ฟิบ ฟิบ ฟิบ!
ชายเหล่านั้นจึงปล่อยหวังเสว่แล้วพุ่งตรงเข้าไปหาลู่เสี้ยง
หยาง
หวังเสว่ที่เพิ่งถูกรุมก็ตะโกนบอกลู่เสี่ยงหยางว่า “รีบหนี ไป ไม่ต้องสนใจฉัน!”
ลู่เสี้ยงหยางยิ้มพูดเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ พวก นี้มันก็เหมือนมดตัวน้อยๆ ที่ผมสามารถบีบให้ตายด้วยนิ้ว เดียวของผม”
แมร่งเอ๊ย! มันพูดอะไรของมันฟะ มันต่างหากที่เป็นมดตัว
น้อย
ชายเหล่านั้นได้ล้อมรอบลู่เสี้ยงหยางไว้เรียบร้อย หวังเสวไม่กล้ามองลู่เสี้ยงหยางที่กำลังจะถูกรุมซ้อมอย่างทารุณ เธอจึงเอามือเรียวบางทั้งสองข้างปิดตาไว้
หลังจากนั้นเธอได้ยินเพียงเสียงหายใจครืดคราดและ
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“เอาล่ะ ผมจัดการพวกเศษขยะให้คุณเรียบร้อยแล้ว” เสียงของลู่เสี้ยงหยางดังขึ้นข้างอยู่หวังเสว่
หวังเสว่จึงตาขึ้นและได้เห็นชายเหล่านั้นถูกลู่เสี้ยงหยาง อัดจนนอนขดตัวคร่ำครวญอยู่กับพื้น
หือ..นี่มัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หวังเสว่ถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความตกตะลึง
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่คนบอบบางอย่างลู่เสี้ยงหยางจะ เก่งกาจขนาดนี้ได้
ในขณะที่เธอยังตกใจกับสถานการณ์ ลู่เสี้ยงหยางก็ยื่นมือ ออกมาเพื่อจะดึงเธอลุกจากขึ้นพื้น
หวังเสว่หน้าแดงแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองทันที จากนั้นเธอ พูดกับเขาสั้นๆ คำเดียว “ขอบคุณ”
“ยินดีครับ” ลู่เสี้ยงหยางยิ้มพูดแล้วยื่นรองเท้าของหวังเส ว่คืนให้กับเธอ
หวังเสว่รับรองเท้าแล้วใบหน้าของเธอก็แดง ก่ำมากขึ้น วันนี้เธอรู้สึกน่าอับอายมาก เป็นถึงหัวหน้าทีมอาชญากรรมร้ายแรงแต่กลับปราบปรามพวกอันธพาลกระ จอกๆ ไม่ได้ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปคงต้องกลายเป็นเรื่องตลก
ของเธอแน่เลย
“ถ้าไม่มีธุระอะไรต่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วเจอกันใหม่ นะคุณเจ้าหน้าที่หวัง” สู่เสี้ยงหยางพูดจบก็เตรียมเดินออกไป
แต่เดินเพียงก้าวเดียวหวังเสว่ก็ได้เรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“ว่าไงครับ? มีอะไรงั้นเหรอครับ?” ลู่เสี้ยงหยางหันกลับมา ถามเธอ
หวังเสว่ลังเลอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “เรื่องวันนี้ ช่วยเก็บเป็นความลับที่นะ”
ลู่เสี้ยงหยางเข้าใจหวังเสว่ดี เธอกลัวว่าถ้าเรื่องนี้หลุดออก ไปแล้วจะกลายเป็นเรื่องอับอายขายหน้าของหัวหน้าทีม อาชญากรรม ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบ “ได้ครับ ไม่มี ปัญหา”
หวังเสว่กลอกตาแล้วพูดกับเขาต่อ “จริงสิ ฉันอยากถาม คุณเรื่องหนึ่ง แต่หวังว่าคุณจะพูดความจริงกับฉันนะ”
ลู่เสี้ยงหยางยักไหล่ตอบ “ตามหลักแล้ว ผมจะไม่ปิดบัง ก็ได้”
หวังเสว่พยักหน้าแล้วถามต่อ “คุณเป็นสาวกของห้าลัทธิ
ใหญ่ใช่ไหม?”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ลู่เสี้ยงหยางได้ยินเกี่ยวกับห้าลัทธิใหญ่ ใครแรกได้ยินจากปากของบอดี้การ์ดส่วนตัวของช่างกวน
หวั่นหวั่น
ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้เริ่มสงสัยขึ้นมา แล้ว เขาจึงถามว่า “ห้าลัทธิใหญ่เหรอ? ผมไม่เคยได้ยินนะ มันคือของบ้าอะไรกัน?”
มันคือของบ้าอะไร?
หวังเสว่เครียดจนแทบกระอักเลือด เพราะเธอก็เป็น สมาชิกคนหนึ่งในห้าลัทธิใหญ่ แต่เขากลับบอกว่ามันคือบ้า อะไรกัน
เธอพยายามฝืนต่อความไม่พอใจแล้วอธิบายให้ลู่เสี้ยง หยางฟังอย่างอดทน “ห้าลัทธิใหญ่ก็คือห้านิกายที่มีอิทธิพล มากที่สุดในจีน มีสาวกมากมายที่นับไม่ถ้วน สิ่งที่พวกเขา ฝึกฝนก็คือศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง”
“ห้าลัทธิใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยหลงถัง ชื่อฟางโหลว หลิวหลีกง เทียนเหมินและวั่นเจี้ยนจง”
เมื่อได้ยินหวังเสว่เล่า ลู่เสี้ยงหยางก็ขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้ง แรกที่เขาได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับห้าลัทธิใหญ่อย่างละเอียดจาก ปากของหวังเสว่
หวังเสว่ยังคงเล่าต่อ “ทั้งห้าลัทธิใหญ่นี้ได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนานนับพันปีในเมืองจีนนี้แล้ว จวบจนวันนี้ทั้งห้า ลัทธิใหญ่ได้มีสาวกมากมายซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งแผ่น ดินจีนของเรา พวกเขาต่างก็มีส่วนช่วยทางเหลือสังคม และ ยอดฝีมือระดับต้นๆ ในเมืองจีนต่างก็ออกมาจากสำนักห้า ลัทธิใหญ่นี้ทั้งนั้น”
คู่เสี้ยงหยางคล้อยตามคำพูดของหวังเสว่ เขาอดไม่ได้ที่ จะคิดถึงอาจารย์ที่เคยสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขามาก่อน เขา รู้เพียงว่าตัวตนของอาจารย์นั้นค่อนข้างลึกลับ ซึ่งไม่ใช่คน ธรรมดา เขาอาจจะมาจากห้าลัทธิใหญ่นี้ก็เป็นไปได้
“ฉันเห็นกลเม็ดของคุณแล้ว มันน่าจะเป็นวิชาของหลงถัง แล้วคุณรู้ไหมว่าอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้คุณนั้นคือใคร?” หวังเสว่ถามด้วยความสงสัย
ลู่เสี้ยงหยางส่ายหัวตอบ “ผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณพูดถึงอะไรอยู่ เมื่อกี้นี้ผมแค่มั่วเท่านั้น”
ความจริงเขาไม่รู้จักชื่อของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ เขาด้วยซ้ำ เขาแค่ไปเรียนเมื่อถึงเวลาเรียน และอาจารย์ก็ สอน ในเนื้อหาที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ซึ่งไม่ได้เล่า ถึงประวัติความเป็นมาส่วนตัวของเขาหรือเรื่องอื่นๆ เลย
แต่คำตอบของเขาทำให้หวังเสว่คิดว่าเขาไม่อยากพูด ความจริง เธอจึงกลอกตาแล้วพูดกับเขาต่อ “ฉันเป็นศิษย์ จากหลิวหลีกง ตอนนี้เรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ในขั้นต้นถึงระดับที่เจ็ด ซึ่งทั้งห้าลัทธิใหญ่ก็มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น มาโดยตลอด ดังนั้นเราก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน”
“อ้อ” ลู่เสี้ยงหยางพยักหน้า และไม่รู้ว่าความสามารถของ เขานั้นถึงระดับใหนแล้ว
ดูเหมือนว่าหวังเสว่จะสังเกตเห็นสู่เสี้ยงหยางกำลังสงสัย เธอจึงยิ้มพูดกับเขา “ฉันรู้ระดับวิชาของคุณในปัจจุบัน คุณ อยากรู้ไหม? ทีๆ เรียกฉันว่าศิษย์พี่สิ แล้วฉันจะบอกคุณ”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ