ยอดหมอยาของอ๋องเสียน

ตอนที่185ทางลับในวังหลวง



ตอนที่185ทางลับในวังหลวง

จุนเชียวเชียวเดินออกมาจากตำหนัก พอ เห็นหน้าอันหลิงหยุนนางก็ยิ้มออกมา อย่างงดงาม “พระชายาเสียนเสด็จมา หรือ?”

อันหลิงหยุนยังไม่คุ้นเคย จุนเชียวเชียว มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางเป็นเพื่อน อยู่เรื่อยเลย เจอหน้าทุกครั้งก็ดีใจตลอด

“วันนี้เพิ่งเข้าวังมาไม่มีอันใดทำจึงมา เดินเล่นเพคะ” อันหลิงหยุนเดินไปหาจุน เชียวเชียว แล้วโค้งคำนับ ผู้หญิงของฮ่องเต้ต่อให้ ตำแหน่งต้อยต่ำเพียงใด ยังกระไรก็ยัง เป็นผู้หญิงของฮ่องเต้อยู่ดี

ต่อให้ตำแหน่งของตัวเองจะสูงเพียง ใด ยังกระไรก็ไม่อาจเทียบนางได้

จุนเซียวเชียวรับตัวอันหลิงหยุนไว้ “พระชายาเสียนไม่ต้องมากพิธี แค่เจ้ามา ข้าก็ดีใจมากแล้ว”

ตำแหน่งของจุนเซียวเซียวในวันนี้ไม่ เหมือนอย่างเคยแล้ว ตอนที่พูดก็ไม่ได้ใช้ คำแทนตัวที่สูงส่งอันใดแล้ว อันหลิงหยุนพูดไป “หม่อมฉันเองก็ไม่ เป็นไร พระนางเองก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ ก็ได้เพคะ”

“ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นพระนางอันใดนั้น แล้ว เจ้าเรียกข้าว่าเซียวผินก็พอแล้ว”

“พระนางก็คือพระนาง จะเปลี่ยน ตำแหน่งกันมั่วๆ ไม่ได้นะเพคะ”

อันหลิงหยุนเดินเข้าไปข้างในอย่างมี มารยาท จุนเชียวเซียวรีบสั่งให้คนไป เตรียมน้ำชามา อันหลิงหยุนมองไปรอบๆ ห้อง ห้องถูกจัดไว้อย่างสะอาดสะอ้าน แต่ ก็ไม่อาจปกปิดความยากไร้ของที่นี่ไปได้ “พระนางเป็นอยู่สบายดีหรือไม่เพคะ?” อันหลิงหยุนถาม จุนเซียวเซียวพยักหน้า

“ก็ยังดีเพียงแค่ไม่รู้ว่าฤดูหนาวมันเป็น ยังกระไรบ้าง ที่นี่มันหนาวหรือเปล่า?” จุน เชียวเชียวยังคงทำตัวปกติ

“พระนางทรงพระครรภ์ในช่วงที่หนาว ที่สุด และในช่วงสิ้นฤดูแล้งพระนางก็จะ ให้กำเนิดราชบุตรของฮ่องเต้แล้ว สภาพ ของที่นี่ออกจะแย่ไปสักนิด หม่อมฉันเชื่อ ว่าฝ่าบาทจะต้องรับพระนางกลับไปที่วัง จึงชั่วอย่างแน่นอนเพคะ” อันหลิงหยุน แค่คิดว่า ขอแค่ให้กำเนิดราชบุตรได้ก็ ถือว่ามีความดีความชอบอันใหญ่หลวง แล้ว ฮ่องเต้ชิงหยู่คงไม่ใจร้ายกับจุนเชียว เชียวขนาดนั้นหรอก

“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

จุนเซียวเชียวก้มหน้าลงไปแล้วเอามือ ลูบๆ ที่ท้องน้อย

“พระชายาเสียน ได้ยินว่าอ๋องเสียนถูก ฝ่าบาทจับขังไว้แล้วใช่หรือไม่ อ๋องเสียน ติดร่างแหเรื่องนี้ไปด้วยใช่หรือไม่?” จุน เชียวเชียวถามตรงไปหน่อย แต่อันหลิง หยุนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอันใดที่ไม่เหมาะ สม อีกอย่างที่นางมาที่นี่เพราะตั้งใจมา เยี่ยมจุนเชียวเชียว ส่วนจุนเชียวเชียวก็ ทำเหมือนนางเป็นเพื่อน สำหรับคำถาม แบบนี้มาก็ปกติดี

อันหลิงหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่หม่อม ฉันก็ไม่ได้เป็นห่วงอ๋องเสียนเพคะ ร่างกายของเขายังแข็งแรงดี เขาไม่เคย ทำมาก่อน จึงไม่เป็นอันใด ที่หม่อมฉัน กังวลก็คือร่างกายของอ๋อวงตวนเพคะ”

พอพูดถึงอ๋องตวนจุนเชียวเชียวก็ได้ ถามขึ้น “อาการของอ๋องตวนนั้นหนักมาก เลยหรือ?” อันหลิงหยุนพยักหน้า “ชีวิตของอ๋องต วนนั้นสามารถสิ้นได้ทุกเมื่อ หม่อมฉันจึง เป็นห่วงอ๋องตวนมากเพคะ”

“คนพวกนั้นป่าเถื่อนขนาดนั้นเลย หรือ?” ซุนเซียวเซียวไม่เข้าใจเป็นอย่าง ยิ่ง

แn ในเมื่อมันกล้าลงมือ ยังจะห่วงเรื่อง ป่าเถื่อนไม่ป่าเถื่อนอีกรีเพคะ?” อันหลิง หยุนนั่งอยู่พักหนึ่งแล้วลุกขึ้นมามองไป รอบๆ ห้องไม่มีอันใดให้ดูแล้ว จึงเดิน ออกจากห้อง

“พระชายาเสียนจะกลับแล้วหรือ?” จุน เชียวเชียวเดินตามอัน หลิงหยุนมาถึงนอกประตู ข้างนอกค่อน ข้างมืด จุนเชียวเชียวต้องการไปส่งอัน หลิงหยุนจึงถือโคมไฟมาด้วย

นางในจะไปส่งด้วย แต่จุนเชียวเชียวก็ ให้พวกนางถอยไป นางอยากไปส่งอัน หลิงหยุนคนเดียว

“ร่างกายของพระนางไม่สะดวก กลับ ไปดีกว่านะเพคะเผื่อมีอันใดที่ไม่คาดฝัน เกิดขึ้น”

จุนเชียวเชียวหันไปดูข้างหลัง แล้วหัน ไปมองรอบๆ

แล้วจุนเซียวเซียวก็หยุดลง “พระชายา เสียน ข้ามีเรื่องอยาก ขอร้อง”

“พระนางว่ามาได้เลยเพคะ”

อันหลิงหยุนก็มองไปรอบๆ ตอนนี้ไม่มี ใครเลย จุนเซียวเซียวตั้งใจมาส่งนาง โดยเฉพาะ

“ครั้งก่อนที่ข้าเกิดเรื่อง ได้ยินมาว่าเป็น พิษของหญ้าฝรั่น พระชายาเสียนเป็น หมอ กัน?” แล้วหญ้าฝรั่นนั้นมันมาจากไหน

จุนเชียวเซียวอยากถามมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้มีโอกาสถามเลย

อันหลิงหยุนใช้ความคิด “หญ้าฝรั่นนี้มาจากไหนหม่อมฉันยังไม่รู้ แต่ที่รู้คือพิษนี้มันถูกเจอในผ้าห่มเพคะ

จำได้ว่าตอนที่หม่อมฉันไปดูอาการ ของพระนาง เห็นพระนางเคยพูดถึง อาการอึดอัดตรงหน้าอกอยู่

ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้สึกอยู่ว่าพระนางดู แปลกๆ ไป แต่ก็ไม่ได้เอะใจถึงพิษของ หญ้าฝรั่นเลยเพคะ

กลิ่นพิษของหญ้าฝรั่นนั้นค่อนข้างชัด ส่วนหม่อมฉันก็ค่อนข้างอ่อนไหวกับ สมุนไพรมาก ถ้าเกิดว่าบนตัวของ พระนางมีจริง เชื่อว่าหม่อมฉันจะต้องรับรู้ได้แน่นอน

เพคะ

แต่ตอนนั้นหม่อมฉันก็รับรู้ไม่ได้แสดง ว่าคนที่ลงมือจะต้องเชี่ยวชาญมากแน่ๆ

เพคะ

แต่สุดท้ายก็มาเจอมันถูกซ่อนอยู่ใต้

ผ้าห่ม

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจจะใส่ร้ายคนข้าง กายท่าน คนที่ลงมือก็ต้องเป็นคนที่อยู่ ข้างกายเท่าแน่นอนเพคะ”

จุนเซียวเซียวพยักหน้า “เจ้าคิดเหมือน กับข้าไม่มีผิด”

จุนเชียวเซียวหันกลับไปมองคน ที่ยืนอยู่ข้างหลัง

สู้จิ๋นยืนอยู่ข้างหน้าโดยถือโคมไฟไว้ ในมือ ข้างหลังของนางยังมีนางในอีก สองคนยืนอยู่

หลังจากที่เกิดเรื่องคนในวังจิ่งซิ่วก็ถูก จัดการไปหมดแล้ว

สู้จิ่นนั้นกว่าจะออกมาได้ก็ไม่ง่ายเลย ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนใหม่ทั้งนั้น

หรือจะเป็นสู้จิ้น?

อันหลิงหยุนพูดขึ้น “พระนางเสด็จกลับ ก่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันต้องไปแล้ว”

หลังจากอันหลิงหยุนกลับจาก วังสวยหัวถึงได้กลับมาที่วังเพิ่งหยี

พอกลับไปถึงก็เห็นแม่นมที่อยู่กับ ฮองเฮามารออยู่แล้ว

แม่นมซีเป็นคนของฮองเฮา แต่อันหลิง หยุนไม่ค่อยได้เจอนางมากนัก และเป็น อีกคนที่อันหลิงหยุนเข้าวังมาเพิ่งเคยพบ หน้า

แม่นมซีอายุประมาณห้าสิบกว่าปี แก่ กว่าฮองเฮา แต่พอมองดูแล้วนางกลับดู เด็กมาก ถ้าอันหลิงหยุนไม่เคยรู้มาก่อน คงไม่มีทางรู้ได้เลยว่านางมีอายุเท่าไหร่ พอเห็นอันหลิงหยุนแม่นมซีก็รีบโค้ง ค่านับ “พระชายาเสียนกลับมาแล้วหรือ เพคะ?”

อันหลิงหยุนมองไปทางตำหนักเพิ่งอี้ “ลำบากแม่นมซีแล้ว ข้าไม่ไปทักทาย ฮองเฮาแล้วดีกว่า ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”

อันหลิงหยุนกลับเข้าไปในวิหารบรรทม รอง เข้าห้องมาก็พักผ่อนเลย

พอหลับถึงกลางดึก อันหลิงหยุนก็รู้สึก ถึงความเคลื่อนไหวที่นอกประตู นางจึง รีบลืมตามาแล้วมองไปยังประตู นอกประตูมีคน อีกทั้งยังถือโคมไฟมา

ด้วย

อันหลิงหยุนรีบลุกลงจากเตียง มีใคร บ้างที่จะมาได้ในเวลาแบบนี้?

ใส่เสื้อผ้าให้ตัวเอง แล้วอันหลิงหยุนก็ ล้วงเอาเข็มเงินออกมา แต่พอเดินไปถึง ข้างประตูก็ได้ยินเสียงของแม่นมซีพูดกับ นาง “พระชายาเสียนท่านตื่นแล้วหรือ เพคะ?”

อันหลิงหยุนชะงักไปครู่หนึ่ง เก็บเข็ม เงินเข้าที่แล้วค่อยถามไปว่า “แม่นมซีมี ธุระอันใดคะ?” ดึกๆ ตื่นๆ ใครจะไปรู้ว่าจะมาทำไม พูด ตามตรง นี่มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดใน การลอบสังหารไม่ใช่หรือ?

“พระชายาโปรดตามหม่อมฉันมาด้วย หม่อมฉันมีเรื่องเพคะ” แม่นมซีพูดจบก็ไป เลย อันหลิงหยุนตั้งใจแยกแยะเสียงเท้า ของแม่นมซี นางมาคนเดียวจริงๆ

พอคิดว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะ ออกหรือไม่ออกไปก็ตาม อันหลิงหยุนใน ตอนนี้ก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษอยู่แล้ว

แต่แม่นมซีกลับใจกล้าปรากฏตัวออก มาในเวลานี้ ต้องไม่ใช่ เรื่องบังเอิญแน่ๆ

ถ้าไม่ออกไปอาจจะยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้

อันหลิงหยุนเอาเสื้อคลุมมาคลุมตัวเอง ไว้ ผลักประตูออกแล้วเดินออกไป มองไป รอบๆ วังเพิ่งหยีรอบหนึ่ง วังเพิ่งหยีนั้นดู เงียบผิดปกติ

พอมองไปทางประตูของวังเพิ่งหยีก็มี คนถือโคมไฟยืนรออยู่

ไม่ต้องถามอันหลิงหยุนก็รู้ คนที่รออยู่ ก็คือแม่นมซี

พอเดินตามไปทางนั้นแม่นมซีก็เปิด ประตูออกก่อน “ดึกๆ แบบนี้ คงรบกวนการพักผ่อนของพระชายาเสียน แล้วเพคะ”

“แม่นมซีมีธุระอันใดหรือ?”

อันหลิงหยุนไม่ได้กลัวอันใดมากนัก ถ้า จะลงมือคงลงมือไปนานแล้ว ทั้งวังเพิ่งหยี นั้นได้สลบไสลไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ นาง?

ถ้าจะฆ่า ก็คงไม่ต้องลำบากพาไปที่อื่น

ก็ได้

แม่นมซีก้มหน้าก้มตา “พระชายาเสียน โปรดตามหม่อมฉันมาด้วยเพคะ”

แล้วแม่นมซีก็หันไปแล้วเดิน ตรงไปข้างหน้า อันหลิงหยุนเองก็เดิน ตามนางไป

ทั้งสองเดินตามกันไปหน้าคนหลังคน โดยที่ไม่ได้รีบร้อนอันใด พอเดินไปไม่ นานก็เดินเข้ามาถึงประตูบานหนึ่งที่อยู่ ตรงมุมนอกกำแพงของวังเพิ่งหยี พอเปิด ประตูออกแม่นมซีก็พูดขึ้นว่า “พอพระชา ยาเสียนเข้าไปด้านในก็ทอดพระเนตร เห็นโคมไฟเล็กอันหนึ่ง ให้เสด็จตามทาง ไปเรื่อยๆ พอทอดพระเนตรเห็นประตูก็ให้ เสด็จเข้าไปข้างในเพคะ”

“แม่นมซีเป็นคนของฮ่องเต้?” อันหลิงหยุนนึกขึ้นได้แล้ว คนที่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงในราชวัง แห่งนี้ แถมยังสามารถเคลื่อนไหวได้ สะดวกแบบนี้ถ้าไม่มีคนค่อยค้ำจุนอยู่ ข้างหลังมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

แต่ถ้าฮั ไท่เฟยกับหวางฮองไทเฮา ต้องการพบนางก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ วุ่นวายแบบนี้แล้ว

จุนเซียวเชียวเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ยังไม่น่าจะมีอำนาจขนาดนี้

ถ้าเป็นเงินหยุนชู ก็คงไม่ต้องทำอันใด ให้มันยุ่งยากแบบนี้ เพราะที่นี่คือวังเฟิ่ง หยีของนาง ในพระราชวังแห่งนี้นึกถึงคนอื่นไม่ได้ อีกแล้ว ยกเว้นฮ่องเต้ชิงหยู่

แม่นมซีโค้งคำนับ “พระชายาเรียน เชิญเสด็จเพคะ”

อันหลิงหยุนก็ไม่อยากถามอันใดมาก ความ การเป็นบ่าวไพร่ก็ต้องอย่างนี้ เรื่อง ของเจ้านายพวกเขาห้ามถามและห้ามพูด ออกไป

อันหลิงหยุนเห็นโคมไฟเล็กๆ อันหนึ่ง อยู่ด้านใน นางจึงเดินตรงไปยังโคมไฟ อันนั้นไม่นานนางก็เดินมาถึงหน้าโคมไฟ โคมไฟถูกแขวนอยู่ตรงหน้าประตูบาน หนึ่ง อันหลิงหยุนยกมือขึ้นมา หยิบโคมไฟออก แล้วยกโคมไฟขึ้นมา จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป

พอเข้ามาข้างใน มันคือทางเดินอีกทาง ตรงสุดทางเดินก็มีประตูบานหนึ่งตั้งอยู่ ตรงนั้น พอเปิดประตูเข้าไปมันก็กลาย เป็นสถานที่อีกแห่งอันหลิงหยุนรอง คำนวณทิศและระยะทางดู

สูดหายใจเข้าลึกๆ ที่นี่คือพระตำหนัก จรุงจิต?

มีเสียงเท้าดังมาจากข้างหลัง อันหลิง หยุนยกโคมไฟขึ้นมาแล้วมองไปข้างหลัง ฮ่องเต้ชิงหยู่อยู่ในชุดดำ มีมังกรสีทอง ตรงหน้าอกกำลังส่องแสงอยู่ในความ มืด

อันหลิงหยุนกำลังจะคุกเข่าลง แต่ก็ถูก ฮ่องเต้ชิงหยูห้ามไว้ “พูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่ ต้องทำอย่างนี้”

อันหลิงหยุนถึงได้ยืนขึ้นมา “ฝ่าบาท เพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่ส่งสัญญาณให้แม่นมซีที่ ยืนอยู่ข้างหลัง

แม่นมซีพยักหน้าแล้วเดินจากไป

ปิดประตู ฮ่องเต้ชิงหยู่เดินตรงไปทาง พระราชวังจรุงจิต โดยมีอันหลิงหยุนถือ โคมไฟแล้วเดิน มืด

อันหลิงหยุนกำลังจะคุกเข่าลง แต่ก็ถูก ฮ่องเต้ชิงหยู่ห้ามไว้ “พูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่ ต้องทำอย่างนี้”

อันหลิงหยุนถึงได้ยืนขึ้นมา “ฝ่าบาท เพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่ส่งสัญญาณให้แม่นมซีที่ ยืนอยู่ข้างหลัง

แม่นมซีพยักหน้าแล้วเดินจากไป

ปิดประตู ฮ่องเต้ชิงหยู่เดินตรงไปทาง พระราชวังจรุงจิต โดยมีอันหลิงหยุนถือ โคมไฟแล้วเดิน ตามหลังไป

พอเดินเข้าไปถึงห้องหนังสือ แล้วหยิบ หนังสือเล่มหนึ่งลงมาจากชั้น ชั้นวาง หนังสือเปิดออกอย่างอัตโนมัติ ตรงหน้า ของอันหลิงหยุนคือประตูสีดำบานหนึ่ง

ฮ่องเต้ชิงหยู่ก้าวเท้าเข้าไปอันหลิงหยุ นก็ตามเข้าไปเหมือนกัน

พอเข้าไปข้างในแล้วชั้นวางหนังสือ ด้านหลังก็ปิดตัวลง ตรงหน้าคือทางเดิน เส้นหนึ่ง เป็นทางเดินที่มองไม่เห็นสุดทาง รอบๆ ทำมาจากอิฐหิน กว้าง ประมาณสองเมตร สูงสองเมตรครึ่ง ก้อน หินตามกำแพงยังมีมีรูปวาดที่ดูลึกลับ วาดอยู่ด้านบนเป็นรูปดวงดาวมากมาย

อันหลิงหยุนเดินตามอย่างระมัดระวัง มองดูภาพวาดดวงดาวที่อยู่ด้านบนแล้ว ก็ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้น

นางไม่คิดเลยว่าในนี้จะมีสถานที่ มากมายแบบนี้ซ่อนอยู่

พอถึงด้านในฮ่องเต้ชิงหยู่จึงได้พูดขึ้น “แปลกใจหรือ?”

อันหลิงหยุนพยักหน้า “แปลกใจเพคะ หม่อมฉันตื่นเต้นมากเลย

PROMPONG

เพคะ”

“ครั้งแรกที่ข้ามาก็รู้สึกแปลกใจเหมือน กัน แล้วยังตื่นเต้นมากด้วย” ฮ่องเต้ชิงหยู่ ยิ้มออกมาไม่หยุด มันทำให้เขานึกถึงวัย เด็ก

“ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก จำได้ว่าครั้งนั้น เสด็จพ่ออุ้มข้าเข้ามาในนี้ เขาพาข้าเดิน ผ่านตรงนี้ไป เสร็จพ่อบอกว่านี่คือทางหนี ฉุกเฉินที่ผู้สร้างประเทศต้าเหลียงได้สร้าง เอาไว้

มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ เพื่อให้ข้าใช้มันในเวลาที่ฉุกเฉิน”

ฮ่องเต้ชิงหยู่รู้สึกลังเล “แต่ข้าไม่อยาก ใช้มันเลย”

“ประเทศต้าเหลียงนั้นเป็นประเทศที่ สงบสุข มีฮ่องเต้มีความสามารถเป็นผู้ ปกครอง ทางเส้นนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้ เลยเพคะ” อันหลิงหยุนนางคิดเช่นนั้น จริงๆ

ฮ่องเต้ชิงหยู่ส่ายหน้า “มันไม่ใช่เช่นนั้น เลย ถ้าเกิดเป็นเพราะทำสงครามแล้วต้า เหลียงตกไปอยู่ในมือของศัตรู ข้าต้องได้ ใช้มันแน่” ฮ่องเต้ชิงหยู่มองไป ที่อันหลิงหยุน “หยุนหยุนเป็นคนฉลาด ถึงข้าไม่ต้องใช้แต่ก็ต้องเก็บมันไว้แล้ว มันเพราะอันใดกันล่ะ?”

อันหลิงหยุนหยุดใช้ความคิด “ตั้งแต่ โบราณมา กษัตริย์ที่แพ้สงครามนั้นไม่น่า กลัวเลย แต่สิ่งที่น่ากลัวคือผู้ที่ ชนะสงครามมักจะเหยียบย่ำผู้แพ้อย่างไร้ ความปรานี

คนที่แพ้พอตายไปก็ไม่เหลืออันใดแล้ว แต่เหล่าภรรยาของพวกเขาก็ต้อง กลายเป็นเชลยสงคราม พวกนางไม่มีทางที่จะภักดีต่อศัตรูที่ เคยเข่นฆ่าคนในครอบครัวของตัวเอง แน่นอน และไม่มีทางให้เกียรติคนที่เคย เป็นศัตรูอย่างแน่นอน

คนพวกนั้นจะต้องใช้วิธีที่นึกไม่ถึงและ โหดเหี้ยมที่สุดในการจัดการกับคนที่เคย เป็นศัตรู

ส่วนเหล่ากษัตริย์ที่ชนะศึกสงคราม พูด ว่าตัวเองนั้นมีเมตตา แต่เบื้องหลังของ ความเมตตาเหล่านั้นกลับมีความอัปยศ มากมายซ่อนอยู่เพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่นั้นรู้สึกประทับใจ ยิ้มอยู่

นาน “หยุนหยุ นเคยฟังท่านแม่ทัพอันพูดหรือ?”

“อันหลิงหยุนส่ายหน้า “ไม่เพคะ แค่ เคยอ่านเจอในหนังสือ อาจารย์ของ หม่อมฉันเป็นคนบอกมาเพคะ”

“ข้าอยากจะพบหน้าอาจารย์ของหยุน หยุนซะเหลือเกิน”

แล้วฮ่องเต้ชิงหยู่ก็หันหลังแล้วก็เดิน ตรงไป ทั้งคู่ไม่มีใครพูดอันใดไปพักหนึ่ง

“ฝ่าบาทเพคะ ที่เรียกหม่อมฉันมากลาง ดึกแบบนี้มีอันใดจะให้รับใช้เพคะ?” หลัง เงียบอยู่นาน ในที่สุดอันหลิงหยุนก็ทนไม่ไหวจึงได้ถาม ไป

ฮ่องเต้ชิงหยู่จึงได้เริ่มพูดเข้าประเด็น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ