ตอนที่ 447 ไม่จื่อเฟิงตายแล้ว
เมื่อหลินเยียนได้ยิน ขณะนั้นสีหน้าก็พังทลายลง เห็นชัดว่า นางมีนเวียนอยู่ไม่น้อย นวดขมับของตนเอง ก่อนจะบ่นอย่าง แผ่ว “ไฉนจึงข้าเยี่ยงนี้
“แม่นาง นี่ก็เร็วมากแล้ว รากฐานของตระกูลทรงห่างจากที่นี่ หนทางกว่าพันเชียว…” มุมปากของเสี่ยวหลงกระตุกเกร็งอยู่ เนื่อง ความเร็วในการสื่อสารเช่นนี้นับว่าเร็วที่สุดในผืนแผ่นดิน ใหญ่แล้ว แม่นางผู้นี้ยังไม่พอใจอีก
หลินซีนเขียนแผ่นเสียงเย็น “ตอนนี้ช่างคิดถึงอุปกรณ์มือถือ ขึ้นมาเสียแล้ว คนยุคปัจจุบันล้วนใช้มือถือควบคุมปัญหา โอกาส ที่จะห่างจากโทรศัพท์มือถือห้านาทีก็ไม่มี หลังจากมาถึงที่นี่ ทำให้ผู้คนโยนโทรศัพท์ทิ้งและเริ่มเสาะหาตัวตน ทว่าถึงเวลา แบบนี้แล้ว ช่างโคตรจะคิดถึงชีวิตที่มีมือถือเลย!!
อาจเพราะอารมณ์ระส่ำระสายมากจนเกินไป หลินขึ้นเขียนบน พึมพำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใส่ใจว่าเสี่ยวหลงจะสามารถฟังคำ พร่ำไร้สาระของตนรู้เรื่องหรือไม่
เสี่ยวหลงฟังไม่เข้าใจจริงๆ เพียงแต่ถูกการแสดงออกของนาง ข่มขวัญเข้าให้แล้ว คิดว่าหลินขึ้นเขียนค่อนข้างสติสตังสับสน กำลังลังเลว่าจะไปหารือกับเชิงเพื่อเรียกท่านหมอมาตรวจ อาการให้นางพอดี กลับเห็นว่าหลินขึ้นเขียนหมุนกายเดินเข้าใน ภายในสวนแล้ว
หลินซีนเยียนเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้า ดวงตาของนางลุกโชน บวับ ราวกับจมอยู่ในโลกของนางเอง นางไม่อาจสติกลับมาได้
เสี่ยวหลงมายังข้างกายของนาง ยื่นมือไปโบกสะบัดตรง ดวงตาของนาง พบว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยแม้สัก น้อย ในอกตระหนกตกตื่น ฉับพลันก็วิ่งออกไปนอกประตูทันที
อย่างไรก็ตามครูต่อมา เสี่ยวหลงก็พาอี้เชิง สวีห้าวและคน อื่นๆ กลับมาภายในสวน คนที่ตามหลังเชิง ยังมีชายชราที่มี เคราขาวสิบกว่าคน และแพทย์ประจำราชวงศ์ก็ล้วนถูกเชิง เรียกมาทั้งหมดแล้ว
“พวกเจ้ารีบไปดูอาการให้พี่สาวข้าบัดนี้ หากว่านางเกิดเรื่อง อะไรขึ้น พวกเจ้าทั้งหมดต้องถูกฝังตามไปด้วย!” เชิงกำกับ แพทย์หลวงเหล่านั้นไปข้างหน้า เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวัน เขา เติบโตจากเด็กผู้ชายธรรมดาๆ สู่ฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง ปัจจุบันทั่ว ทุกแห่งหนล้วนแผ่ซ่านกลิ่นอายของผู้เป็นกษัตริย์ออกมา
เหล่าแพทย์หลวงชราเร่งรุดไปข้างหน้าเพื่อจับชีพจรของหลิน ซีนเขียน หลินซีนเยียนดูเหมือนจะเสียสติไปทั้งกายแล้ว ทอด สายตาตกไปยังขอบฟ้า ราวกับไม่ได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของ คนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งหุ่นกระบอกคอยให้เหล่า แพทย์หลวงตรวจสอบก็ไม่ปาน
“พวกเจ้ารีบพูดเร็วเข้า แต่ละคนส่ายหัวไปทำอันได” เซ็งเห็น ว่าเหล่าแพทย์หลวงชราแต่ละคนจับชีพจรเสร็จสิ้นแล้ว แต่กลับ ไม่มีแต่สักคนกล้าก้าวออกมาบอกอาการของโรคแก่เขาเลยเวลานี้เร่งรีบปั่นป่วน บนโลกทั้งใบนี้ คนที่เขาใส่ใจมากที่สุดก็ คือหลินซีนเยียน เจียงซาน บัลลังก์อะไร สําหรับเขาแล้วไม่มีอะไร เลย หากว่าเหล่านี้ไม่อาจรักษาหลีนขึ้นเขียนได้แล้วล่ะก็ สำหรับ เขาแล้วก็ไม่ได้มีความหมายใดๆ เลย
เหล่าแพทย์หลวงต่างผลักเกี่ยงกัน ในที่สุดหัวหน้าแพทย์ หลวงก็เกร็งหนังศีรษะออกมาข้างหน้า หลังจากประสานมือ คารวะแล้วจึงกล่าว “เรียนฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าพวกเราไร้ความสามา รถจริงๆ แต่ว่าร่างกายของแม่นางท่านนี้ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ดัง นั้น…”
“ไม่มีปัญหา?” อี้เซิงเดือดดาล ในบัดดล “เจ้าเห็นไหมว่านางมี ท่าทีวิญญาณล่องลอยแบบนี้เหมือนไม่มีปัญหาหรือ
“นี่” ทั้งสีหน้าของเหล่าแพทย์น้อยเนื้อ “แม่นางผู้นี้มีความ
คิดความอ่าน ที่ว่ากันว่า โรคหัวใจยังมีแพทย์รักษาโรคหัวใจ…
“ไร้ค่า ล้วนไร้ค่ากันหมด!” เชิงโกรธอย่างรุนแรง ระเบิด เสียงกล่าว “ไสหัวออกไปให้หมด!
เอเหล่าแพทย์หลวงไปยืน ครู่นั้นต่างลอบถอนหายใจ เพียงแค่ ให้พวกเขาไสหัวออกไปแล้วล่ะก็ พวกเขายังพอยอมรับได้ หากว่าเหมือนกับฮ่องเต้องค์ก่อน ที่ไม่รู้จะทำอันใดก็สังหาร แพทย์หลวงที่ไม่พอใจไปหลายต่อหลายคน เช่นนี้สำนักแพทย์ หลวงก็ไร้หนทางอยู่รอดแล้ว
รอเหล่าแพทย์หลวงจากไป เชิงค่อยคว้าแขนของหลินซีน เขียนเอาไว้ราวกับเด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง กล่าวเสียงทุ้มอิดออด “พี่สาว พี่สาว ท่านเป็นอะไรกันแน่
หลินซีนเยียนกลับยังคงไร้ความรู้สึกทั้งกาย ทำเพียงมองไปที่ ไกลๆ อย่างเลื่อนลอย ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อ เชิงเลยแม้
เชิงไร้ทางเลือก ท่าเพียงไถ่ถามเสี่ยวหลง “เจ้ารู้ไหมว่านาง กำลังทําอะไรอยู่
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเสี่ยวหลงกระตุกเกร็งต่อเนื่อง ขบคิด ไปมา ก่อนกล่าว “น่าจะกำลังรอพิราบส่งสาส์นกลับมากระมัง…” เขาเองก็ไม่แน่ใจ อย่างไรเสีย ตอนนี้เขาไม่สามารถเข้าใจได้ จริงๆ ถ้าเพียงรอข่าวคราวละก็เหตุใดจึงมีอาการเช่นนี้ นี่มัน ก็…เกินจริงเกินไปแล้ว
“พิราบส่งสาส์น?” เชิงยิ่งงุนงงเข้าไปหนัก
คราวนี้เสี่ยวหลงจึงเล่าเรื่องที่หลินซึนเขียนสืบถามข่าวคราว ของไม่จื่อเพ่งให้เซ็งและสห้าวฟัง เพิ่งได้ฟังต้นสายปลาย เหตุแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งแดงขึ้น ที่แท้ ที่แท้ในใจของพี่สาว ผู้ชายคนนั้นก็สำคัญถึงขั้นนี้เลยหรือ
ภายในสวนเงียบสงบมาก ไม่กี่คนล้วนไม่พูดจา หลินซินเยียน ก็เงยคอจ้องมองที่ไกลๆ อยู่อย่างนั้น ต้องอย่างตาไม่กะพริบ เชิงวิตกนัก จึงสั่งให้คนย้ายเก้าอี้มา ให้นางนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็ นั่งข้างกายและรอคอยไปกับนาง
สวี่ห้าวและเสี่ยวหลงสบมองกันและกัน ต่างก็ส่ายหัวอย่าง ช่วยไม่ได้
ใกล้ถึงยามเที่ยง ขอบฟ้าพลันปรากฏสีขาวอันเรียวเล็กขึ้น ชนยังไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่หลินขึ้นเขียนที่แน่นิ่งไม่ไหวติงมา ตลอดกลับลุกขึ้นมากะทันหัน นางชี้ไปที่เส้นเรียวเล็กอันไกลออก ไป เอ่ยถามเสี่ยวหลงเสียงดังลั่น “นั่นใช่พิราบส่งสาส์นของพวก เจ้าหรือไม่”
เสี่ยวหลงยึดคอยาว แรกเริ่มนั้นมองไม่เห็น ครูต่อมาจึงมอง เห็นสีขาวนั่นค่อยๆ ใหญ่ขึ้น เขาไม่กล้าตอบในทันที เกรงว่าพูด ผิดแล้วจะทําให้หลินซีนเยียนผิดหหวัง ตอนที่เจ้าสีขาวนั่นใกล้ เข้ามามากแล้ว หลังจากที่เขาสามารถแน่ใจแล้วจึงค่อยพยัก หน้า เอ่ยตอบคําถาม “ใช่ นั่นก็คือพิราบสื่อสารของพวกเรา”
ได้รับคําตอบยืนยันจากเสี่ยวหลงแล้ว หลินซีนเขียนคว้าหมับ ขนของเชิงอย่างตื่นเต้น มือของนางสั่นระริกเล็กน้อย นาง กลับไม่รับรู้ถึงเลยสักนิด
เครื่องหน้าของเชิงก็ยิ่งจืดจางลงไปบ้าง
ตอนที่พิราบร่อนลงภายในสวน เสี่ยวหลงรีบก้าวไปข้างหน้า เพื่อจับพิราบเอาไว้รับเอากระบอกจดหมายที่มัดอยู่บนขาของ พิราบ หยิบกระดาษลายฉลุม้วนเล็กๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากข้าง ใน แต่แค่เหลือบมอง เขากลับ เอากระดาษม้วนนั้นเป็นก้อน เกือบจะขว้างกระดาษก้อนนั้นทิ้งเข้าไปในบ่อปลาภายในสวน ดอกไม้โดยสัญชาตญาณ
“เจ้ากล้าโยนก็ลองดู!” หลินขึ้นเขียนตะโกนอย่างเดือดดาล อารมณ์ของหลินซีนเยียนพลันแล่น นางตะโกนเช่นนี้ เสี่ยวหลงก็หยุดการกระทําลง โดยสัญชาตญาณ ผ่านการอยู่ร่วมกัน หลายวันมานี้ เสี่ยวหลงก็เกรงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาอยู่บ้าง
หลินซีนเยียนรุดไปข้างหน้า แย่งกระดาษลายฉลุจากมือของ เสี่ยวหลง เปิดคลี่ออกมาดู ครูนั้นทั้งใบหน้าซีดเผือด ทั้งกายสั่น เทาไร้คำบรรยาย นางแค่รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าดำสนิท หลังจาก ที่โลกหมุนสับเปลี่ยนก็สูญเสียความนึกคิดไปโดยสมบูรณ์ ท่ามกลางความสงัด ได้ยินเพียงเสียงตะโกนอย่างเป็นกังวลของ อี้เชิงเท่านั้น
นางคิดว่าตัวเองสลบเลือดไปแล้วหนึ่งศตวรรษ ทว่ากลับเป็น เพียงเวลาไม่กี่วินาทีสั้นๆ เท่านั้นเอง หลังจากที่นางเปิดเปลือก ตาอย่างแช่มช้านั้น ก็เห็นใบหน้าที่หลั่งน้ำตาของเชิง
“พี่สาว ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็ยังมีข้าอยู่ทั้งคน! นึกถึงเสี่ยวจึง เขายังเล็กขนาดนั้น ไม่อาจไร้แม่แท้ๆ ได้” เชิงร้องไห้สะอึก สะอื้น กลิ่นอายผู้เป็นกษัตริย์ที่ก่อร่างเมื่อครู่นั้นหายไปสิ้นใน บัดนี้
สมองของหลินชินเขียนยังคงเรียกสติกลับมาไม่ได้ทําเพียง ยกมือขึ้น โดยสัญชาตญาณ มองไปยังตัวอักษรบนกระดาษลาย ฉลุนั้นอีกครั้ง บนกระดาษเขียนว่า “อ๋องเสวียนตายแล้ว” ห้าค่ เกือบทําลายความประสงค์สมทั้งหมดของนางไปสิ้น
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ