ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต

ตอนที่ 449 ไปตระกูลหนึ่ง



ตอนที่ 449 ไปตระกูลหนึ่ง

“ท่านไม่เชื่อมั่นข้าก็ได้ แต่ว่าการตัดสินใจของข้าไม่อาจ เปลี่ยนแปลงได้ ขาเคยพูดแล้ว จะให้ข้าไป หรือว่า พวกท่านก็ฆ่า ข้าเสียที่นี่เลยเถิด” ในม่านตาของหลินขึ้นเขียนเคลือบแฝงด้วย หยาดน้ำตา

โม่ อเฟิงเคยใช้วิธีการอันเด็ดขาดเพียงนั้นมาทำร้ายนางแล้ว แต่ว่า เพราะว่านางรักเขาไปแล้ว ดังนั้นนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นชั่ว ร้ายเช่นนี้ ยามที่ได้ยินข่าวการจากไปของเขา หัวใจของนางรวด ร้าวเสียจนไม่หนทางหายใจ

บางที นี่ก็คือความรัก ไม่เกี่ยวกับศักดิ์ดี ไม่เกี่ยวว่าจะอ ยุติธรรมหรือไม่ เพียงแต่เพราะว่าตกหลุมรักไปแล้ว ดังนั้นจึง เปลี่ยนเป็นค่าตอยด้อยค่ากระมัง

เชิงสะอื้นในลำคอ ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้ฝันอีก “พี่สาว หากว่าท่านตายจริงๆ ล่ะก็ เชิง ก็ไม่อาจอยู่บนโลกใบนี้ลำพัง

“อัยยะ ค่าที่ออกจากปากของพวกท่านทั้งสองล้วนมีแต่คำว่า ตายๆ เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นที่จำเป็นจะต้องตายขึ้นมาแล้ว จริงๆ เชียวหรือ” สวี่ห้าวเคร่งขรึมจริงจัง ทว่าเขาเป็นคนอุปนิสัย โอบอ้อมอารีคนหนึ่ง จึงทำได้เพียงตบกบาลของตัวเอง กล่าว เสียงต่ำ “พวกท่านทั้งสองล้วนไม่ได้รับอนุญาต ให้ตาย ถ้าพวก ท่านถูกบังคับให้ต้องตาย ข้าวห้าวจะเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อแก้แค้นแทนพวกท่านเอง”

เห็นว่าเชิงและสห้าวทั้งสองคนนี้ล้วนปกป้องตนเองอยู่ ใน อกของหลินซีนเขียนก็ตื้นตัน นางอยู่ในห้วงเวลาอันแปลก ประหลาด สูญเสียมามากมาย แต่ก็ได้รับคืนมามากมายเช่นกัน นางขบกัดเรียวปากล่าง ก่อนกล่าวกับหลาย “ถือเสียว่าข้า วิงวอนต่อพวกท่าน ไปตระกูลทรงครั้งนี้ ข้าไม่ไปไม่ได้ ข้าสาบาน ด้วยชีวิต หลังจากจบเรื่องนี้แล้วจะต้องพาพวกท่านไปเสาะหากรุ สมบัติแน่ หากว่าไม่ทำตามคำมั่นสัญญา ข้าเต็มใจตายอย่าง อนาถ! อันที่จริง แค่เพียงให้ข้าไปคนเดียวเท่านั้น พวกท่านไม่ได้ สูญเสียไปมากสักเท่าไรหรอก ก็แค่ออกเดินทางไม่กี่วันเท่านั้น เอง แต่ว่าพวกท่านไม่ยอมให้ข้าไป บางทีชั่วชีวิตนี้ พวกท่านอาจ หากรุสมบัติลับแหล่งที่มาของเก๋งจีนไม่เจอเลย”

นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่นางสามารถทำได้แล้ว หากว่าพวกเขา ไม่ยอมตกลงล่ะก็ ก็คงเป็นเพียงปลาตายในแหแล้ว

หลี่หายและหญิงหงสบมองกันและกันแวบหนึ่ง มองเห็นความ

ลังเลจากสายตาของอีกฝ่าย สุดท้าย ยังคงเป็นหน่ายที่เกร็ง หนังศีรษะพยักหน้ารับ “ได้ ในเมื่อท่านดึงดันเพียงนี้ เช่นนั้นพวกเราก็จะให้เวลาท่าน

ครึ่งเดือน” ในที่สุดหลี่หายก็ให้คำตอบที่แน่ชัดออกมา

หลินขึ้นเขียนสูดจมูก ก่อนตอบรับคำ “วางใจเถิด ข้าพูดคำ ไหนคำนั้น!”

ได้รับการอนุญาตจากพวกเขาแล้ว หลินซีนเยียนพลันดึงเสี่ยวหลงแล้วเดินออกไปข้างนอก “เสี่ยวหลง พวกเรารีบไปหน่อยเถิด ยังไม่แน่ใจความเป็นความตายของเขา ทั้งกายข้าช่างไม่สงบ เลย

นางมีการตอบสนองยกใหญ่เพียงนี้แล้ว เสี่ยวหลงยังจะกล้า ถ่วงเวลาได้เสียที่ไหน ฉับพลันก็รีบเดินตามนางออกไปข้างนอก

“พี่สาว ข้าไปตามท่านไป” เชิงวิ่งเหยาะๆ ตามไปข้างหน้า

สองก้าว

ดูเหมือนว่าหลินขึ้นเขียนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ในเวลานี้ ฝีเท้าชะงัก อีก หันหน้ากลับไป ยื่นมือไปลูบพวงแก้มของเขา “ไม่เจ้าตามข้า ไปไม่ได้ เจ้าเพิ่งจะขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ประเทศหมั้น ยังมีเรื่องอีก ตั้งมากมายรอให้เจ้าจัดการ พวกเราสิ้นเปลืองพลังงานมากมาย ขนาดนั้นกว่าจะทำมาถึงขั้นนี้ หากว่าเจ้าละทิ้งแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ พวกเราทําลงไปเพื่ออะไรกันเล่า

“แต่ว่า ข้าไม่วางใจท่าน…” เชิงกว่าจะได้อยู่ร่วมกันกับนาง นั้นไม่ง่ายดายเลย จึงทําใจไม่ได้ที่จะจากกับนางอย่างรวดเร็ว เพียงนี้

“เชิงเชื่อฟัง เจ้าต้องจำไว้ ชีวิตของเจ้าไม่ด้ดำเนินต่อไปเพื่อพ สาว เจ้าต้องเชื่อมั่น ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอย่างดี เช่นนั้นต่อให้พี่ สาวอยู่ที่ไหน ก็ล้วนมีความสุขแทนเจ้าได้” หลินซีนเขียนบังคับ ตัวเองให้ฝันแย้มรอยยิ้มออกมา นึกอยากหลงเหลือความทรงจํา อันสวยงามต่อเชิงอย่างสุดพลัง แต่น่าเสียดาย นางในตอนนั้น ไม่รู้ อันที่จริงแล้วรอยยิ้มของนางนั้นไม่เรียกได้ว่าน่ามองเลย
เชิงส่ายหน้า เขย่าแขนเสื้อของนางไว้มันไม่ยอมปล่อย หลินซีนเยียนทอดถอนใจ ก่อนกล่าวกำชับกับสวีห้าว “พี่ใหญ่ สวี เรื่อง เชิงทางนี้ก็รบกวนท่านแล้ว มีท่านเฝ้าดูอยู่ข้าช่างโล่ง ใจนัก

สห้าวพยักหน้าตอบรับ แม้ข้าจะเป็นคนกระด้างคนหนึ่ง แต่ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะจัดการให้เรียบร้อย ท่านวางใจเถิด นอกเสียจากข้าวห้าวตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ผู้ อื่นทําร้ายเชิงได้แม้แต่ปลายผม อย่างไรเสีย เขาก็เป็นเมล็ด พันธุ์ที่มีศักยภาพมากที่สุดของพวกเราในช่วงหลายปีมานี้ ข้า เป็นถึงอาจารย์ของเขา ข้ายังจะมองเขาถูกรังแกได้หรือ

เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่ใหญ่แล้ว หากว่าวันหน้าข้าได้หวนกลับ มาในสักวัน จะต้องเลี้ยงเหล้าและอาหารอย่างดีที่สุดให้พี่ใหญ่ สวีเป็นแน่” แม้แต่ตัวหลินซีนเยียนเองก็ยังไม่อาจแน่ใจว่าการไป ครั้งนี้ ยังจะมีสักวันหนึ่งได้หวนกลับมาอีกหรือไม่ นางไม่กล้าไป คิด หากว่าไม่จื่อเพิ่งตายไปแล้วจริงๆ นางกับเสี่ยวจึงจะอยู่ต่อ ไปอย่างไร

สวีห้าวยิ้มอย่างโอบอ้อม ดึงเชิงมายังด้านหน้าของตน ก่อน กล่าวกับหลินซีนเยียน “เช่นนั้นข้าก็จะรออาหารและเหล้าอย่างดี จากท่านแล้ว”

หลินซินเยียนแย้มยิ้ม หลังจากที่สูบกระหม่อมของเสี่ยวหลง เป็นครั้งสุดท้ายก็พาเสียวหลังจากไป

ตอนที่เงาร่างของนางกำลังลาลับไปจากหน้าประตูสวน ปลายสายตาของเซิง มีน้ำใสๆ กลิ้งไหลลงมา เขาได้ผ่านช่วงเวลา การร้องไห้และระบายอารมณ์มานัดต่อนัดแล้ว ทว่าทุกครั้งที่ ประสบกับเรื่องของหลินขึ้นเขียน เขากลับควบคุมตัวเองไม่อยู่

“อาจารย์ พี่สาวข้านาง…จะต้องกลับมา ใช่หรือไม่ เพิ่งหัน หน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังมองไปยังสวี่ห้าว

ในอกของสวีห้าวรวดร้าว กัดฟันพยักหน้า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว นางเป็นผู้หญิงที่เก่งกาจและเข้มแข็งที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมาใน ชีวิตนี้ นางจะต้องกลับมาเป็นแน่

“อืม!” เชิงสะอื้น แต่เนิ่นนานก็ไม่อาจละถอนสายตาของตัว เองได้

จากเมืองหลวงประเทศหมันมายังรากฐานตระกูลหรง ระยะ ทางไม่ใกล้เลยจริงๆ ทว่าอีกหลายปีต่อมา ยามที่หลินขึ้นเขียน นึกถึงวันเวลาเหล่านี้ขึ้นมา ความทุลักทุเลบนเส้นทางนี้ไม่ได้มี ความทรงจําลึกซึ้งสำหรับนางสักเท่าไร นางจำได้เพียง นาง ราวกับขี่ม้าตลอดเวลา กำลังขี่ม้าตลอดเวลา ระยะเวลานั้น ราวกับยังมีม้าสองตัวที่เหน็ดเหนื่อยจนฟองฟูมปาก และตรง ผิวหนังตรงต้นขาของนางเองก็ถูกเกือกม้าพูดจนเป็นแผลพุพอง แผลพุพองนั้นปริแตก และสมานเข้าหากันอีกครั้ง

ยามที่หลินซีนเยียนและเสี่ยวหลงมาถึงยังเรือนตระกูลหรง ก็ ล่วงเลยมาเป็นเวลาสิบวันหลังจากนั้นแล้ว

ตระกูลทรงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาหิมะ รอบด้านราวกับ เป็นสถานที่ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน ดังนั้นหากไม่ใช่ว่าเสี่ยวหลงน่าทางมาแล้วล่ะก็ หลินซีนเยียนหาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจหาที่พบได้

ห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมขนสนุกจิ้งจอกหนาทึบ สวมหมวกหนัง สุนัขจิ้งจอกสีขาวเรียงเส้น หลินขึ้นเขียนเพียงแค่เผยดวงตาที่ สง่างามคู่ดวงออกมา นางหมหุ้มประหนึ่งบ๊ะจ่าง ย่างเท้าทีละก้าว เข้าสู่ส่วนลึกของภูเขาหิมะ

“คนของตระกูลหรงล้วนเป็นวรยุทธ์กันอยู่บ้างทั้งนั้น ดังนั้นจึง สามารถฝืนสัญจรไปทางหน้าท่ามกลางภูเขาหิมะได้ แม่นางไม่ เป็นวรยุทธ์แม้สักนิด ดังนั้นหนทางยากแค้นก็ยิ่งเพิ่มความยาก ลำบากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เสี่ยวหลงเดินเคียงเป็นเพื่อนนาง ยามที่เอ่ยคำก็มีลมร้อนพ่นออกมาเกือบจะบดบังใบหน้าของเขา

หลินซีนเยียนรู้ ตอนนี้เสี่ยวหลงกำลังปลอบใจนาง เพียงแต่ นางเหนื่อย และล้ามากเกินไปจริงๆ จึงไม่มีเรี่ยวแรงตอบกลับคำ ปลอบโยนของเขาท่าเพียงพยักหน้าอย่างแช่มช้า ถือว่าเป็นการ แสดงออกถึงว่าตัวเองรับรู้แล้ว

เดินทางมาเป็นระยะเวลาครึ่งค่อนวัน ตอนที่ฟ้าใกล้มืด ใน ที่สุดเสี่ยวหลงก็ประคองหลินซินเยียนที่แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเดิน เห็นมายังใต้ซุ้มป้ายประตู ป้ายนั้นโค้งทอดยาวระหว่างเขาสอง ลูก ยาวประมาณสิบจ้าง ดูแล้วน่าเกรงขามนัก บนป้ายนั้นมีตัว อักษรขนาดใหญ่เขียนว่า “จัตุรัสแห่งศตวรรษตระกูลทรงเซียงซี

ถึงแล้ว” เสี่ยวหลงขยับลำคอ พ่นสองค่าออกมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ