ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต

ตอนที่93 โดนฆ่าตาย



ตอนที่93 โดนฆ่าตาย

เมื่อหลินซินเยียนตามสะใภ้เหล่าหลี่มาถึงประตูศาลา กลางก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของเทศกาล ในประตูศาลากลางมี

คนไม่เยอะ จึงไม่ค่อยมีชาวบ้านมาดูกันเท่าใด(ประตูศาลา

กลางก็สถานีตำรวจของโบราณ)

พวกเขาเข้าประตูศาลากลางแล้ว ก็พบเจ้าหน้าที่ในศาล ว่าการกำลังหาวอยู่ คนผู้นั้นที่ดูจะมีลมหายใจแต่ไม่มีแรง มองมายังคนที่เพิ่งเข้ามาแล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “พวกเจ้า ใช่คนในครอบครัวของเหล่าหลี่หรือไม่ ทำเรื่องยุ่งอะไรนัก หนาเนี่ย นี่มันวันปีใหม่จะให้คนอื่นเค้าพักผ่อนบ้างไม่ได้ หรืออย่างไร”

สะใภ้เหล่าหลี่ปาดน้ำตาแล้วรีบเดินเข้าไป นำเงินยัดใส่ มือของเจ้าหน้าที่ศาล “พี่ชาย เหล่าหลี่ของพวกเราตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง ให้ข้าพบหน้าเขาก่อนได้หรือไม่”

“พบ แน่นอนพบได้ พวกเจ้าไม่ใช่แค่พบหน้านะ แต่จะ ต้องนำศพเขากลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นข้าจะรอพบพวกเจ้า อยู่ตรงนี้ทำไมกัน วันนี้วันปีใหม่ ห้องเก็บศพไม่มีคนอยู่ พวกเจ้าไม่เอาศพกลับไปได้อย่างไร จะให้ข้าอยู่กับศพใน วันปีใหม่เรอะ” เจ้าหน้าที่ศาลรับเงินไปแล้วแต่ก็ยังพูดจาไม่ ดี

“ศพหรือ” สะใภ้เหล่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็หมดสติไป
หลินซีนเยียนรับประคองสะ พยายามอย่างสุดกำลังในการนวดให้สะใภ้เหล่าหลี่ สักครู่ สะใภ้เหล่าหลี่ถึงได้ค่อยมีสติขึ้นมา

“เหล่าหลี่ เหล่าหลี่ ท่านจะจากข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ เหลือข้าไว้คนเดียวเป็นหม้ายอย่างนี้ข้าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ อย่างไร” สะใภ้เหล่าหลี่ไม่มีเสียงจะพูด ทำได้แค่ร้องไห้ กองอยู่บนพื้น ไหนยังจะต้องนำผลชันสูตรศพกลับไปด้วย

หลินซินเยียนถอนหายใจ ให้เหล่าหลิวประคองสะใภ้เห ล่าหลี่ไว้ ส่วนตัวเองนั้นเดินไปที่หน้าประตูศาลากลาง “มัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น วันนี้ถ้าพวกท่านไม่อธิบายอย่างชัดเจน พวกข้าก็ไม่กล้านำศพนี้กลับไปโดยพลการ จะไม่ให้มีโอ กาสใดๆในการทำลายหลักฐานเด็ดขาด”

จากสีหน้าท่าทางของนางที่เยือกเย็น บวกกับลักษณะที่ ล้ำเลิศของนาง เจ้าหน้าที่ศาลที่ชอบสังเกตภาษาสีหน้า ท่าทางของผู้อื่นก็แค่รู้สึกกลัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ใช่ นายจ้างหรือไม่ ก็อธิบายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “เหลาหลีผู้นี้ทำตู้ไม่แข็งแรง บานประตูตู้ตกลงมาโดนลูกชาย ตระกูลอู่ ตระกูลอู่ก็ไม่แล้งน้ำใจ แค่ต้องการให้เขาชดใช้ แต่เขาไม่ยอมชดใช้ ก็ย่อมถูกตีอยู่แล้ว พอลูกชายคนโต ของเหล่าหลี่เห็นเขาถูกตี เขาก็ต่อยตีกับบุตรชายตระกูลอู่ ระหว่างที่กำลังอลหม่านกันอยู่นั้น เหล่าหลี่ก็ถูกตีจนตาย แล้ว บุตรชายตระกูลอู่ก็ได้รับบาดเจ็บ ข้ารับใช้บ้านนั้นก็ ยังถูกตีสลบไปด้วย ดังนั้นคนบ้านตระกูลอู่ต้องการที่จะ ฟ้องเหล่าหลี่กับลูกชายของเขา เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้ เหล่า หลี่ทำร้ายคนอื่นแถมยังไม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย ถูกตีตายแล้วก็ไม่ได้รับผิดชอบต่อบ้านตระกูลอู

จากที่ได้ฟังเจ้าหน้าที่ศาลพูดแล้ว คำพูดทั้งหมดของเขา ดูเหมือนว่า มุมมองของเขา ด้วยเหตุผลนี้แหละ ครอบครัว ตระกูลหลี่ดูท่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วแม้แต่ฟ้องร้อง แต่ว่า จากมุมมองของคนในยุคปัจจุบัน หลินซินเยียนผู้

ได้รับการศึกษาระดับสูงมา นางไม่ใช่คนที่ไม่รู้หนังสือ ไม่

ว่าจะอยู่ในสังคมช่วงเวลาใด ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะสามารถ

ตีคนให้ตายได้

คำพูดของเจ้าหน้าที่ศาลนั้นขู่สะใภ้เหล่าหลี่แบบผู้หญิง บ้านนอกที่ไม่มีวัฒนธรรม เขากำลังหลอกลวงนางรีเปล่า

หลินซินเยียนพูดเสียงเย็น แววตาเฉียบคมดั่งมีดที่กำลัง กรีดบนหน้าของเจ้าหน้าที่ศาล นางถาม “ท่านบอกว่าเหล่า หลี่ทำร้ายคนแล้วไม่ยอมชดใช้ แถมยังกักขังลูกชายของ เขา คดีนี้ถูกนำไปพิจารณาที่ศาลหรือยัง”

เจ้าหน้าที่ศาลถูกถามก็ชะงักงัน แสร้งทำเป็นยืดอก คำรามว่า “นี่มันวันปีใหม่ คดีแบบนี้จะมีใครว่างมาพิจารณา คดีให้ เจ้าทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ไม่มีความรู้วันวันไม่มีอะไร จะทำหรือไง คดีนี้เหล่าหลี่เป็นฝ่ายที่ผิดก่อน ผลลัพธ์หลัง จากนี้อย่างไรเหล่าหลี่ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบแน่นอน ยังจะ มีอะไรให้พิจารณาอีกหรือ”

เจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถตอบคำถามของนางได้เต็มปาก นั้นทำให้นางมีแผนอยู่ในใจแล้ว ในปากของเจ้าหน้าที่ศาล เรื่องชีวิตลิขิตฟ้านั้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเปลี่ยนเป็น เรื่องที่แต่งพรรณนาขึ้นมาเองได้ ชีวิตคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าจริงๆหรือ

หลินซินเยียนพลันรู้สึกสะอิดสะเอียน นางหมุนคอ กด ความรู้สึกสะอิดสะเอียนนั้นลงไป หลังจากนั้นก็พูดเสียง เย็น “ท่านเจ้าหน้าที่ศาลถึงกับกล้าแอบอ้างสิทธิ์ของ ขุนนางในศาลตัดสินคดีแทนความกล้าหาญของท่านนั้น มากไปหน่อยไหม ใครกันนะที่ให้ความกล้านี้ท่านมาค้ำฟ้า ข้าอยากจะไปถามจริงๆว่าเจ้าหน้าที่ศาลแอบอ้างสิทธิ์ใน การตัดสินคดีนั้นเหมาะสมตามกฎเกณฑ์รีไม่ อ่า ใช่แล้ว ข้ายังอยากถามอีกว่า ถ้าหากไม่เป็นไปตามกฎระเบียบแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลจะได้รับบทลงโทษเช่นไร”

เจ้าหน้าที่ศาลคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความคิดที่ซับ ซ้อนแบบนี้ในช่วงเวลากะทันหันออกมาได้อย่างไรกัน ถึง อย่างไร เรื่องตบตาหลอกลวงครอบครัวชาวบ้านเขาก็ทำ มาไม่ใช่น้อย แล้วก็ไม่เคยถูกเปิดโปงมาก่อน ไม่ใช่ว่า สอบถามมาชัดเจนแล้วหรือ เหล่าหลี่ผู้นี้ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ อาศัยในเมืองเฟิ่งซี ไม่รู้จักใครที่ไหน ทั้งบ้านไม่มีความรู้ การศึกษา ไม่เข้าใจกฎหมายกลับมีแม่นางผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น มาอย่างกะทันหัน

“เจ้าเป็นใครในบ้านของเหล่าหลี่ สะใภ้เหล่าหลี่ไม่ ปริปากสักคำ เจ้ามาสอดรู้สอดเห็นทำไม” นักการศาลเริ่ม ขาดความเชื่อมั่น เสื้อชั้นในชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น

ข้าเป็นน้องสาวของสะใภ้เหล่าหลี่ นี่เป็นคนของ ครอบครัวข้า จะทำไมหรือ ข้าถามไม่ได้หรือ พอหลินซิน เยียนได้ยินเจ้าหน้าที่ศาลพูดเช่นนั้นก็รู้ได้เลยว่า เจ้าหน้าที่ศาลคนนี้กำลังมีปัญหาบางอย่าง นางถือโอกาสนี้ ไต่ถาม “บอกข้ามาตามจริง เรื่องแบบนี้พวกเราจะปล่อยไปได้ อย่างไร เกิดมาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าฆ่าคนแล้วจะไม่ เหลือหลักฐานเหตุผลอะไรไว้เลย ถ้าเจ้าไม่อยากมีปัญหาก็ รีบบอกข้ามาตามตรง มิเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องร้องกับขุนนาง เมืองหลวง”

เรื่องหลอกลวงต้มตุ่นแบบนี้มีหรือหลินซินเยียนจะไม่ เข้าใจ เพียงแต่ไม่คิดจะนำมาใช้ แต่เวลาที่ต้องเผชิญหน้า กับสถานการณ์ที่กดดันแบบนี้ หลินซินเยียนกลับรู้สึกต้อง นำวิธีอำนาจคุกคามเข้ามาจัดการ จะมีคนชั่วที่ถูกคนที่ชั่ว กว่ากำจัด ของเพียงท่านชั่วกว่าเขา เขาก็จะกลัวท่าน ถึง 2 จะทำให้ท่านได้ในสิ่งที่ต้องการ

พลังของเจ้าหน้าที่ศาลคนนั้นลดลงกว่าครึ่ง ไม่ต้องพูด ถึงไปหาขุนนางที่เมืองหลวง เรื่องนี้แค่ถามผู้ที่รู้กฎหมายก็ สามารถบอกได้เลยว่าปัญหาอยู่ที่เจ้าหน้าที่ศาล เขาเป็น แค่เจ้าหน้าที่ศาลตัวเล็กๆ มันไม่คุ้มเลยถ้าจะมีปัญหากับ เรื่องแบบนี้

เจ้าหน้าที่ศาลผู้นั้นเมื่อได้ฟังสิ่งที่หลินซินเยียนพูดและ ยิ่งได้มองสะใภ้เหล่าหลี่ที่นั่งอยู่บนพื้น “อัยยะ เรื่องนี้ไม่ใช่ ข้าที่ตัดสินใจ ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลตัวเล็กๆ จะกล้าพูดได้ อย่างไร เอาเถอะ ข้าแนะนำให้พวกเจ้าอย่าโวยวายไป ข้า จะกลับไปคุยกับเบื้องบนให้ ปล่อยเรื่องของเหล่าหลี่ไป เรื่องก็จบ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เสียเปรียบ คนตระกูลอู๋ ไม่ใช่ว่าจะเอาเรื่องได้ง่ายๆ ”
สิ่งที่เจ้าหน้าที่ศาลพูดถึงก็นับว่ามีความจริงใจอยู่แต่เมื่อ เข้าหูหลินซินเยียน นางกลับมีสีหน้าเข้มขึ้น คนก็ตายไป แล้วจะให้ทนอะไรอีก

“ถ้าหากพวกเราไม่ทน ท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ศาลยังทำ อะไรไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์ ข้าจะไปพบ ขุนนาง”หลินซินเยียนพูดไปก็เดินไปยังประตูทางออก

เจ้าหน้าที่ศาลคนนั้นรีบเข้ามาจับแขนเสื้อของนางไว้ “แม่ นาง ท่านอย่าได้เอะอะโวยวายไปเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพวก เราพูดอะไรก็ได้ตามนั้น ที่จริงพวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เหมือนกัน พวกเราเป็นแค่เจ้าหน้าที่ศาลตัวเล็กๆที่อยู่หน้า ประตูศาลแห่งเมืองเฟิ่งซี ข้าราชการอย่างพวกข้าจะไป ตัดสินใจอะไรได้ ป้ายร้านค้าหนึ่งป้านตกลงมาก็ฆ่าคนได้ 2 แปดถึงสิบคน เรื่องนี้ท่านมาถามเอาจากข้าแน่นอนเลยว่า ไม่มีประโยชน์ เมื่อถึงเวลาที่ท่านไปรบกวนเบื้องบนพวกเรา ก็จะจบเห่กันหมดพอดีนะสิ”

“ไปให้พ้น”หลินซินเยียนมองเจ้าหน้าที่ศาลคนนี้อย่างรับ ไม่ได้ เลยพูดอย่างไม่เกรงใจ “นอกจากจะไม่ดูแล ประชาชนแล้ว ยังไม่รู้ถูกผิด ข้าราชการเช่นนี้ยังสามารถ เรียกตัวเองว่าเป็นข้าราชการได้อีกหรือ ปล่อย ข้าจะไปตี กลองร้องทุกข์”

“อั้ยหยา ข้าพูดขนาดนี้เจ้ายังไม่รู้จักดีชั่วอีก ที่ข้าพูดก็ เพราะหวังดีกับเจ้า พูดไปมากขนาดนี้เจ้ายังไม่ฟัง ถ้าเจ้า อยากจะไปตีกลองร้องทุกข์มากนัก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตามมา อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน” เจ้าหน้าที่ศาลพูดจบก็มองใบหน้าของหลินซินเยียนที่ไม่มีความประนีประนอม เลยแม้แต่น้อย นางมีสีหน้าเข้มขึ้นไม่เกรงกลัวสักนิด

เขาไม่กลัวหรือ หลินซินเยียนเลิกคิ้ว แล้วคิดอย่าง ละเอียด อะไรกันที่หนุนอยู่เบื้องหลังทำให้เจ้าหน้าที่ศาล คนนี้ไม่เกรงกลัวอะไร นางที่แต่เดิมคิดจะไปตีกลองฟ้อง ร้องเต็มที่ก็ผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย

นางรู้ดี บางเวลาก็ไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป

น่าเสียดายที่ ขณะที่นางคุยกับเจ้าหน้าที่ศาลคุยกันอยู่ สะใภ้เหล่าหลี่ได้ยินทุกประโยค สะใภ้เหล่าหลี่รู้สึกว่าการ ตายของสามี นางนั้นมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง เมื่อ ได้ยินว่าหาขุนนางร้องทุกข์ เรื่องอะไรนางจะยอมอยู่เฉยๆ เห็นเพียงแค่นางผลักเหล่าหลิวออกแล้วก็วิ่งถลันออกไป นอกประตูทันที

หลินซินเยียนจะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว

เสียงกลองจากด้านนอกประตูดังขึ้น ดังไปไกลบนถนนที่ สงบเงียบสายนี้

คนที่กำลังทานข้าวกลางวันอยู่ได้ยินเสียงความ เคลื่อนไหว ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “คนบ้านไหนเนี่ย ร้อง เรียนไม่ดูเวลำเวลา นี่มันวันปีใหม่ คนเขาก็ยุ่งกับการกิน ข้าว ใครกันที่มันว่างมาร้องเรียน” “แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เสียงที่ได้ยินนั้นดังมาจากฝั่ง

ตะวันออกของถนน ขุนนางฝั่งตะวันออกของประตูศาลยัง

จะเรียกว่าขุนนางได้อีกหรือ ได้ยินว่าใช้เงินซื้อตำแหน่งนี้มา คนที่มาฟ้องร้องนี้ช่างไม่เข้าใจอะไรเสียเลย”

“น่าเวทนาเสียจริง ข้าได้ยินมาว่าผลงานของขุนนางคนนี้ ไม่ค่อยดี ถ้าหากว่าไม่มีคนเบื้องบนคอยหนุนหลังป่านนี้ก็ คงจะเสียตำแหน่งไปแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่นั่งอยู่ใน กระทรวง เบื้องบนของคนผู้นี้ก็ยังมีคนคุมอยู่ วันปีใหม่นี้ มารบกวนความสงบของขุนนาง ข้าว่าคนที่มาฟ้องร้องมา แล้วถูกไล่แล้วยังไม่กลับไปก็คงจะต้องโดนตีปางตาย”

น่าเสียดายที่สะใภ้เหล่าหลี่ที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในเมืองเฟิ่ง ซีไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยสักนิด ยิ่งถ้าพูดถึงหลินซินเยียนก็ยิ่ง ไม่เข้าใจเรื่องนี้เข้าไปใหญ่

ในเมื่อตีกลองไปแล้วก็ไม่มีทางหนีที่ไล่แล้ว หลินซิน เยียนถอนใจ จะโชคดีหรือจะโชคร้ายก็ต้องรับให้ได้แหละ คราวนี้ หลินซินเยียนและเหล่าหลิวตามเข้าไปในศาล

หลังจากรอเวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา ข้าราชการคนหนึ่ง ก็เดินมาที่ประตูศาลด้วยสีหน้าไม่ดี รอยยิ้มบิดเบี้ยวเขา ตะโกนอย่างไม่มีแรงว่า “บังอาจ” แล้วมองมาที่สะใภ้เหล่า หลี่อย่างเกรี้ยวกราด

สะใภ้เหล่าหลี่ต้องการร้องทุกข์ นักการเมืองคนนี้ก็ตบ โต๊ะเสียงดัง พูดกับคนที่พาคนเหล่านี้เข้ามาในศาล “สวีลิ่ว เจ้ามันไม่มีประโยชน์ทำอะไรก็ทำไม่ได้ดีสักอย่าง ยัง ปล่อยให้ผู้หญิงชั้นต่ำคนมาร้องทุกข์อีกรี” าคนนี้

ยังไม่ทันได้พิจารณาคดี นักการเมืองคนนี้ก็ประเมินค่า ของสะใภ้เหล่าหลี่แล้ว ใจของหลินซินเยียนหล่นฮวบ รู้สึก ได้ว่าวันนี้จะต้องโชคร้ายแน่ๆ
เป็นดังที่คิดไว้ นักการเมือง ไม่มองท่สะโภเหล่าหะ บสก นิด ทำเพียงแค่ออกคำสั่งกับเจ้าหน้าที่ศาลสองคน “มอง อะไรอยู่ละ ลากนางไปโบยสักยี่สิบครั้ง นี่มันวันปีใหม่จะมา ร้องเรียนอะไร เจ้ามีเรื่องอะไร ดี เรื่องของตระกูลอู๋ คนของ เจ้าทำร้ายคนก่อน ยังจะมาเรียกร้องอะไร ตระกูลอู่เขาไม่ ได้เรียกร้องอะไรเลยนะ”

หลินซินเยียนเคยพบแต่เรื่องสีเทา ขาวดำปนเปมาบ่อย แต่ไม่เคยเจอคนที่ไม่ไว้หน้าแบบนี้ หลินซินเยียนมองเจ้า หน้าที่ศาลสองคนลากสะใภ้เหล่าหลี่ออกไป หลินซินเยียน ถอนใจแล้วก็ลุกขึ้นพูด “ท่านขุนนาง ท่านจะไม่ฟังหน่อย หรือว่าที่แท้เหล่าหลี่ทำร้ายคนจริงหรือไม่ พูดเพียงแค่เห ล่าหลี่ถูกตีตาย ท่านยังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดเลยว่าตระ กูลอู่มีความผิดหรือไม่ ท่านทึกทักไปเอง ท่านตัดสินเช่นนี้ ไม่รับใช้ประชาชนเอาเสียเลย”

“ไม่รับใช้หรือ” ขุนนางหัวเราะ “ข้ารับใช้หรือไม่รับใช้เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าขุนนางที่หนุนหลังตระกูลอู่เป็นใคร สนมเอก ของท่านอ๋องก็มาจากตระกูลอู๋ที่ร่ำรวย แล้วพวกเจ้าละเป็น ใคร พวกเจ้ากล้าไม่รับใช้หรือ ได้ ขุนนางอย่างข้าจะกลับ ไปฉลองเทศกาล จะไปเอะอะที่ไหนก็ไป อย่างไรข้าก็ยุ่งไม่ ได้”

เจ้าหน้าที่ศาลสองคนที่ลากสะใภ้เหล่าหลี่ออกไป สักพัก ก็ได้ยินเสียงสะใภ้เหล่าหลี่ร้องด้วยความเจ็บปวด

ขุนนางคนนั้นพูดเสร็จก็ถอนหายใจแล้วเดินออกไป เขา คนนี้นี่มาเร็วไปไวมาก เริ่มก็มีคนหนุนหลังไม่กลัวอะไรจริงๆ

หลินซินเยียนไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเรื่องต่ำทรามเช่น นี้ นี่มันกำเริบเสิบสานพูดอวดดีมากเกินไปแล้ว เหตุใดใต้ ฟ้าถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

เมื่อขุนนางเดินออกไป เจ้าหน้าที่ศาลสองคนที่เจอกัน ตั้งแต่ตอนต้นก็เดินเข้ามา “ข้าแค่จะบอกว่าพวกเจ้าอย่า สร้างปัญหา ถ้าพวกเจ้ายังไม่ฟัง ตอนนี้เป็นเรื่องของเหล่า หลี่แค่คนเดียว ยิ่งพวกเจ้าเอะอะโวยวาย พวกเจ้าอาจจะ ตายกันหมด”

หลินซินเยียนรู้สึกว่าเรื่องคุกคามแบบนี้ช่างน่าขันเสีย จริง แต่ทว่านางไม่มีผู้หนุนหลังเลย ยิ่งมีเรื่องกับคนที่มีผู้ หนุนหลังเป็นคนในวังด้วยแล้ว พวกเขานั้นถือเป็นตัวอะไร ถ้าพวกเข้าต้องการชีวิตก็ย่อมได้ เป็นเรื่องที่ง่ายเหลือเกิน

ขุนนางนางคนนี้กับเจ้าหน้าที่ศาลพูดความจริงกระจ่าง เกี่ยวกับเหล่าหลี่เรื่องนี้มีผู้อยู่เบื้องหลังเลยไม่เกรงกลัว อะไรทั้งนั้น ในสายตาของพวกเขานั้น ตระกูลหลี่นั้นไร้ค่า เพียงแค่ยอมถอยก็จะสามารถรักษาชีวิตของคนใน ครอบครัวได้ ถ้าหากไม่ทำตามที่เขาพูดแล้วโดนฆ่ากัน หมด แล้วใครจะพูดแทนเหล่าหลี่เล่า

นี่คือความจริง ไม่ใช่เจ้าคิดว่าไม่ยุติธรรม ถ้าเจ้าต่อต้าน เจ้าก็จะถูกต่อต้านหรือ การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ นั้นไม่ง่ายเลย

สะใภ้เหล่าหลี่ที่ถูกตีจนแทบหมดลมหายใจถูกลากออก มาแบบมึนงง เหล่าหลิวที่ได้ฟังขุนนางคนนั้นพูดถึงตระกูลอู่ก็แข้งขาอ่อน ไม่กล้าอยู่ต่อเผ่นกลับไปแล้ว

หลินซินเยียนประคองสะใภ้เหล่าหลี่ ภายในใจนั้นเศร้า เหลือเกิน แต่ไม่มีแรงกำลังจะสู้เขาได้ นางไม่มีกำแพงที่จะ มาปกป้อง ไม่มีเพื่อนมนุษย์ที่จะยอมเข้ามาช่วยเหลือ นางในตอนนี้ก็เป็นเพียงผู้หญิงที่อ่อนแอ ไม่ต้องพูดถึง ขุนนางคนนั้น แค่เจ้าหน้าที่ศาลนางยังสู้ไม่ได้เลย

สะใภ้เหล่าหลี่ร้องไห้เหมือนฝันร้าย เจ้าหน้าที่ศาลกลับ เข้าไปแล้ว สักครู่ก็ลากคนออกมาจากศาลอีกคน คนผู้นั้น มีคราบเลือดเต็มตัว เมื่อเขาเห็นสะใภ้เหล่าหลี่เขาก็คุกเข่า ลง แล้วพูดเบาๆว่า “แม่ แม่ แม่…”

สะใภ้เหล่าหลี่เพิ่งจะได้สติกลับมา กอดคนคนนั้นแล้วก็ ร้องไห้ สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อยู่หน้าศาล ด้านหลังของพวก

เขาเป็นประตูศาลที่ยิ่งใหญ่ บนประตูแขวนป้ายไว้ว่า

“ขุนนางซื่อสัตย์ สูงส่ง” ภายใต้แสงแดดนั้น ตัวอักษรสี

ทองบนป้ายนั้นช่างน่าขันเสียจริง

หลินซินเยียนถอนหายใจ เมื่อเห็นศพถูกเห็นออกมาจาก ศาล นางเดินไปตรงหน้าของคนที่มีคราบเลือดเต็มตัวแล้ว ตบบ่าของเขา “ถ้าเจ้าเป็นลูกผู้ชาย ก็แบกศพของพ่อเจ้า ขึ้นมา พวกเราค่อยกลับไปหาวิธีกันใหม่ ร้องไห้อยู่ตรงนี้ ก็ เหมือนร้องไห้อย่างคนตาบอด มีประโยชน์อะไรหรือ”

นางไม่ได้พูดคำพูดหลักความคิดโทษฟ้าโทษมนุษย์ เวลานี้นางไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงธรรมะใดๆ นางมองว่า เรื่องของนางเป็นเรื่องที่เสียเวลา นางไม่ใช่ผู้ช่วยโลก ถ้ามีอะ ไรที่นางโด้รู้แจ้งธรรมะของพระเจ้า ถ้านางทาโด้นางก จะทำ

นางก็พูดสิ่งที่คิดไปหมดแล้ว ถ้าคนผู้นี้ไม่ฟัง เรื่องนี้ อย่างไรนางก็ไม่จำเป็นจะต้องยุ่งอีกต่อไป โชคดีที่คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างมึนงง หลังจาก

นั้นก็หันกลับไปแบกศพของเหล่าหลี่

อารมณ์ที่เศร้าโศกของหลินซินเยียนสุดท้ายก็ถูกปล่อย วางลงเสียที สะใภ้เหล่าหลี่เป็นเช่นนี้ นางจับจุดสำคัญไม่ ได้ ถ้าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสติเข้ามาแบกรับหน้าที่นี้ ตระกูล หลี่ก็คงจะต้องจบสิ้นลงตรงนี้

เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลหลี่ เอ้อร์ยากับเด็กสองคนก็ เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ หู่เอ่อเห็นสะใภ้เหล่าหลี่กลับมาก็ ร้องไห้จ้า เมื่อสะใภ้เหล่าหลี่ได้ยินดังนั้นก็เดินเข้าไปกอดหู เอ่อแล้วร้องไห้ด้วย

บุตรชายคนโตของตระกูลหลี่เห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้ด้วย หัวคิ้วของหลินซินเยียนยับย่นแล้วพูดว่า “เจ้าจะร้องไห้ไม่ ได้ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้นำของบ้าน ตอนนี้ที่เจ้าทำได้ก็คือ ปลอบโยนดูแลแม่ของเจ้า และยังต้องคิดหาวิธีทวงความ ยุติธรรมให้พ่อของเจ้าด้วย ผู้ชายอกสามศอกร้องไห้ไปก็ ไม่มีประโยชน์”

บุตรชายคนโตตระกูลหลี่ไม่เคยเจอหลินซินเยียนมา ก่อน เมื่อพบเจอกันก็ตอนที่เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ก็สงบลง หยุดร้องไห้น้ำตาที่ไหลทะลักเมื่อครู่เหมือนถูกดูดกลับ เข้าไป “แม่นาง..
“ไม่ต้องพูดแล้ว ขอบคุณข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนน เจ้าเล่ามาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเราค่อยคิด หาวิธี”นางถอนหายใจ เมื่อครู่นางคิดออกแล้วว่าถ้าหาก ไม่มีวิธีจริงๆ นางจะไปหาโม่จื่อเฟิงให้ช่วย ขอแค่เพียงโม่ จื่อเฟิงยื่นมือเข้ามาช่วย ที่นี่อาณาจักรหนานเยว่ไม่มีเรื่อง อะไรที่เขาจะแก้ไขไม่ได้

เพียงแต่ นางรู้ดีว่าด้วยนิสัยของโม่จื่อเฟิง เขาจะต้องไม่ ช่วยใครก็ไม่รู้ที่ไม่ประโยชน์กับเขา นางขอให้เขาช่วยได้ แต่ว่านางต้องนำของไปแลกเปลี่ยน ครั้งที่แล้วเพื่อจะขออี้ เชิง นางยอมเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้เขา ครั้งนี้นางไปขอร้อง เขานางต้องเอาอะไรไปแลกเล่า นางไม่กล้าคิดแล้วก็ไม่ อยากจะคิดด้วย

“หลายเดือนก่อนตระกูลอู่นั้นเรียกให้เหล่าหลี่ไปทำงาน ข้ากับพ่อก็ไป พ่อข้าเป็นคนซื่อตรง ทำอะไรก็ทำได้ดี ค่าแรงถูก ดังนั้นพอทำเสร็จเมื่อบ้านตระกูลอู๋มีอะไรเสียก็ จะเรียกเราไปซ่อมประจำ เช้าวันนี้ตระกูลอู่บอกว่าตู้เสีย เลยเรียกให้พ่อไปข้าก็อยากไปช่วย จะรีบทำแล้วกลับบ้าน ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่อง.”

“พูดประเด็นสิ” หลินซินเยียนเลิกคิ้ว

“เอาหละ”บุตรชายคนโตของตระกูลหลี่เก็บอารมณ์แล้ว พูดว่า “ข้าและพ่อถูกเรียกไปที่ห้องข้างห้องโถงใหญ่สอง ห้อง ในนั้นมีเครื่องเรือนที่เสียอยู่ พ่อเข้าไปห้องหนึ่ง ส่วน ข้าเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนกำลังโต้เถียง กับพ่อ พอข้าเข้าไปก็เห็นคนตระกูลอู่กำลังตีพ่อ ข้าทนดูไม่ได้เลยเข้าไปต่อยตีกับเขาด้วย พวกเขาคนเยอะ ข่ากบพ่อ จะไปสู้ได้อย่างไร ดังนั้นจึง จึง….

เมื่อบุตรคนโตตระกูลหลี่นึกเรื่องนี้ขึ้นมา ความรู้สึกก็พัง ทลาย สีหน้าของหลินซินเยียนไม่เปลี่ยน ถามต่อนิ่งๆว่า “ตอนเจ้าเข้าไป เห็นอะไรที่แปลกๆไหม”

ตัดสินว่าเหล่าหลี่ทำร้ายคน ตระกูลอู๋ใช้เหตุผลอะไรมาตี เขาให้ตาย ตีคนตายนั้นไม่เหมาะตามทำนองคลองธรรม

บุตรชายคนโตตระกูลหลี่คิดอย่างละเอียดอีกครั้งก็ส่าย หัว “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ตู้นั้นทำจากไม่จันทร์ราคาแพง ภายในใส่ของเยอะแยะเละเทะ”

“ตู้ไม้จันทน์ใส่ของเละเทะหรือ” หลินซินเยี่ยนรู้สึกว่า ตนเองกำลังจะค้นพบอะไรบางอย่าง “ของอะไรบ้าง”

บุตรชายคนโตชะงัก คิดอย่างละเอียดอีกที สีหน้าของ เขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดแล้ว ถึง เขาจะยังเด็ก แต่เขาก็โตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ตอนเขาถูกหลินซินเยียนปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เขาคิดออก แล้วว่าในตู้มีของที่คล้ายๆของผู้ชาย…ของผู้ชาย

บุตรชายคนโตหน้าแดง ไม่กล้าพูดออกมา

หลินซินเยียนย่นคิ้ว เห็นเขาไม่พูด เลยถือโอกาสถามไป ตรงๆ “ใช่ของเกี่ยวกับทางเพศรึไม่ เป็นของที่ชายหญิง ใช้..

“ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องระหว่างชายหญิง ดูเหมือนจะเป็นเรื่อง ระหว่างผู้ชายต่างหาก” เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา บุตรคนโตตระกูลหลีกก้มหน้างุด

ในที่สุดหลินซินเยียนก็ได้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ดูจาก ตอนนี้ก็ชัดเจนเลยว่าเหล่าหลี่คงจะไปพบของไม่ดีในบ้าน ตระกูลอู่เลยถูกฆ่าปิดปาก มีเงิน มีอำนาจ การฆ่าคนในสายตาของพวกเขานั้นคง

เป็นเรื่องน่าสนุกสินะ

หลินซินเยียนนพูดเสียงเย็น “บังเอิญพบสาเหตุแล้วสิ งั้น พวกเรามาคิดหาวิธี ดูไปดูมาท่านชายอู๋จะเป็นพวกชายรัก ชาย ขอแค่เขามีจุดอ่อน นั้นก็ถือเป็นโอกาสของเรา”

“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไร” จากแรกเริ่มไม่รู้จักหลินซิ นเยียนดี เมื่อได้ฟังคำพูดที่มีระเบียบแผนการของนางก็ ทำให้บุตรชายคนโตตระกูลหลี่รู้สึกเลื่อมใสในตัวนาง

“หาพยานหลักฐาน จากนั้นก็เปิดสงครามกับศัตรูเลย” นางมองใบหน้าของสะใภ้เหล่าหลี่ที่กำลังร้องไห้ “ตอนนี้ ดูแลแม่ของเจ้าให้ดีๆ จัดงานศพของพ่อเจ้าให้เรียบร้อย แล้วแสร้งทำเป็นยอมประนีประนอม ไม่ต้องแสดงท่าทาง ต่อต้านให้ศัตรูตายใจ แล้วเจ้าค่อยสะกดรอยตามท่านชา ยอู่”

เมื่อคิดแผนการเสร็จแล้ว หลินซินเยียนก็ควรจะให้เวลา คนตระกูลหลี่รักษาแผลใจ นางเลยพาเอ้อร์ยากับอี้เซิง กลับบ้านก่อน

ระหว่างทางหัวใจของเอ้อร์ยาและอี้เซิงหนักอึ้ง โดย เฉพาะเอ้อร์ยา นางทนไม่ไหวเลยร้องไห้ออกมาเป็นคนแรก”สะใภ้เหล่าหลีน่าสงสารเหลือเกิน ลิมันตันปกฆาคนแสร น ไม่ใช่คนแล้ว เมื่อก่อนข้ามีพี่ชาย แต่เพราะครอบครัว ยากจน พี่ชายเลยถูกนำไปขายเป็นข้ารับใช้เพื่อแลกเงิน ยังไม่ถึงสองเดือนเขาก็ถูกลงโทษตีจนตาย เขาเหมือนถูก จองจำ ชีวิตของเขากลายเป็นของบ้านผู้อื่นแล้ว ถูกเขาตี พวกเราก็ร้องเรียนอะไรไม่ได้”

เมื่อหลินซินเยียนได้ฟังเช่นนั้น ก็ไม่ออกความเห็นอะไร ทำแค่ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ วันนี้นางถอนหายใจ มากกว่าในหนึ่งปี นางเองก็จนปัญญา สำหรับระบบสังคมที่ ช่วยไม่ได้อย่างนี้ ชีวิตคนถูกนำมาซื้อขายได้ สามารถเอา เงินมาเปรียบค่าได้

แต่น่าจะทำอะไรได้เล่า อย่างน้อยที่สุดตอนนี้นางยังทำ ไม่ได้เลย

“ขอถามหน่อยนี่ใช่ที่อยู่ของท่านอู่เหินหรือไม่” คนกลุ่ม เดินเข้ามาที่หน้าประตูพบชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เมื่อเห็น หน้าเขา ท่าทางของเขาช่างนอบน้อมและประจบสอพลอ

หลินซินเยียนยิ้มจางๆ จากคำท้าทายผู้คุมสวรรค์เยว่อู๋ เหิน ในที่สุดก็พบคนแรกแล้ว แบบนี้สิดี อย่างน้อยนางเดิน ตามมาจนถึงที่อยู่ของคนที่ไม่อาจข่มเหงรังแกได้ด้วย ตนเอง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ