ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต

ตอนที่ 389 แดนเหนือเมืองชวน



ตอนที่ 389 แดนเหนือเมืองชวน

ฉับพลันได้ยินข่าวคราวของ “อี้ เซิง” จากปากของหญิงชรา หลินซีน เยียนยังไม่ทันจะได้เรียกสติกลับมา นางคิดว่าตนหูเผื่อนแล้ว ก่อนถามเพื่อ ความแน่ใจอีกครั้ง “ท่านกำลังพูดถึง หลินอี้เซิง?”

“ใช่สิ เด็กอายุสิบกว่าปี แต่รู้จัก ความเสียแล้ว” ตอนที่หญิงชรากล่าว ถึงหลินอี้เซิงกลางดวงตาเปี่ยมด้วย แววชื่นชม แต่ว่าไม่นานหัวคิ้วก็มุ่นขึ้น มา ทอดถอนใจยาวพลางกล่าว “แต่น่า เสียดาย เป็นเด็กที่ชะตาขมขื่นคนหนึ่ง เหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง ก็

ไม่รู้ว่าจะหายาที่รักษาเขาได้หรือไม่” “ได้รับบาดเจ็บรุนแรง? เรื่องเป็น มาอย่างไรกันแน่” หลินซีนเยียนได้ยิน ถึงตรงนี้ พลันวางอุปกรณ์อาหารลง อย่างตึงเครียด เซ้าถามหญิงชรา

หญิงชราเห็นว่านางมีลักษณะเช่น นี้ พลันเข้าใจขึ้นมา “ดูท่าเด็กหลินอี้ เชิงจะเป็นน้องชายของเจ้าจริงๆ?”

“ใช่ เป็นน้องชายของข้า” หลิน ซีนเยียนคิดไม่ถึงเลยสักนิด โชคชะตา บางอย่างบนโลกใบนี้ช่างวิเศษเช่นนี้ ในสถานที่ที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด นางกลับได้ยินข่าวคราวของอี้เซิง ตอนที่นางคิดว่าบนโลกใบนี้หลงเหลือ แต่ตนเอง ก็ได้ยินข่าวคราวของอี้เซิง เข้า ใช่แล้ว นางยังมีอี้เซิง ยังมีอู๋อี้ที่ อยู่ประเทศเป่ยหมิง พวกเขาล้วนเป็น ญาติของนาง นางไม่ได้โดดเดี่ยว นาง เชื่อ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสัก วันที่นางและเหล่าญาติๆ จะมารวม กลุ่มกันได้

“ข้าถึงว่าเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยกับ เด็กน้อยเช่นเจ้าตั้งแต่แรกเจอ ที่แท้ก็ เกี่ยวข้องกับอี้เซิง ตอนนี้ขบคิดอย่าง ถี่ถ้วน แววตาที่เจ้าและอี้เซิงทอดมอง คนยังเหมือนกันเสียจริง ต่างก็บริสุทธิ์ และผุดผ่องขนาดนั้น โอ ด้วยความ สัตย์จริง ชีวิตข้ายายแก่นี้ก็ยังได้รับ ความช่วยเหลือจากอี้เซิง วันนั้นออก จากด่านตรวจก็ประสบกับโจรปล้น สะดม ข้าและตาเฒ่าเกือบจะถูกโจร ปล้นสะดมพวกนั้นตีตายแล้ว ยังดีที่อื เชิงและอาจารย์ของเขาปรากฏตัวเสีย ก่อน คราวนี้จึงช่วยชีวิตคนแก่ทั้งสอง อย่างพวกเราเอาไว้ได้”

หญิงชราพูดเกี่ยวกับ

ประสบการณ์ที่ได้รู้จักกับอี้เชิงออกมา ความตื้นตันในน้ำเสียงปราศจากการ ปกปิด “เจ้าไม่รู้หรอก พบโจรปล้น สะดมนอกด่าน ผู้คนรอบด้านใครก็ไม่ กล้าช่วยเหลือ เจ้าว่า อี้เซิงเด็กอายุสิบ กว่าปี ก็หยัดขึ้นมาอย่างกล้าหาญ อีก ทั้งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ที่บน ร่างกายของเขามีบาดแผล เขาหนอ ช่างเป็นผู้มีพระคุณของข้ากับตาเฒ่า ชั่วชีวิตเสียจริง บางทีนี่ก็คือลิขิตฟ้า คนดีย่อมได้ดี สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ ก็นับว่าการตอบแทนต่อผู้มีพระคุณรูป แบบหนึ่งจากพวกเราแล้ว”

“ข้าเชื่อว่าตอนที่อี้เชิงช่วยพวก เท่านั้น ไม่เคยคิดจะทวงบุญคุณจาก พวกท่านเลย ท่านยาย ท่านบอกข้า ก่อนได้หรือไม่ว่าสรุปแล้วอี้เซิงเป็น เช่นไรแน่” ในอกหลินซีนเยียนร้อนรน ทว่าคนแก่แล้วก็เปลี่ยนเป็นขี้บ่น หญิง ชรากล่าวยืดยาวเพียงนี้กลับยังคงไม่ เอ่ยถึงจุดสำคัญ

หญิงชราตบฉาดเข้าที่กระหม่อม ของตนเอง “ ข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้ อี้ เซิงน่ะ ดูเหมือนว่าตอนที่ฝึกกำลังนั้น ต้องอาคมเข้า รายละเอียดนั้นยายแก่ อย่างข้าก็ไม่เข้าใจ ได้ยินเพียงตอนที่ เขาและอาจารย์ของเขาพูดกัน ประโยคสองประโยคเท่านั้น พวกเขา ทั้งสองมาแคว้นหมัน ดูเหมือนว่าก็จะ มาหายาที่ไปรักษาโรคให้เขา สมุนไพรตัวนั้นงอกเงยอยู่ทางเหนือ ของแคว้นหมัน ดังนั้นพวกเขาจึงไป ทางทิศเหนือแล้ว ”

“ทิศเหนือ…” ครู่นั้นสีหน้าของ หลินซีนเยียนเคร่งขรึมขึ้นมา ภูมิประเทศแคว้นหมันไม่มีแดนใต้ ก็มี เพียงแต่ขอบเขตด้านเหนือโดย ประมาณนี้ นับว่าหากนางอยากเสาะ หาก็ไพศาลดุจงมเข็มในมหาสมุทร เป็นไปไม่ได้เลยสักนิดที่จะหาพบ อย่างง่ายดาย ได้ยินถึงตรงนี้ หัวใจทั้ง ดวงของนางก็แหนงหน่ายขึ้นมา

เห็นว่าภายนอกของนางพลันแปร เป็นหมดหวัง หญิงชราก็ลูบไล้ไหล่ ของนาง กล่าวปลอบโยน “เด็กน้อย เจ้าอย่าได้รีบร้อนแคว้นหมันนี้แม้จะ ใหญ่ แต่ว่าเมืองกลับไม่มากนัก เมือง ใหญ่ทางแดนเหนือก็มีสองสามแห่ง ไม่แน่ว่าอาจจะหาพบ

“จริงหรือ” ดวงตาของหลินซีน เยียนจุดประกายความหวังอีกครั้ง

หญิงชราพยักหน้าหนักแน่น “แน่นอนว่าจริง แดนเหนือมีเพียงเมือง ชวน เมืองอวี่ และเมืองเสวี่ยสามหัว เมืองใหญ่ แบ่งเขตแดนโดยสามนาย พลรักษาแดนของแคว้นหมัน ยิ่งอุดม สมบูรณ์ ประชากรก็มาก ดังนั้นที่เป็น ไปได้มากที่สุดพวกเขาคงจะไปหา สมุนไพรในเมืองใหญ่ เนื่องจากยา ล้ำค่า ในตลาดของหัวเมืองใหญ่เหล่า นั้นต่างก็หาซื้อได้

“แบบนี้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าจะต้อง ลองดูสักตั้ง” หลินซีนเยียนตัดสินใจ แน่วแน่ จะไปเสาะหาอี้เซิงทางแดน เหนือ ปัจจุบันอี้เซ็งเป็นตายไม่แน่ชัด นางไม่อาจไม่ทำอะไรเอาแต่กะพริบ ตาปริบๆ แบบนี้ได้แน่ เพิ่มหนึ่งคนเพิ่ม หนึ่งแรง นางไม่อาจทนเห็นคนที่นาง ใส่ใจเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกต่อไปแล้ว จริงๆ

หนึ่งคนที่สิ้นหวังไปแล้ว หากว่ามี จุดมุ่งหมาย ชีวิตก็ยังมีหวัง ความสิ้น หวังไม่อาจกลืนกินวิญญาณทั้งดวง ของนางลงไปได้อีกแล้วจริงๆ ราตรีคืนนั้น หลินซีนเยียนพลิก กายสลับด้าน นอนหลับอน่างกระสับ กระส่าย ดูเหมือนกำลังหลับ และดู เหมือนตลอดทั้งคืนต่างคิดเรื่องราว อันชุลมุน กระบวนคิดของนางยุ่งเหยิง เบื้องหน้าบางครั้งก็เป็นท่าทางเผชิญ ความตายของเซียวฝาน บางครั้งก็เป็น เหตุการณ์ที่อี้เซิงกำลังจะตาย ความ โศกเศร้าและวิตกนับครั้งไม่ถ้วนเต็ม เปี่ยมในสมองของนาง ถึงเช้าวันต่อ มา นางแทบทนรอไม่ไหวจึงไปร่ำลา คนชราทั้งสองแล้วจากไป

กายนางปราศจากของมีค่า จึง ควักเอาเงินเหรียญปลีกจำนวนหนึ่ง จากอกเสื้อเหลือทิ้งไว้ คนชราทั้งสอง ฉุดรั้งนาง แต่กลับไม่อาจทำลายความ หนักแน่นของนาง ท้ายที่สุดจึงรีบเอา เงินปลีกนั้นเอาไว้

ช่วงเวลาแห่งการจากลา คนชรา ทั้งสองคนปฏิบัติต่อนางราวกับญาติ ตนเองก็ไม่ปาน ช่วยนางห่อเสบียง แห้งไว้กินระหว่างทาง ยังเตรียม อาภรณ์สะอาดสะอ้านเอาไว้หนึ่งถึง สองชุด กำชับนักกำชับหนาว่าให้นาง ระมัดระวังความปลอดภัยตลอดทาง

หัวใจของหลินซีนเยียน ตื้นตันนัก บางที มีเพียงแต่เมืองอันห่างไกลเช่น นี้ ในสมัยโบราณที่อินเตอร์เน็ตไม่ พัฒนา จึงจะมีคนจริงใจประเภทนี้ เปลี่ยนเป็นยุคปัจจุบัน ก็แม้กระทั่ง เพื่อนบ้านของตนเองยังไม่รู้จัก ยิ่งไม่ ต้องพูดถึงการประสงค์ดีต่อคนปลูก “ไม่ต้องให้ท่านพูดข้าเองก็จะ ตามนางไปอยู่แล้ว ท่านกลับไปทำ อาหารก่อนเถิด” หญิงชราพยักหน้า ให้ชายชรา

หลินซีนเยียนสัญจรเดินไปตาม หนทางที่นำไปสู่เรือนพักแขก ยิ่งเดิน หัวใจก็ยิ่งเหน็บ ถึงแม้จะมีแสงแดด ทว่าเนื่องจากความเกี่ยวโยงของ พะเนินหิมะ คนสัญจรบนถนนกลับไม่ มากนัก มีคนจำนวนมากกำลังเก็บ กวาดกองหิมะที่หน้าประตูของตนเอง นางเดินพลางถามพลาง แต่กลับไม่มี แม้สักคนที่พบเห็นร่างไร้วิญญาณของ เซียวฝาน

ครึ่งชั่วยามให้หลัง หลินซีนเยียน มายังเรือนพักแขกที่โม่จื่อเฟิงและคน อื่นๆ อาศัยอยู่ หน้าประตูเรือนพัก คู่ สหายสองนายกำลังทำความสะอาด ตะกรันน้ำแข็งบนตะเกียง บนกองหิมะ หน้าประตูยังทิ้งร่องรอยของรอยเท้า ที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ราวกับมี ขบวนคนจำนวนมากเคยเดินผ่าน

หลินซีนเยียนยืนอยู่หน้าประตู เรือนพักแขก หยุดย่างก้าวลง ประหนึ่งไม่กล้าเข้าใกล้แม้ครึ่งส่วน

“แม่นาง ท่านเสาะหามาตลอด ถนนเส้นนี้แล้ว แต่กลับหาไม่พบแม้ ข่าวคราวเพียงสักนิด ข้าดูว่าศิษย์พี่ ของเจ้านาง จะต้องไปเองแล้วเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นพวกเรากลับไปเถิด ถึงแม้ ข้าและเจ้าจะไม่ใช่มิตรไม่ใช่ศัตรู แต่ หากว่าลูกสาวข้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ น่า จะอายุอานามประมาณเจ้า ดังนั้นยาย แก่อย่างข้าไม่วางใจให้เจ้าเดินต่อไป อีกแล้วจริงๆ ” หญิงชราถอนหายใจ ยาว อดไม่ได้จะกล่าวเกลี้ยกล่อมอีก

หลินซีนเยียนพยักหน้าให้หญิง ชราเล็กน้อย ปลายจมูกค่อนข้างปวด แสบ “ขอบคุณท่านยาย

หญิงชราส่ายหน้า เตรียมจะดึง นางเดินกลับ

“รอประเดี๋ยว ข้ายังนึกอยากถาม เป็นครั้งสุดท้าย” หลินซีนเยียนลูบมือ ของหญิงชรา คราวนี้จึงหมุนกายเดิน ไปยังทิศทางของเรือนพักแขก มาถึง หน้าประตู นางเอ่ยถามกับเด็กรับใช้ที่ กำลังทำความสะอาดตะเกียงทั้งสอง “พี่ชายทั้งสอง รบกวนท่านช่วยข้า รายงานแขกที่ปิดล้อมที่พักในเรือน พักแขกแห่งนี้ด้วย บอกว่าหลินซีน เยียนมีเรื่องอยากไถ่ถาม

ถึงแม้นางจะไม่นึกอยากติดต่อ กับโม่จื่อเฟิงอีก ทว่าเพื่อเซียวผ่าน นางเต็มใจละทิ้งทิฐิทั้งมวล คนของโม่ จื่อเฟิงนั้นแผ่กว้างขวาง จะต้องรู้ได้ แน่ว่าร่างของเซียวฝานอยู่ที่ใด นาง ติดหนี้เซียวผ่านไปชั่วชีวิต ไม่อาจให้ หลังจากเขาตายแล้วยังจะไม่สามารถ จากไปอย่างสงบได้อีก

“ท่านต้องการหาคนเหล่านั้นที่ เมื่อคืนวานปิดล้อมเรือนพักแขกเอา ไว้” เด็กรับใช้ถาม “ใช่” หลินซีนเยียนตอบรับ กลาง ฝ่ามือมีเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาโดย ไม่รู้ตัว

เด็กรับใช้ยิ้มขมขื่น “เช่นนั้นท่าน มาไม่ได้จังหวะเสียแล้ว เช้าวันนี้คน เหล่านั้นจากไปแล้ว ตอนนี้หนอ ดู เหมือนว่าจะผ่านด่านตรวจคนออกไป แล้วกระมัง คนเหล่านั้นเดิมมทีก็มิใช่ คนแคว้นหมัน ได้ยินคนในพูดตอนที่ สนทนากันก็เอ่ยถึงเรื่องผ่านด่านตรวจ ออกมา”

“ไปแล้ว… ” หลินซีนเยียนจึมงำ หัวใจก็พลันว่างเปล่าลงถึงเพียงนั้น

เขา จากไปเช่นนี้แล้วหรือ?

“แม่นาง?” หญิงชราเองก็เดิน ตามเข้ามา “ญาติของเจ้าก่อนหน้าเคย พักอยู่ใรเรือนพักแขกนี้หรือ

หลินซีนเยียนดึงสติกลับมา ส่าย หน้า แต่กลับไม่ได้มีกะใจจะเอ่ยคำ ทำ เพียงหมุนกายสาวเท้าออกไปอย่าง เฉยชา

ไร้โม่จื่อเฟิงแล้ว ไร้เซียวฝาน แล้ว ระหว่างโลกและสรวงสวรรค์นี้ ยังมีเพียงผืนแผ่นแห่งนางหลินซีน เยียนกายลำพังหรือ ศีรษะ เจ็บปวด เป็นระลอก หลินซีนเยียนนวดวนขมับ ลากประคองเอาความชินชาของ ฝ่าเท้าเดินไปยังข้างหน้า

อาจเพราะกังวลทางอารมณ์มาก เกิน นางเพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว เบื้อง หน้าก็มือสนิทและเป็นลมพับไป ตอนที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าได้มิด ลงแล้ว

ภายในสวนไม่ได้จุดไฟ มีเพียง เปลวไฟเป็นระยะที่อยู่ในเตาเผาความ ร้อนที่ใช้กลางสวนเท่านั้น

หญิงชราที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงอาศัย แสงไฟเป็นระยะนั้นมองเห็นว่านางฟื้น ขึ้นมา คราวนี้จึงล้วงหินติดไฟไปจุด ตะเกียงหินน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะ ภายใน ครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยแห่งนี้ ไม่ใช่ ว่าจะสามารถจุดไฟฟุ่มเฟือยได้ใน ทุกๆ วัน

“อัยยะ แม่นาง เหตุใดเจ้าต้อง เศร้าโศกปวดใจ ร่างกายเป็นของ ตนเองทั้งนั้น เจ็บแล้วพังแล้ว มีเพียง ตัวเองเท่านั้นที่ทนทุกข์” หญิงชราพูด อย่างขมขื่นหัวอก ก่อนยกโจ๊กใสถ้วย หนึ่งขึ้นมา “รีบกินของสักหน่อยเถิด ทั้งวันทั้งคืนมานี้เจ้ายังไม่ทันได้กิน ของอะไรเลย หากระกำทุกข์เช่นนี้ต่อ ไปร่างกายก็จะอดไม่ไหวเอา”

มีบางครั้ง หลินซีนเยียนรู้สึกโดย แท้ว่าชาติก่อนไม่รู้ว่าทำกรรมดีอันใด ไว้มากมายกันแน่ จึงส่งผลให้ชาตินี้ ยามพบความสิ้นหวังในทุกๆ ครั้งก็จะ พบเจอคนดีแบบนี้อยู่ร่ำไป

กลางหัวใจของนางถึงแม้เจ็บ ปวด ทว่ากลับรับรู้ สำหรับหญิงชรา แปลกหน้าที่เป็นคนดีเช่นนี้ นาง สมควรตื้นตันทั้งอก มิใช่ว่าจะเอา อารมณ์และสภาพจิตใจของตนเองไป ระบายใส่พวกนาง

ดังนั้น นางผืนแย้มยิ้มออกมา อย่างยากลำบาก หลังจากกล่าว ขอบพระคุณหญิงชราแล้วจึงรับโจ๊กใส มา

มองนางกินโจ๊ก หญิงชรามีสีหน้า ปลอบโยน “ใช่ ใช่ กินมากสักหน่อย จึงจะมีเรี่ยวแรง มนุษย์หนอ ใช้ชีวิต ตลอดทั้งชีวิต ทุกเรื่องราวจะสมหวั่ งดั่งปรารถนาได้เสียที่ใดกัน ร่างกาย แข็งแรง ก็เพียงพอแล้ว”

“อื้อ” หลินซีนเยียนตอบรับ เพียง แต่ความระทมระหว่างขนงเนตรกลับ ไม่ได้มลายลงในท้ายที่สุด “ใช่แล้ว แม่นาง ยังไม่ทันได้ถาม ว่าเจ้าชื่ออะไรเลย” หญิงชราคุย จิปาถะกับนาง

“ข้าชื่อหลินซีนเยียน ” หลินซีน เยียนตอบกลับอย่างนอบน้อม แต่คิด ไม่ถึงว่าตอนที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา หญิงชราคนนั้นเผยสีหน้าแห่งความ อัศจรรย์สุดขีด

“หลินซีนเยียน?” หญิงชราเบิก ตากว้างอย่างฉงน รีบเอ่ยถามย้ำ “เช่น นั้นเจ้าคงรู้จักลูกของคนที่ชื่อหลินอี้ เซิง? เขาว่าเขามีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ หลินซีนเยียน”
192797197_1829444877225538_2947127869756974370_n


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ