ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต

ตอนที่ 52 ช่วยข้าฝากข้อความ



ตอนที่ 52 ช่วยข้าฝากข้อความ

คืนนั้นฝนตกหนักมาก น้ำฝนได้ไหลลงตรงชายคาบ้าน ราวกับน้ำตกที่ไหลลงสู่พื้น ทำให้ดอกไม้สดในลานบ้าน ต่างก็ได้รับความเสียหาย

หมอกที่เกิดหลังจากสายฝนทำให้ยามค่ำคืนนี้ยิ่งพร่า มัวจนมองไม่เห็น

ร่างกายของหลินซีนเยียนทั้งอ่อนเพลียและเจ็บปวด อย่างมาก ในขณะที่มีสติเลือนราง เธอพยายามลืมตาขึ้น มามองไปยังนอกหน้าต่าง น่าเสียดาย หากหลับตาลง คงจะเหลือไว้เพียงความคลุมเครือ

เธอมีลูกแล้ว แต่พอเธอมารู้ว่าตนเองมีลูก ทุกอย่างมันก็ สายเกินไปแล้ว

ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เธอร้องไห้อย่างน่าเวทนา ตอนนี้ในห้อง เก็บฟื้นมีเพียงเธอคนเดียว นอกจากเสียงฝนที่ตกอยู่ด้าน นอกก็ไม่มีใครอื่นอีก เธอเปล่งเสียงร้องไห้เท่าไรก็ไม่อาจ กลบเสียงของฝนได้

ค่ำคืนนี้ สำหรับเธอแล้วมันช่างยาวนานเหลือเกิน

โม่จื่อเฟิง! โม่จื่อเฟิง!

ในขณะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ เธอได้ตะโกนเรียกชื่อ พ่อของลูกเธอซ้ำไปซ้ำมา พ่อคนนี้ได้ลงมือฆ่าลูกด้วย ตนเอง เขาเป็นคนฆ่าลูกของเธอ!

ความเกลียดชังได้ฝั่งลึกจนเข้ากระดูกดำแล้ว!

ฝนได้ตกตลอดจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง
สามีของกุ้ยโมโม่มาดูอาการให้หลินซีนเยียน เขียน เทียบยาให้หญิงแก่ไปจัดหามา ถึงเขาจะไม่เชี่ยวชาญ เรื่องวิธีรักษาคน แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในจวนแห่งนี้ เขาล้วนทราบเป็นอย่างดี

กุ้ยโมโม่ได้บอกทุกเรื่องกับเขา เขาเป็นคนเก่าคนแก่ใน จวนอ๋องนี้ พบเจอเรื่องใหญ่มาก็มาก เขาก็กลัวว่าเรื่องนี้ จะไปถึงหูของนายท่าน ก่อนที่จะจากไป เขาไม่ควรทำให้ หลินซีนเยียนเป็นอะไรไปอีกอย่างแน่นอน

หลังจากผ่านไป 3 วัน แสงแดดจากนอกหน้าต่างได้ แยงตาเข้ามา หลินซีนเยียนก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอลืมตา ขึ้นมามองเสื้อผ้าบนตัวของเธอสกปรกอย่างมาก บริเวณ เสื้อตรงหน้าอกได้เปื้อนคราบยา น่าจะเป็นคราบยาที่หลง เหลือจากตอนนั้น

เธอเช็ดใบหน้าเปรอะเปื้อน แล้วพยุงตัวให้ลุกขึ้นเพื่อ เดินไปยังริมหน้าต่าง อยากจะดูว่าด้านนอกมีใครอยู่บ้าง แต่กลับไม่เห็นเงาของใครเลยสักคน

ฝนตกหนัก 2-3 วันก่อน ทำให้พืชที่หายากมากในจวน อ๋องอู่เสวียนเสียหายไปไม่น้อย 2-3 วันนี้พวกคนใช้ใน จวนอ่องอู่เสวียนต่างก็งานยุ่ง เพื่อที่จะซ่อมแซมพืชที่หา ยากที่เสียหายไปบางส่วน จึงได้เชิญคนสวนจากนอกจวน เข้ามาจำนวนมากเป็นพิเศษ

หลินซึนเยียนนั่งพิงอยู่ตรงริมหน้าคล้ายกับนอนหลับ ในที่สุดตอนที่ตะวันใกล้จะตกดินก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เธอ ลืมตาแล้วรีบลุกขึ้นมองไปยังนอกหน้าต่างอย่างทุลักทุเล มองเห็นพวกคนสวนเดินเข้ามาคล้ายจะมาซ่อมแซม ดอกไม้ใบหญ้าในนี้
” พี่ชาย พี่ชาย ” หลินซีนเยียนตะโกนเรียกพวกคนสวน ที่เข้ามาอย่างเบาๆ คนสวนคนนั้นที่อยู่ใกล้กับเธอที่สุด มีอายุเพียง 20 ปีกว่า เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็เดินเข้ามาหา

” อ้าว ที่นี่ยังคนอยู่หรอกรี? ” คนสวนคนนั้นตกตะลึง จึง เดินเข้าไปใกล้อย่างสงสัย

” พี่ชาย เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่” หลินซีนเยียนรู้ดีว่าคนผู้ นี้จะต้องไม่ช่วยเธออย่างแน่นอน แต่ว่าเธอได้คิดแผนเอา ไว้แล้ว ขอเพียงแค่ยังมีความหวัง คนเรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีความหวัง

คนสวนคนนั้นลังเลไปสักพัก มองสภาพของเธอและ ห้องเก็บฟืนที่เธออยู่ “เจ้าเป็นสาวใช้ในจวนอ่องที่โดน ลงโทษ เรื่องที่เจ้าทำผิด พวกเราไม่อาจก้าวก่ายได้ เจ้า อย่าเสียแรงเลยและไม่ต้องมาพูดกับข้า หากมีคนมา พบเห็นข้าก็ถูกลงโทษไปด้วยแน่ๆ ”

พี่ชาย ข้าเพียงฝากคำพูดไปเท่านั้น ขอร้องเจ้าล่ะ ไม่มีคนมาพบเห็นอย่างแน่นอน ” หลินซีนเยียนร้อนรุนจน แทบอยากจะร้องไห้ ความรู้สึกโดดเดี่ยวไร้คนมาช่วย เหลืออย่างนี้ 2-3 วันที่ผ่านมา ความรู้สึกในใจของเธอ คล้ายกับใกล้พังทลายลงทุกที

คนสวนคนนั้นสายหน้า จากนั้นก้าวเดินจากไปอย่าง รวดเร็ว

ตอนที่คนสวนคนนั้นหันหลังเดินจากไป หลินซีนเยียนก็ ร้องไห้ทันที เธอไม่โทษคนสวนคนนั้น ในสังคมของที่นี่ เดิมที่ผู้คนต่างไม่ยินดียินร้ายกับอีกคน ยิ่งเป็นคนแปลก หน้าแล้ว ใครจะยอมมาตกน้ำลุยไฟเพื่อทำให้ตนเอง เดือดร้อนด้วยล่ะ?
โดยธรรมชาติของมนุษย์มักจะเป็นอย่างนี้ เธอเข้าใจ หลักการนี้เป็นอย่างดี แต่ความสิ้นหวังแบบนี้มันยากที่จะ ทำให้ตนเองยอมรับได้

เธอไร้เรี่ยวแรงจะพิงกำแพงแล้วจึงนั่งลงไปที่พื้น ร้อง ห่มร้องไห้อย่างน้อยอกน้อยใจอีกครั้ง เธออ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนยอมให้ใครก็ได้มารังแกเธอ ทำร้ายเธอ!

“แม่นาง เจ้าอยากจะฝากคำพูดไปให้ใครรี? รีบบอกข้า มาเร็วๆ ข้าจะช่วยไปบอกให้เขาเอง”ทันใดนั้นก็มีชายแก่ ผมหงอกขาวคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากนอกหน้าต่าง ชายแก่คนนั้นเป็นคนสวนที่เดินอยู่ด้านหลังสุด

หลินซีนเยียนเงยหน้าขึ้นมา ตะลึงไปครู่หนึ่งก็รีบพยุง ตัวลุกขึ้นมาทันที”ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านจริงๆ”

“อย่างเพิ่งพูดขอบคุณข้า เรือนใหญ่เช่นนี้มีกฎระเบียบ มากมาย สาวใช้ก็ลำบากกัน คิดถึงลูกสาวของข้าคนนั้น ตอนที่ได้ทำงานในเรือนใหญ่กลับทำผิดจนโดนตีจนตาย หากนำคำพูดของเจ้าไปฝากแล้วช่วยชีวิตเจ้าได้ ข้าก็จะ ทำให้! เป็นลูกสาวบ้านใครก็ลำบากยิ่งแท้”

หลินซีนเยียนพยักหน้า ” เพียงแค่ประโยคเดียว รบกวน ท่านช่วยฝากไปบอกมู่เหอที่อยู่เรือนหน้า ท่านช่วยถาม เขาว่า ของที่หามาให้หลินซีนเยียนครบแล้วหรือยัง หาก หามาครบแล้วก็เริ่มประดิษฐ์เลยดีกว่า”

ชายแก่คนนั้นฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ สัก พักพอข้าออกไปจะไปนำคำพูดของเจ้าไปบอกให้ เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน หากมีคนมาพบเข้าคงไม่ดีเป็นแน่ ”

คนสวนรีบเดินตามหลังพวกคนสวนนั้นไป หลังจากที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้นในลานบ้านเสร็จก็ออกจากไป ลานบ้านทันที

หลินซีนเยียนนั่งเฝ้าอยู่ริมหน้าต่างมาตลอด มองตะวัน ลาลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ในที่สุดโลกทั้งใบก็ ปกคลุมไปด้วยสีดำของช่วงเวลากลางคืน

สายลมพัดผ่านจากช่องหน้าต่างเข้ามา เพราะความ หนาวเหน็บทำให้เธอเรียกสติกลับมา เธอคิดว่า สักวันเธอ ต้องยืนอยู่เหนือผู้คน แม้วันนี้เธอโดนหยามเกียรติมาสิบ เท่า วันหน้าเธอจะให้พวกคนนั้นชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า!

หลังจากที่ท้องฟ้ามืดลง ก็มีรถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อน ตัวเข้าทางประตูใหญ่ของจวนอ๋องอู่เสวียน

รถม้าที่หรูหราจนเกินหน้าเกินตาคนอื่น ในเมืองเฟิ่งซีนี้ ไม่มีมากนักเพราะไม่มีใครกล้าทัดเทียบกับอ๋องอู่เสวียน เลยสักคน

คนใช้นำเก้าอี้เหยียบลงรถม้ามาตั้ง คนในรถม้าเปิด ม่านออกมาแล้วเหยียบเก้าอี้นั้นลงจากรถม้า

“ท่านอ๋อง ท่านเดินทางเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน ข้าน้อยได้สั่ง ให้คนเตรียมน้ำร้อนให้ท่านแล้ว หลังจากชำระร่างกาย เรียบร้อยก็เสวยพระกระยาหารเย็นพ่ะยะค่ะ”มู่เหอเป็น คนใช้ที่สนิทของโม่จื่อเฟิง เป็นคนดูแลในจวนอ่องนี้ที่ มีหน้ามีตาคนหนึ่ง

“อืม” โม่จื่อเฟิงส่งเสียงตอบกลับ หลังจากที่ถอดเสื้อ คลุมขนสัตว์แล้วส่งให้เขาก็เดินเข้าไปทันที ” 2-3 วันนี้ได้ ติดตามฝ่าบาทไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่สุสานหลวงย่อม เหนื่อยล้าอย่างมาก อีกเดี่ยวเจ้าจุดกำยานหอมเสวี่ยอิ่งที่ได้มาจากดินแดนตะวันตกด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ่อง” กำยานหอมเสวี่ยอิ่งนั้นมีค่าอย่าง มาก เป็นของชั้นเยี่ยมที่ทำจากไม้จันทร์ มีสรรพคุณช่วย ทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ไม่ใช่ว่าเรือนใหญ่ ที่ไหนก็สามารถมีใช้ได้

มู่เหอส่งเสียงตอบกลับ พอคิดไปคิดมาก็เดินตามท่าน อ่องไป “จริงด้วยท่านอ๋อง แม่นางหลินผู้นั้นได้บอกว่าจะ เริ่มประดิษฐ์สิ่งของนั้นของนางได้แล้ว”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ