ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต

ตอนที่ 450 ป้ายอาญาสิทธิ์ส่งสาส์น



ตอนที่ 450 ป้ายอาญาสิทธิ์ส่งสาส์น

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินซีนเขียนได้เห็นอาคารก่อสร้างท่ามกลาง ภูเขาหิมะที่โอ่อ่าเพียงนี้ ต่อให้นางจะเป็นวิญญาณที่มาจากยุค ปัจจุบัน ยามที่เห็นสถาปัตยกรรมอันวิลิศมาหราประเภทนี้ ก็ยัง คงอดจะชื่นชมไม่ได้ ก็ต่อให้อยู่ในยุคปัจจุบัน การสร้างกลุ่ม อาคารขนาดมหึมาแบบนี้ท่ามกลางภูเขาหิมะ ก็ยังเรียกได้ว่า อัศจรรย์ยิ่งนัก นับประสาอะไรกับที่นี่เป็นยุคอาวุธเยือกเย็น

“นี่ก็คือตระกูลหรง” หลินซีนเขียนอุทานในใจ บนใบหน้า เผยแววแห่งความชมเชยจําพวกหนึ่ง

เสี่ยวหลงพยักหน้า “ใช่แล้ว รากฐานกว่าหลายศตวรรษ ไม่ใช่ ขี้โม้โอ้อวดออกมา ขุมทรัพย์แห่งตระกูลหรงนี้ ก็แม้แต่กองคลัง ประเทศยังเทียบไม่ได้

“ดังนั้น เขาจะต้องจับจ่ายมากมายกว่าจะฝึกฝนกองกำลังของ ตัวเองภายใต้สายตาของตระกูลทรง” หลินซีนเยียนรู้สึก นมัสการต่อความสามารถของไม่จื่อเฟิงอีกครั้ง เขาลำบากและ ทรงพลังกว่า นางจินตนาการเอาไว้มากนัก

เสี่ยวหลงชะงักกึก ตอบรับคำ ในลำคอมีก้อนสะอื้นเล็กน้อย “ใช่สิ เจ้านายทรงพลังมาโดยตลอด พวกเราสามารถตามติดเขา ได้ ก็เป็นโชคดีของพวกเราทั้งชีวิตแล้ว อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ อยากจะเชื่อว่าคนแบบเจ้านายนั้นจะตายไปเช่นนี้

พวกเขาล้วนไม่เชื่อ ทว่าความเป็นจริงเล่า ใครจะสามารถรับประกันได้

ทั้งสองแบกอารมณ์ระส่ำระสายไว้แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เพิ่ง เดินผ่านซุ้มประตู พลันก็มีหนุ่มชุดขาวนายหนึ่งมาขวางทางไป เอาไว้ สีหน้าของหนุ่มชุดขาวนั้นเคร่งขรึม ก่อนถามอย่างดูหมิ่น “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาตระกูลหรง

ตระกูลหรงนี้มีภูมิประเทศลึกลับ หากว่าไม่ใช่มีกะใจมาเสาะ หา แม้แต่เขาวงกตรอบนอกก็ไร้หนทางเข้ามาได้ ดังนั้นจึงไม่อาจ มีคนหลงทางเข้ามาได้แน่ ดังนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นจึงเปิดปาก เอ่ยถามตรงๆ

เสี่ยวหลงก้าวเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ประสานมือคารวะ ก่อน กล่าวพลางหัวเราะ “ข้าคือผู้ติดตามของฮ่องเสวียน ท่านนี้คือ แม่นางหลิน นางเป็นถึงแขกที่เจ้านายตระกูลทรงให้ความ สำคัญ”

“อ๋องอู่เสวียน?” เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นเลิกคิ้วตาหยัน กล่าว พลางยิ้มเย็น “เจ้าหมายถึงคนที่ตระกูลหรงทอดทิ้งนั้น คนที่เพิ่ง ตายไปเมื่อหลายวันก่อน

เมื่อหลินซีนเยียนได้ยินหนุ่มชุดขาวคนนั้นแสดงท่าที่เหยียด หยามต่อไม่จื่อเฟิงเพียงนั้น ในอกก็ไม่ได้ลิ้มลอง ไม่รอให้เสียว หลงตอบคำถาม ฉับพลันก็ก้าวไปพูดข้างหน้า “เขาตายแล้ว จริงๆ?”

“หลอกเจ้ายังมีของปลอม?” เด็กหนุ่มชุดขาวแผ่นเสียงเย็น วางมือบนคนทั้งสองคน “ข้าเตือนพวกเจ้าว่ามาทางไหนก็ให้กลับไปทางนั้นเสีย แม้แต่เด็กทอดทิ้งนั่นก็ตายไปแล้ว ในฐานะ คนของเขา พวกเจ้าเข้าตระกูลทรงแล้วยังมีชีวิตรอดออกมา? เจ้า ไม่เห็นว่าผู้หญิงที่ปุ่นเตียงนายร้อยคนนั้นก็เรียบร้อย..

“ผู้หญิงที่ปุ่นเตียงนายน้อย?” หัวใจของหลินขึ้นเขียนกระตุก วูบ รีบถามอย่างร้อนรน “คนที่เจ้าพูดถึงเป็นใคร

หนุ่มชุดขาวคนนั้นต้องนางเขม็ง ราวกับไม่พอใจต่อท่าทีของ หลินขึ้นเขียน ทำเพียงแค่นเสียงเย็น “ทําไมขาต้องบอกเข้าด้วย เล่า”

หลินซีนเขียนก็ไม่อาจพัวพันกับเขา จึงรีบหันหน้าไปถามเกี่ยว หลง โดยพลัน “ผู้หญิงที่ตามไม่จื่อเพิ่งเข้ามาตระกูลหรง คือใคร

สีหน้าของเสี่ยวหลงเองก็ปั้นยากมาก กัดฟันกล่าว “ตอนแรก เจ้านายเพียงแต่พาหนีหว่านเข้ามาตระกูลทรงคนเดียว”

“หนีหวาน..” หลินซินเยียนพึมพำสองคำนี้ ก่อนมองไปทาง หนุ่มชุดขาวนั่น “ผู้หญิงคนที่เจ้าพูดถึงคนนั้นชื่อหนีหว่านหรือไม่ ตอนนี้นางอยู่ที่ใด

“ข้าว่าผู้หญิงอย่างเจ้านี้ ช่างอยู่ดีไม่ว่าดีเสียจริง ข้าไม่ได้พูด ว่าคร้านจะพล่ามไร้สาระกับคนอย่างพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารีบ ออกไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าก็จะเรียกคนมา ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะ เป็นจะตาย ก็อย่ามาตำหนิข้าแล้วกัน” หนุ่มชุดขาวไม่พอใจนัก ตลอดเรื่อยมาในฐานะคนของตระกูลหรง ก็มีความรู้สึกเป็นต่อ บางประการกับผู้คนภายนอก ท่าทีของผู้หญิงนางนี้ที่มีต่อเขาไม่ ได้มีความเคารพต่อเขาอย่างที่จินตนาการเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก็ยิ่งไม่อยากตอบคำถามของพวกเขา

ในอกของหลินเยียนร้อนรน ในสมองความคิดก็มึนงง กลับ เป็นไปไม่ได้ที่จะจากไปอย่างง่ายดายเพียงนี้

เสี่ยวหลงรู้ว่านางกังวลอลหม่าน ดังนั้นจึงทอดถอนใจ ล้วง ป้ายไม้ชิ้นหนึ่งออกมาจากอก ก่อนกล่าว “ถึงแม้ข้าจะเป็นผู้ ติดตามของอ๋องอู่เสวียน ทว่าหลานวันก่อนขาเองก็ช่วยเหลือตระ กูลหรงทำธุระ และเรื่องราวยังลุล่วงแล้ว ธุระนี้ก็ยังเกี่ยวพันกับ แม่นางหลินอีกด้วย ดังนั้นเจ้าทวารได้มอบป้ายอาญาสิทธิ์อันนี้ ให้ข้าเพื่อทำสิ่งๆ ต่างได้สะดวกเป็นพิเศษ ยังหวังว่าเจ้าน้องชาย จะบอกต่อสักหน่อย ข้าคิดว่า ใต้เท้าเจ้าทวารน่าจะอยากพบแม่ นางหลินอยู่”

ในตอนแรกหนุ่มชุดขาวคนนั้นยังมีใบหน้าเหยียดหยามเต็ม ประดา ทว่าหลังจากตอนที่เห็นป้ายอาญาสิทธิ์ในมือของเสี่ยว หลงแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนชั่วขณะ “ป้ายอาญาสิทธิ์ส่งสาส์นของ เจ้าทวาร? เหตุใดเจ้าไม่รีบเอาป้ายอาญาสิทธิ์นี้ออกมาตั้งแต่ที แรก มีกะใจนึกอยากให้ขาขายหน้าหรืออย่างไรกัน

“ไม่ ต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ แค่เพียงน่าออกมาไม่ทันก็เท่านั้น เอง” เสี่ยวหลงมีมารยาทสุภาพนอบน้อม ทำเป็นต่อการกล่าว โทษของหนุ่มชุดขาวนั้น ก่อนกล่าว “อีกอย่างข้ายังไม่เคยใช้ ป้ายอาญาสิทธิ์อันนี้ไม่รู้ว่าป้ายอาญาสิทธิ์นี้สรุปแล้วจะใช้ได้ การหรือไม่”

หนุ่มชุดขาวคนนั้นกลอกตาหนึ่งครั้ง “จะใช้ไม่ได้การหรือ เจ้าถือป้ายอาญาสิทธิ์อันนี้สามารถตรงไปพบเจ้าทวารได้เลย! ข้าโต มาจนป่านนี้แล้ว ตอนนมัสการทุกๆ ปีก็ยังสามารถมองเจ้า ทวารได้แต่ไกลๆ เท่านั้น จะมีโอกาสดีๆอย่างเจ้าเสียที่ไหน เอา เกิด ก็ไม่ต้องให้ข้าค่าไปบอกแล้ว เจ้าถือป้ายอาญาสิทธิ์นี้เดิน ไปทางด้านในประตูก็ได้แล้ว”

หลังจากพูดจบ หนุ่มชุดขาวคนนั้นยังคงต้องป้ายอาญาสิทธิ์ใน มือของเสี่ยวหลงไม่กะพริบตา ดูออกว่า เขาปรารถนาต่อสิทธิ์ส่ง สาสนมากเพียงใด

หลินซีนเยียนกับเสี่ยวหลงคาดไม่ถึง ป้ายอาญาสิทธิ์อันนั้นจะ มีอิทธิพลต่อตระกูลหรงขนาดนี้

ทั้งสองเดินไปข้างหน้าต่อ เดินมาถึงที่ๆ หนุ่มชุดขาวมองไม่ เห็นแล้ว เสี่ยงหลงจึงทอดถอนใจ โล่งอกออกมา “ยังดีที่เข้ามา แล้ว เมื่อก่อนตอนที่อยู่ตระกูลหรงข้าเองก็เคยได้ยินป้าย อาญาสิทธิ์ส่งสาส์นของเทวา แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ยังคิดไม่ ถึงว่าจะมีประสิทธิภาพกว่าในจินตนาการเพียงนี้

หลินซีนเขียนเองก็พยักหน้า “ดูท่า ตระกูลทรงให้ความสำคัญ ต่อกรุสมบัติลับแหล่งที่มาของเก๋งจีนนั่นมากทีเดียว ทำให้เจ้าที่ เป็นคนนอกสามารถเอาป้ายอาญาสิทธิ์แบบนี้ออกมา

“นั่นสิ แรกเริ่ม ก็ยังกังวลอยู่บ้าง พาท่านเข้าตระกูลหนึ่ง หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะก็ ข้าคงไม่อาจอธิบายให้เจ้านาย ฟังได้ ตอนนี้ดูแล้ว ตระกูลทรงน่าจะไม่อาจทรมานท่าน อย่าง น้อยก่อนที่ท่านจะพาพวกเขาไปหากรุสมบัติลับแหล่งที่มาของเก๋งจีนพบ พวกเขาดงพะเน้าพะนอท่านประหนึ่งพระโพธิสัตว์ก็ไม่ ปาน” เสี่ยวหลงพูดติดตลก

หลินซีนเยียนกลับไม่ได้เบิกบานใจขึ้นมาเลยสักนิด ในอก กลับนึกถึงคำพูดที่หนุ่มชุดขาวคนนั้นพูดก่อนหน้านิ้วกไปวนมา ไม่จื่อเพิ่งตายแล้ว? หนีหว่านก็เกิดเรื่องแล้ว?

“ตอนนี้พวกเราจะตรงไปพบเจ้าทวารเลยหรือไม่” เสี่ยวหลง ถามอีก

หลินซีนเขียนเรียกสติกลับมา ไตร่ตรองอยู่ สายศีรษะ “ไม่ใช่ เจ้าพูดว่าตระกูลหรงนี้ยังมีกองลับของโม่จื่อเฟิงอยู่หรือ จะสามา รถติดต่กับพวกเขาก่อนได้หรือไม่ ทําความเข้าใจกับสถานการณ์ แล้วค่อยกว่ากันอีกที”

เสี่ยวหลงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าที่นางพูดก็ถูก “อืม เช่น นั้นข้าจะไปเตรียมตัวก่อน

หลินขึ้นเขียนยังไม่ทันได้เข้าใจกับความหมายของคำพูดของ เสี่ยวหลง ก็เห็นเสี่ยวหลงพานางวกเข้าสู่ทางเส้นเล็กทางหนึ่ง ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลงเคยแอบซ่อนตัวสอดแนมอยู่ในตระกูลหนึ่ง ก็คือท่ามกลางกองลับของโม่จื่อเฟิง ในตระกูลหรง ระยะเวลา ซ่อนเร้นเนิ่นนานนัก ดังนั้นสำหรับโครงสร้างภายในของตระกูล ทรงเขาล้วนคุ้นเคยทั้งสิ้น

เสี่ยวหลงจุดไม้จันทน์หอมเจือจางอันหนึ่งขึ้นในห้องเล็กชาย ขอบ จากนั้นจึงพาหลินขึ้นเขียนมาหลบซ่อนอยู่ข้างหลังห้อง ทั้ง สองรออยู่ประมาณสิบห้านาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา ณ ที่แห่งนี้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ