เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก...

บทที่36 แกล้งเป็นห่วง



บทที่36 แกล้งเป็นห่วง

สาวใช้ตกตะลึง

“คุณชายสองคะ? เมื่อกีฉันพูดความจริงนะคะ คุณนาย น้อยเธอให้ท่าคุณชายใหญ่จริง ๆ คุณไม่เชื่อฉันเหรอคะ?”

เย่โม่เซินจ้องมองเธอด้วยแววตามืดมน ส่ายหน้า “นอกจากเธอ แล้วมีใครเห็นอีก?”

สาวใช้คิดว่าเย่โม่เซินเชื่อเธอเข้าให้แล้ว: “ตอนนั้นมีฉัน แค่คนเดียวค่ะ แต่ว่าคุณชายสองฉันสาบานนะคะ ฉันเห็น กับตาจริงๆ”

ได้ฟังดังนั้น เย่โม่เซินยิ้มเหน็บแนมขึ้นมา: “ถึงจะพูดแบบ นั้น แต่แค่เธอคนเดียวที่เห็น ไม่มีใครเป็นพยานให้เธอได้”

สาวใช้จึงเกิดความสงสัยว่าเยโม่เซินคิดอย่างไร “คุณชาย สองคะ ฉัน…
“อิจฉา? เลยสร้างเรื่อง?”

เย่โม่เซินแววตามืดหม่น ราวกับมองได้ทะลุปรุโปร่งส่อง เข้าไปในจิตใจของเธอ และเห็นจิตใจอันอัปลักษณ์ของ เธอ สาวใช้ท่าทางเหมือนกันโดนจับได้ได้จนหมดเปลือก และตื่นตกใจเล็กน้อย

“คุณชายสอง ฉันไม่ได้หลอกคุณนะคะ คุณต้องเชื่อฉันนะ

คะ”

“อ่อ?” เย่โม่เซินยิ้มเยาะ: “คนอย่างฉัน เย่โม่เซินไม่เชื่อ ภรรยาตัวเอง แต่ให้เชื่อคนใช้อย่างเธอน่ะเหรอ?”

“ฉัน…”

สาวใช้มองดูรอยยิ้มกระหายเลือดที่มุมปากของเขา และ เกิดความรู้สึกเสียใจ เดิมทีเธอคิดว่าเย่โม่เซิน ไม่สนใจเสิ่น เฉียว มองเสิ่นเฉียวเป็นสิ่งไม่มีค่า ดังนั้นเธอจึงกล้าลงมือ กับเสิ่นเฉียว เดิมที่เธอคิดว่าลงมือกับเสิ่นเฉียวแล้วเย่โม่ เซินจะเข้าข้าง

แต่ใครจะรู้ว่าเยโม่เซินจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้
“เธอเป็นคนทำเสื้อเปรอะ” ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ มันไม่ใช่

การสอบถาม

สาวใช้ตกตะลึง ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

“คุณชายสอง ฉัน…

“ตระกูลเย่ไม่ต้องการคนใช้ที่คิดไม่ซื่ออย่างเธอ” เย่โม่ เซ็นเงยหน้ามองราวกับจะมองให้ตาย “ถ้าหากฉันได้ยิน เธอพูดจาเพ้อเจ้อที่ไหน เธอรู้จะว่าจะจบยังไง”

ตั้ง-

เวลาพอดีกับที่ลิฟต์มา เย่โม่เซินบังคับวีลแชร์ด้วยตัวเอง แล้วจากไป ขาอ่อนแรงล้มทั้งยืนอยู่บนพื้น

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เสิ่นเฉียวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เห็น เสื้อสูทผู้ชายที่วางไว้อีกด้าน

เธอใคร่ครวญหยิบเสื้อขึ้นมาเตรียมให้คนนำไปคืนเย่หลี่ นหาน แต่เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาก็พบว่าเธอทำมันเปื้อนจะ ให้คืนตอนนี้ถือว่าไม่เหมาะ
เสิ่นเฉียวจึงควานหาถุงกระดาษมาใส่ รอมีเวลาว่างจะนำ ไปส่งไปซักแห้งแล้วค่อยส่งคืนเจ้าของ

เมื่อจัดการเสร็จแล้ว เสิ่นเฉียวจึงออกจากห้อง

ช่วงนี้เธอมักจะนั่งรถเมล์ไปทำงานเป็นประจำ เมื่อถึงที่ ทำงาน เธอจะทำความสะอาดห้องทำงาน จากนั้นค่อยกลับ ไปที่นั่งตนเอง

เมื่อถึงเวลาเย่โม่เซินและเซียวซู่ก็จะปรากฏตัวตรงตาม เวลา เมื่อได้ยินเสียง เสิ่นเฉียวมองไปทางเย่โม่เซิน

เขามีสีหน้าเย็นชา ยังคงเมินเฉยต่อเธอ

เสิ่นเฉียวเก็บสายตาจับปากกาในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว

ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเธอผิดไปหรือเปล่า…

แต่เหมือนเย่โม่เซินจะโกรธเธอ แต่เพราะอะไรล่ะ?

เพราะเรื่องในห้องก่อนหน้านี้ หรือเพราะเย่หลิ่นหาน?
ในใจสับสนวุ่นวาย เสิ่นเฉียวไม่สนใจอีกต่อไป ตั้งใจ

ทำงาน

ระหว่างนั้นเธอไปส่งเอกสารหนึ่งครั้ง เสิร์ฟกาแฟสองครั้ง เย่โม่เซินไม่สนเธอสักครั้ง

ในระหว่างที่เสิ่นเฉียวไปทานอาหารกลางวันที่แคนทีนนั้น ได้ยินคนพูด

“นี่ พวกเธอได้ยินรึเปล่า? เหมือนตระกูลเย่จะยกเลิกความ ร่วมมือกับตระกูลลู่ล่ะ”

“จริงเหรอ? การร่วมมือครั้งสำคัญขนาดนี้ ทำไมจู่ ๆ ก็จะ ยกเลิกล่ะ?”

ได้ยินว่าเป็นการตัดสินใจของคุณชายเย่ อนุมัติในการ ประชุมเมื่อเช้านี้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นเฉียวหยุดสิ่งที่ทำในมือ อนุมัติในการ ประชุมเมื่อเช้านี้? เมื่อเช้านี้มีประชุมตอนไหนกัน? ทำไม เธอถึงไม่รู้?

“การตัดสินใจของคุณชายเย? นายท่านเย่เห็นด้วยเหรอ?”

“ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปกติคุณชายเยไม่เป็นแบบนี้ ทำไม ครั้งนี้ถึงได้ยกเลิกการร่วมมือกับตระกูลลู่นะ?

คาดไม่ถึงจริง ๆ”

เสิ่นเฉียวคีบผักขึ้นมาคำหนึ่งแต่ทำยังไงก็ทานไม่ลง

ในใจเธอรู้สึกเจ็บปวด คิดถึงเรื่องที่ลู่ซุนฉางวอแวเธอเมื่อ คืนแล้วถูกถีบอย่างฉับพลัน และคำพูดนั้นของเย่โม่เซิน

“ประธานลู่ คุกเข่าเล่นใหญ่ขนาดนี้อยากจะขอให้ผู้ช่วย ผมไปร่วมหุ้นกับคุณหรือไง?”

“น่าเสียดาย ต่อให้คุณคุกเข่าขอร้องผู้ช่วยผม ตระกูลเย่ ก็ไม่คิดอยากจะร่วมมือกับบริษัทปลายแถวอย่างตระกูลลู่ อีกแล้ว”

จำได้ว่าก่อนจะไปงานเลี้ยง เขายังให้เธอติดต่อลู่สุนฉาง เห็นชัดว่าเขาก็ให้ความสำคัญกับการร่วมมือรั้งนี้ แต่กลับ หยุดกลางคัน
ที่แท้..เป็นเพราะ…

เสิ่นเฉียวไม่กล้าจะคิดต่อ เพียงแต่ก็ทานอะไรต่อไม่ลง แล้ว เธอวางจานลุกขึ้นแล้วกลับขึ้นข้างบน

ห้องทำงานเงียบ ๆ เสิ่นเฉียวไปเคาะประตู

“เชิญ”

เสียงของเย่โม่เซินยังคงเย็นยะเยือกเหมือนเครื่องปรับ

อากาศ

เสิ่นเฉียว สูดหายใจลึก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

เยโม่เซินไม่เงยหน้ายังคงจับจ้องอยู่ที่แล็ปท็อป

เขายังคงทำงานอยู่ แต่กาแฟบนโต๊ะหมดไปแล้ว เห็นได้ ชัดว่าเขายังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง เสิ่นเฉียวใคร่ครวญ คิดว่า จะเตือนเขาถึงเวลาอาหาร เยโม่เซินกลับละสายตาขึ้นมา มอง เมื่อเห็นเธอแล้วจึงเล็กคิ้ว จากนั้นจึงใช้นิ้วเคาะโต๊ะ เบาๆ “เติมกาแฟ”
“อ่อ” เสิ่นเฉียวเดินไปและหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา พลิกตัว และอดไม่ได้ที่จะหันมา: “ถึงเวลาทานข้าวแล้วนะคะ คุณ ไปทานข้าวก่อนค่อยกลับมาทำงานดีไหมคะ?”

ถึงเวลาทานข้าวแล้วไม่ทาน กลับทำงานอย่างเอาเป็น เอาตาย อีกทั้งยังดื่มกาแฟอยู่ตลอด ไม่ดีต่อกระเพาะ

เสิ่นเฉียวพูดอยู่ในใจ

แต่เหมือนเย่โม่เซินจะได้ยินราวกับเธอพูดมันออกมา

“คุณชายเย่ คุณ…

“เติมกาแฟไม่ได้ยินเหรอ? เป็นคุณที่ต้องคอยสอนให้ผม อะไรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ได้ยินดังนั้น เสิ่นเฉียวได้แต่จับแก้วกาแฟในมือแน่น โมโหและหันกลับไปชงกาแฟแก้วใหม่ให้เขา

เมื่อวางแก้วกาแฟลง เสิ่นเฉียว ยังคงอดไม่ได้ที่จะพูด “คุณชายเยดื่มกาแฟตอนท้องว่างไม่ดีนะคะ”
เยโม่เซินหยุดการกระทำในมือ เขามองดูเสิ่นเฉียวด้วย แววตาที่เป็นภัยอันตราย

เสิ่นเฉียวตื่นตระหนกด้วยดวงตาที่แหลมคมของเขา ทำได้เพียงละล่ำละลักอธิบาย: “เป็น..ผู้ช่วยของคุณ ฉันมี สิทธิ์จะเตือนในเรื่องนี้นะคะ”

“ชิ แกล้งทำเป็นห่วงผม? นี่คงจะเป็นมารยาคุณอีกสินะ?” เย่โม่เซินเยาะเย้ยถากถางเธอ ไม่มีคำพูดดี ๆ สักคำ

สิ่งนี้ทำให้เสิ่นเฉียวโมโหหนัก กัดริมฝีปากแน่นและคิดจะ หักล้างเขา แต่เมื่อคิดถึงเรื่องการร่วมมือกับบริษัทตระกูลลู่ เสิ่นเฉียวยิ่งรู้สึกว่าควรจะถามให้ชัดเจน

“ได้ยินว่าเมื่อเช้ามีประชุมเหรอคะ?”

เย่โม่เซินไม่ตอบ

“การร่วมมือกับตระกูลลู่..

“ทำไม เธอคงไม่ได้เข้าใจว่าฉันยกเลิกสัญญากับตระกูลลู่ เพราะเธอหรอกนะ?”
เสิ่นเฉียว: “ฉัน…”

“อย่าคิดมาก” เย่โม่เซินพูดอย่างเยือกเย็น “ลู่สุนฉางเป็น พวกเจ้าสำราญ นี่เป็นโครงการในระยะยาว สู่สุนฉางเอาไม่ อยู่หรอก”

ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะเธอ

เสิ่นเฉียวในที่สุดก็โล่งใจ

ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเธอจริง เธอคงจะต้องรู้สึกผิด

“ดังนั้น เรื่องนี้มันเกี่ยวกับผู้ช่วยตัวเล็ก ๆ อย่างเธอตรง ไหน?” เย่โม่เซินหัวเราะเย้ยหยันออกมา มองดูเธออย่าง เหยียดหยามเหลือเกิน: “เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน?”

เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากล่าง: “ฉันเปล่าค่ะ”

“เปล่า? ตั้งแต่เข้ามาเธอก็เอาแต่ลังเล ไม่ใช่ว่าอยากจะ คุยเรื่องนี้เหรอ?”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ