บทที่119 เป็นห่วงฉันขนาดนี้
เส้นเฉียวพูดจาด้วยความจริงจัง ใบหน้าเธอมีความจริงใจ
พูดจบก็พบว่าเย่โม่เซ็นกำลังจ้องมองเธอ ด้วยแววตาเจิดจรัส ทำให้เสิ่น เฉียวได้สติ รู้สึกว่าหลังจากที่เธอพูดอะไรกับเย่โม่เซินไปแล้ว เสิ่นเฉียวก็ ร้อนหน้าขึ้นมา และเริ่มพูดเพ้อเจ้อ “เสร็จแล้ว ตอนนี้คุณก็จัดการเองได้แล้ว ค่ะ วันนี้ฉันยังมีอะไรต้องทำ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
จากนั้นเดินเฉียวก็ออกจากห้อง
เมื่อลงมาข้างล่าง ก็พบกับนายท่านพอดี
เมื่อนายท่านเห็นเธอ ก็ขมวดคิ้วแล้วถาม “เสิ่นโย่วล่ะ ฉันให้เธอคุยเรื่องนั้น กับหนูหาน เธอคุยรียัง?”
แย่แล้ว!
สีหน้าของเสิ่นเฉียวเปลี่ยนไป เรื่องนี้เธอเกือบจะลืมไปแล้ว เธอจึงได้แต่ พูดขึ้น “คุณปู่คะ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้เจอเสโยว ถ้าฉันเจอเธอฉันจะถามให้ คุณปู่นะคะ”
นายท่านยิ้มหวานและพยักหน้า แววตาส่งประกายแวววับ “เรื่องการร่วมมือ กับ ตระกูลฟางจะทำเละอีกไม่ได้แล้วนะ”
เมื่อได้ยินเสิ่นเฉียวก็ตื่นเต้นและพยักหน้า: “เรื่องนี้แน่นอนค่ะ” หลังออกจากบ้านตระกูลเย เสิ่นเฉียวคิดว่าจะต้องรีบติดต่อ บริษัทตระกูล
ฟาง แล้ว
บริษัทตระกูลเย
หลังจากเข้างานแล้วเสิ่นเฉียวก็โทรไปหาคนที่ บริษัทตระกูลฟาง
เมื่อทางนั้นได้ยิน เขาเห็นด้วยอย่างรวดเร็วและบอกว่าจะพบกันก่อนเพื่อ
พูดคุยรายละเอียด
เสิ่นเฉียวรอเย่โม่เซินมาทำงานแล้วเธอจึงเข้าไปบอกเขา เยโม่เซินขมวด คิ้ว: “เธอยังคิดจะจัดการเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ?”
ได้ยินอย่างนั้น เสิ่นเฉียวตกตะลึงครู่หนึ่ง เธอกะพริบตาแล้วพูด: “ฉันเป็นผู้ ช่วยของคุณช่วยคุณเจรจาเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ”
“เข้าใจรึยัง?”
เสิ่นเฉียวนิ่งไป แล้วพยักหน้า: “ค่ะ”
“อา” เยโม่เซ็นมองเธอด้วยสายตาตรง: “เข้าใจหมดแล้ว งั้นเธอรู้ใช่ไหม ว่าประธานบริษัทตระกูลฟาง เป็นคนแบบไหน?”
.ค่ะ”
ห้องทำงานเงียบลง มีเพียงเสียงบานประตูหน้าต่างเท่านั้นที่ถูกลมพัด และ อุณหภูมิรอบตัวที่ลดลงอย่างกะทันหัน “ดูเหมือนเรื่องเมื่อคราวก่อนมันจะไม่ได้ทำให้เธอฉลาดขึ้น”
ไม่รอให้เธอตอบ เยโม่เซ็นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “อยากไป ก็ไปเอง
นะ
แววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเสิ่นเฉียว: “แต่ว่าคุณจะไม่ไป เหรอคะ? อีกฝ่ายเขาร้องขอจะคุยกับคุณนะคะ”
“ที ฉันพูดเมื่อไหร่ว่าจะร่วมมือกับบริษัทตระกูลฟาง?”
เสิ่นเฉียว: “.”
ดังนั้น เป็นเธอที่เข้าใจผิดไปเองอย่างนั้นสิ? เธออ้าปากและพูดอย่างหมด แรง: “ก็ทางคุณปู่…”
“ในเมื่อเธอฟังคำสั่งของคุณปู่ งั้นเธอก็ไปคุยสิ หรือว่า…ไปเชิญคุณปู่ให้ ไปด้วยตัวเอง” ทั้งสีหน้าและแววตาของเยโม่เซินมันช่างเย้ยหยัน เหมือน กับกำลังดูตัวตลก สีหน้าของเสิ่นเฉียวกลับขาวซีด เธอกัดริมฝีปากล่างของ ตัวเอง: “ดังนั้นคุณไม่ได้คิดจะร่วมมือกับบริษัทตระกูลฟาง ตั้งแต่แรกเห รอ?”
“ฉันพูดแล้วเหรอ?” แววตาของเยโม่เชินเย็นชา เหมือนกำลังจ้องมองคน ตาย: “ฉันเคยพูดถึง บริษัทตระกูลฟาง สักคำเปล่า?”
ในที่สุดเสิ่นเฉียวก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านริมฝีปากของเธอสั่น: “ไม่ ไม่ค่ะ”
มันก็จริงนะ วันนั้นเป็นเธอที่ออกปากกับนายท่านเอง และเขาที่อยู่ข้าง ๆ ก็ ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้คิดแล้วมันน่าขัน กลัวว่าในตอนนั้นเขาคงจะรู้สึกว่าเธอ พูดเองเออเอง ทำให้คนอื่นรังเกียจสินะ? คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวเหลือบตาลง มือเล็ก ๆ ที่กางออกนั้นค่อย ๆ เลือนสี ไป แล้วเสียงก็เบาลง: “ฉันทราบแล้วค่ะ”
“ต่อให้เธอไปคุยมาได้ ฉันก็จะไม่เข็นชื่อให้หรอกนะ เข้าใจไหม?เขาพูด
อีก
เสิ่นเฉียวพยักหน้า ในเมื่อคุณไม่อยากคุย อย่างนั้นฉันก็จะไม่ไปคุยค่ะ แต่ว่าทางคุณปู่..”
“ไม่เกี่ยวกับเธอ”
เมื่อบอกมันไม่เกี่ยวกับเธอ เสิ่นเฉียวก็เก็บคำพูดเอาไว้ที่ริมฝีปากตัวเธอ
เอง
“ฉันทราบแล้วค่ะ”
เธอพูดทิ้งท้าย จากนั้นจึงหันกลับไป
เสิ่นเฉียวกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เธอมองดูข้อมูลเป็นตั้งหลาย หน้าที่เธอนั่งท่อง ข้อมูลเหล่านี้เธอใช้เวลารวบรวมมันมาสองวัน จุดประสงค์ ก็เพื่อร่วมมือกับ บริษัทตระกูลฟาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่โม่เซินไม่เคย คิดถึงเรื่องนี้เลย
เธอยื่นมือออกมาลูบคาง สายตามองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มต้นเย่โม่เซินจะมีความคิดสวนทางกับนายท่าน ความ สัมพันธ์ปู่หลานคู่นี้แย่เป็นพิเศษ เหมือนกับว่าเปโม่เซินไม่ชอบ ไม่อยากจะ ร่วมทุน แต่เหมือนนายท่าน เย อยากจะร่วมทุนมาก
ครั้งก่อนได้ยินเย่หลินหานพูดว่าตอนเด็ก ๆ เยโม่เซินไม่ได้โตมากับพวก อย่างทันทีทันใด เสิ่นเฉียวเกิดให้ความสนใจในชีวิตของเยโม่เซิน เมื่อเธอ ได้สติกลับมา เธอได้เปิดเครื่องมือค้นหาและเข้าไปที่ตระกูลเปแห่งเมือง เป่ยแล้ว
ในเวลาต่อมา เธอก็เอาแต่มองดูข้อมูลของตระกูลเย่
ข้อมูลของตระกูลเปนั้นมีเยอะมาก แต่ก็เป็นข่าวที่เคยผ่านตา
ตัวอย่างเช่นหลังจากเปอร์เซ็นเข้าบริหารบริษัทตระกูลเยแล้วบริษัทตระ กูลเยก็เริ่มเจริญรุ่งเรือง หรือตัวอย่างเช่นเยโม่เซ็นเป็นคนพิการ มีข่าวเกี่ยว กับเปโม่เซินเยอะมาก แต่ก็เป็นข่าวที่เสิ่นเฉียวเข้าถึงได้ทั้งนั้น
สุดท้ายเมื่อเสิ่นเฉียวดูจนสายตาล้าไปหมดแล้ว ก็มีบทความหนึ่งที่เข้าตา
เธอ
สิ่งเหล่านั้นเกี่ยวกับการจับคู่ตั้งเดิมของคนรวยและเมียน้อย เยโม่เซินเป็น ลูกนอกสมรสงั้นเหรอ?
แต่ในเนื้อข่าวกลับไม่ใช่
เปิดด้วยพาดหัวข่าว ให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเยโม่เซินเป็นลูกสมรสแล้วค่อย แก้ต่าง แล้วจึงเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วแม่ของเยโม่เซินเป็นคู่ที่ถูกจัดมา แต่ แม่ของเย่หลิ่นหานต่างหากที่เป็นเมียน้อยที่ร้ายกาจ
คู่ที่แท้จริงถูกเมียน้อยไล่ออกจากบ้าน หลายปีผ่านไปกลับมายึดบัลลังก์ ตระกูลเย่ เป็นการต่อสู้แก้แค้นกลับ
จากนั้นจึงเริ่มทฤษฎีสมคบคิด เรื่องที่เยโม่เซินพิการ บอกว่าเขาไม่ได้พิการแต่กำเนิด ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเป็นอะไรเขาถึงได้ กลายเป็นคนพิการต้องนั่งวีลแชร์ล่ะ? ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน แต่ก็ทั้งห้ายการชี้นำไว้อย่างน่าสนใจ
อ่านถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
ถึงแม้ว่าคนที่โพสต์บทความจะไม่พูดออกมาซัดเจน แต่เธอก็สามารถรู้สึก ได้ขุ่นเคืองใจภายในตระกูลทรงอิทธิพล คิดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ นายท่าน เป เรียกเธอเข้าไปคุยเรื่องนั้นในห้องหนังสือ สามารถเห็นได้ว่าตอนนี้เยโม่ เซ็นต้องรับศึกรอบด้านภายในตระกูลเย่
เมื่อคิดถึงเย่หลิงหลานที่สง่างามดั่งหยกล้ำค่า
เย่หลิ่นหาน คงจะ..ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ?
ระหว่างใช้ความคิด จู่ ๆ เสียงถามที่เย็นซาก็ดังมาจากทางด้านซ้าย ทำให้ เสิ่นเฉียวตกใจตัวสั่น
“เวลาทำงาน เธอมาดูอันนี้เหรอ?”
เสิ่นเฉียวหันหน้าไปทันที เห็นเย่โม่เซินที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอ
ถึงแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนวีลแชร์ แต่เขาก็ดูตัวสูงใหญ่กว่าเธอมาก แบบนี้ เหมือนกำลังมองเสิ่นเฉียวจากมุมสูง แววตาของเขาเหมือนตะขอ ปากบาง เม้มแน่น ลมหายใจที่เยือกเป็นแผ่ออกมาทั่วร่างกาย
ทันใดนั้นก็ถูกจับ! เสิ่นเฉียวกะพริบตาและมองไปที่เปโม่เขินด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
เธอจะอธิบายให้เขาฟังยังไงดีล่ะ?
“คือว่า..ฉันก็ดูไปเรื่อยแหละค่ะ”
มันเป็นความของเธอ เธอไม่ควรดูเรื่องพวกนี้ในเวลางานเลย
พูดจบ มือของเสิ่นเฉียวก็จับเมาส์และเตรียมที่จะปิดหน้าต่างนั้นไป มือ ใหญ่นั้นเร็วกว่าการกระทำของเธอวางไว้บนมือเล็กของเธอ ฝ่ามือที่อ่อน โยนปิดมือเล็ก ๆ ของเธอ
เสิ่นเฉียวไม่ทันหลบมือ
เธอแหงนมองสบตากับเยโม่เซ็นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ได้ยิน เสียงทุ้มของเขาถามขึ้น: “เป็นห่วงฉันมากขนาดนั้น?”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ