จักรพรรดิมารหวนคืน

บทที่ 12 มองเล็งคุณผู้หญิง



บทที่ 12 มองเล็งคุณผู้หญิง

จางเหมิงเจ๋ยื่นมือออกไปทั้งสองข้างอยู่ใน

อากาศ

รอยยิ้มที่ประจบสอพลอก็ค้างอยู่บนใบหน้า

เพื่อนสมัยเรียนที่เห็นจางเหมิงเจ๊มีปฏิกิริยาตอบ สนองแบบนั้น ซึ่งยิ้มต้อนรับและพุ่งไปหาผู้ชายกับผู้ หญิง ยังเอ่ยเรียกว่า “ผู้อำนวยการเกา” ใครๆก็เข้าใจว่า คนที่ขวางทางพวกเขาเอาไว้คือใครกันแล้ว

เพียงแค่ทุกคนไม่คาดคิดว่าเกาผิงจะทำเป็น เหมือนมองไม่เห็นจางเหมิงเจ๋แบบนั้น

สะกิดข้างตัวของเขาแล้วเดินเข้าไป

หรือจะเป็นเพราะว่าการขวางทางเอาไว้ในเมื่อกี้ เลยทำให้ผู้อำนวยการเกาอารมณ์เสียได้

จางเหมิงเจ๋และทุกคนต่างก็มีความคิดแบบนี้แวบ

ขึ้นมาในหัว

แต่

ช่วงเวลาต่อมา

“คุณเฉิน ต้องขอโทษจริงๆครับที่ให้คุณรอนาน

แบบนี้”

เกาผิงที่พาซูนอยู่เซียงมาด้วยก็เดินไปตรงหน้า เฉินจิ้น และพูดเอ่ยขอโทษ
ในฐานะที่หัวหน้าสำนักงานกำกับอาหารและยาก

ลับพูดกับลูกเขยแต่งเข้าอย่างเฉินจิ้นด้วยท่าทางเกรงใจ และสุภาพ

แถมยังเรียกเขาว่าคุณเฉินอีกงั้นเหรอ

คำพูดของเกาผิงทำให้ทุกคนต่างตึงเครียดและ สับสนขึ้นมาชั่วขณะ

พอนึกถึงพวกเขาที่เพิ่งพูดจาเยาะเย้ยเฉินจิ้นอ ย่างไม่หยุด คนเลยรู้สึกเย็นไปทั้งตัว

จางเหมิงเจ๋กลับเหงื่อไหลท่วมตัวออกมาไม่หยุด

เพื่อนสมัยเรียนที่เลียแข้งเลียขาเหล่านี้ ก็ไม่ได้มี ความสัมพันธ์อะไรกับเกาผิงมากนัก เกาผิงไม่พอใจและ ก็ไม่ได้ดีใจเลยสักนิด คงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับ

คนเหล่านี้

แต่ว่าเขาเป็นคนในสำนักงานกำกับอาหารและยา

ในท้องถิ่น

เก้าผิงมีความคิดเห็นต่อเขางั้นอาชีพของเขาก็

คงจบสิ้นแล้ว

จางเหมิงเจ๋รู้สึกเสียใจทันที

ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกเกลียดเฉินจิ้นมาก

คุณกลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านที่น่าตลกคน หนึ่ง เป็นคนตลกคนหนึ่งแค่นั้นเอง

แล้วทำไมคุณถึงเปลี่ยนเป็นคนที่ทำให้ผู้อำนวย การเกาเกรงใจได้ขนาดนี้
“ผู้อำนวยการเกา แท้จริงแล้วคุณรู้จักกับเฉินจิน นี่เอง คือพวกเราเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับเขา”

จางเหมิงเจ๋เดินเข้าไปอย่างฝืนใจแล้วพูดขึ้น

“ใช่แล้ว”

“สมัยเรียนมหาวิทยาลัยพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน”

เพื่อนสมัยเรียนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหลังก็พูดเสริม

ต่อ

เห็นว่าครั้งนี้คนเหล่านี้ยังคงพูดดำเนินไปอย่าง ต่อเนื่องโดยไม่ขัด ภายในใจของจางเหมิงเจ๊ก็รู้สึกโล่ง อกขึ้นมา

แต่ทันใดนั้น

ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา กลับเป็นเสียงที่คล้าย เหมือนเสียงตบ ลงบนใบหน้าพวกเขาอย่างแรง

“ขอโทษนะ ผมจำไม่ได้ว่าผมไปรู้จักพวกคุณได้

ยังไง”

“ก็อาจจะเป็นความจำผมมันไม่ค่อยดี เพื่อนสมัย เรียนมหาวิทยาลัยห้องเดียวกันก็ตั้งเยอะ หรืออาจจะเป็น เพราะผมจำไม่ได้ คิดดูแล้วก็เป็นปกตินะ”

เฉินจิ้นพูด

ซูนอวูเซียงได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่จางเหมิงเจ๋กลับตะลึงงันด้วยความอายอยู่ที่

เดิม
“คุณคือหัวหน้าจางที่เพิ่งแต่งตั้งไปเมื่อสองวัน ก่อนใช่ไหม”

เกาผิงหันมองไปทางจางเหมิงเจ๋

จางเหมิงเจรีบพยักหน้าตอบรับทันที

“ก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆ คุณต้องเรียนรู้การเป็น มนุษย์เสียก่อน”

“การเอาคุณมาทำในตำแหน่งนี้ก็หวังว่าคุณจะทำ สิ่งต่างๆให้ดีๆ แต่ไม่ใช่ให้คุณออกมาแสดงถึงความ สามารถและสถานะของตัวเองไปทั่วแบบนี้ และยิ่งไม่ ต้องพูดถึงที่รับปากว่าจะใช้เส้นสายจัดการเรื่องงานให้ เขา”

“คุณที่อยู่ในตำแหน่งนี้ ถ้าทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้ อย่างน้อยต้องรู้จักระวังคำพูด ทุกการกระทำ เคลื่อนไหวของคุณ ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนตัวคุณเอง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว คุณที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคน ใหม่ ยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาอยู่เล็กน้อย”

“คุณกลับไปคิดทบทวนไตร่ตรองให้ดีๆเถอะ”

คำพูดของเกาผิง ทำให้จางเหมิงเจ๋รู้สึกเหมือน โดนตัดสินประหารชีวิต

จางเหมิงเจเบิกกว้างดวงตาทั้งสองข้าง การแต่ง ตั้งเขาเป็นหัวหน้าโดยไม่ได้ผ่านการพิจารณางั้นเหรอ และให้กลับไปคิดทบทวนไตร่ตรองดูอีก

นี่ นี่แปลว่า เขาไม่เพียงแค่เสียตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าเลยสักนิด

อีกทั้งก็หมายถึงเขาอยู่ใต้อำนาจของเกาผิงอยู่ และไม่มีวันเลื่อนตำแหน่งได้อีก

หนทางชีวิตการเป็นข้าราชการ ก็ถือว่าได้พังลง

ไปแล้ว

“ผู้อำนวยการเกา เป็นเพราะผมผิดใจกับเฉินจิ้น

เลย..”

จางเหมิงเจ๊ไม่ยอมจำนน

ทันใดนั้นสีหน้าของเกาผิงก็เข้มขึ้นมา

“ที่ผมพูดไปมันยังไม่ชัดเจนเหรอ”

เกาผิงพูดด้วยความไม่โกรธแต่ก็ยังดูน่าเกรงขาม

จนทำให้จางเหมิงเจ๊กลัวจนตัวสั่น

หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปด้วยความเหม่อลอย

อนาคตของเขามันไม่มีอีกแล้ว

และเพื่อนสมัยเรียนที่เหมือนดาวล้อมเดือนตัว เขาก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีใครตามขึ้นไปเลยสักคน

“ไอ้หยา น้องชาย คุณดูหล่อขึ้นนะ ผิวพรรณก็ดูดี

ขึ้น ทำให้พี่อิจฉาจริงๆเลย”

ซูนอว์เซียงเห็นเฉินจิ้น และพูดด้วยความตกใจ

เล็กน้อย นับตั้งแต่ที่เฉินจิ้นก้าวเข้าสู่แดนฝึกลม ถูกพลังหวนตัวนชำระล้างไขกระดูก หลังจากขจัดสิ่งสกปรก ออกจากร่างกาย ผิวพรรณก็ดีขึ้น

“พี่ก็สวยขึ้นนะครับ ผิวพรรณก็ดีขึ้นด้วย”

เฉินจิ้นหัวเราะเบาๆและพูดขึ้น ซูนอว์เซียงได้ยิน ใบหน้าก็เขินอายขึ้นมา

อาการป่วยของเกาผิงก็ได้ถูกเฉินจิ้นรักษาเสร็จ เรียบร้อยแล้ว

มีความรักมาหล่อเลี้ยง สีหน้าและผิวจะไม่ดีขึ้นได้ อย่างไรกัน

หลังจากทักทายกันไปได้พักใหญ่

“ผู้อำนวยการเกา ที่คุณพูดว่าลูกน้องของคุณมี เบาะแส มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

เฉินจิ้นถามอย่างตรงไปตรงมา

ในเมื่อนี้คือเหตุผลหลักที่เขานัดมา

“ผมคิดไปคิดมาแล้วคิดว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่อง เมื่อสามเดือนก่อน”

“ตอนนั้นผมไปเดินเล่นช้อปปิ้งข้างนอกกับอวู้เซี ยง ก็ได้พบเข้ากับคนแปลกประหลาดคนหนึ่ง ตอนกลาง วันแสกๆ เขาสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีดำขนาดใหญ่ น่าสะ พรึงกลัวเลย”

“ตอนนั้นพวกเราอยากออกห่างจากเขา แต่คิดไม่ ถึงว่าเขาจะเข้าใกล้มา ยิ่งไปกว่านั้นยังยืนมือมาลูบคลำอเชียงด้วย ปากก็เหมือนท่องอะไรสักอย่าง ผมฟังไม่ ค่อยชัดสักเท่าไหร่”

“คุณก็รู้ ผู้ชายเมื่อได้พบเจอเรื่องอะไรแบบนี้ก็ไม่ สามารถทนต่อไปได้ เห็นเขากระทำกับอวู์เซียงแบบนั้น ผมก็ผลักเขาออกทันที แต่มือของผมกลับไม่โดนเขา เหมือนกับว่าเขาได้ใช้เวทมนตร์สักอย่างกับผมจนถูก พลังดีดกลับมา โชคดีที่หลังจากเขาลูบอวู้เซียงแล้ว และตกลงมาบนตัวผม เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยอีก และก็พูดอะไรแปลกๆออกมาว่า หลังจากสามเดือนจะ กลับมาอีก”

“หลังจากนั้นเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตา เดียวเขาก็จากไปไกลหลายเมตรแล้ว หลังจากตอนนั้น เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพียงแค่พบ เจอคนบ้าคนหนึ่งก็เท่านั้น”

หลังจากได้ยินคำพูดของเกาผิง เฉินจิ้นก็แน่ใจ

ได้แล้วว่าคืออะไร

“หลังจากตอนนั้น ร่างกายก็เริ่มรู้สึกแปลกๆใช่

ไหม”

เฉินจิ้นถาม

“ใช่” เกาผิงตอบด้วยความแน่วแน่

และจากจุดนี้เองทำให้เขาเกิดข้อสันนิษฐานแบบ

นี้ขึ้นมา

หรือว่าจะเป็นฝึกฝนพลังเวทย์มนต์โหดร้าย ซูนอ วี้เชียงเป็นเตาที่เขาเห็นเข้า ดังนั้นถึงได้มาลงมือกับเกาผิงงั้นเหรอ”

เฉินจิ้นคิดว่าเป็นไปได้มากที่จะเป็นแบบนั้น

“ผู้อำนวยการเกา ดูแล้วเขาลงมือกับคุณจริงๆ เขาน่าจะเล็งพี่อวี้เขียงเอาไว้”

เฉินจิ้นพูดอย่างแผ่วเบา

“อะไรนะ”

เกาผิงและซูนอ์เซียงต่างก็เบิกตากว้างขึ้นพร้อม

กัน

“ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากสามเดือนจะกลับมาใหม่ ที่เขาพูดถึง น่าจะพูดจริง”

เฉินจิ้นพูดขึ้นอีกครั้ง

“หลังจากสามเดือนงั้นเหรอ” เกาผิงขมวดคิ้วและ คิดหนักมาก หลังจากนั้นก็เงยหน้ามองไปทางเฉินจิ้น “คุณเฉิน นับดูแล้ว วันนี้ก็เป็นเวลาที่ครบสามเดือนพอดี”

บังเอิญอะไรขนาดนี้

เฉินจิ้นตกตะลึงเล็กน้อย

และก็รู้สึกดีอกดีใจเล็กน้อย

“ถ้าผู้อำนวยการเกาเชื่อฟังคำที่ผมบอก เรื่องนี้ สามารถให้ผมจัดการและแก้ไขได้ แต่พวกคุณจะต้อง ร่วมมือกันผมถึงจะจัดการให้ได้”

จริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญคือจะต้องให้ซูนอวูเซียงร่วม มือกับตนเอง
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย ยังต้องให้เกาผิงมา ร่วมด้วยถึงจะเป็นการดีที่สุด

“นอกจากคุณเฉินจะมีทักษะทางการแพทย์แล้ว ยังมีความสามารถทางด้านวิทยายุทธด้วยเหรอครับ”

เกาผิงดูตกใจเล็กน้อย

ตอนนี้คิดแล้วชายชุดดำที่น่าสะพรึงกลัวคนนั้น น่าจะมีวิทยายุทธอยู่พอตัว

ซูนอวเซียงคือหนึ่งในคนของตระกูลซูนในเมือง หลวง เกาผิงแต่งงานกับเธอ โดยธรรมชาติก็รู้ว่ายังมี บางเรื่องที่ผู้คนไม่รู้ อย่างเช่นบนโลกใบนี้ยังมีบางคนที่ ฝึกฝนวิทยายุทธและฝึกพลังภายในอยู่จริงๆ

วิทยายุทธเหรอ

เฉินจิ้นส่ายหน้า

เขายังไม่เก่งด้านนั้นจริงๆ

เขาสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ในด้านวิทยายุทธ

แต่เรื่องที่เกี่ยวกับฝึกฝน เฉินจิ้นก็ไม่ได้พูดกับเกา

ผิงและซูนอว์เซียง

เห็นเฉินจิ้นส่ายหน้า ซูนอว์เซียงและเกาผิงก็ เข้าใจผิดไป

ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ เฉินจิ้นที่อายุยังน้อย มี ทักษะทางด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น ก็ไม่ ธรรมดามากแล้ว
ตอนกลางคืนเวลาสี่ทุ่ม ณ สวนสาธารณะเจียง

โจว

เฉินจิ้น เกาผิง และซูนอ เซียงกำลังนั่งรออยู่ใน ศาลาหลังหนึ่ง

“คุณเฉิน นี่ก็สี่ทุ่มแล้ว ตามระยะเวลาสามเดือนที่ ชายชุดดำคนนั้นพูด เหลือเพียงแค่สองชั่วโมงก็จะผ่าน พันเลยไปแล้ว ชายชุดดำก็ยังไม่ปรากฏตัว เขาคงจะ ไม่ใช่ว่าหาไม่เจอพวกเราหรอกนะ”

เกาผิงดูประหม่าเล็กน้อย แต่ยิ่งกังวลขึ้น

“ไม่หรอกครับ เขาจะต้องหาเจอแน่นอน ผู้อำนวย การเกา คุณไม่ต้องกังวลใจอะไร มีผมอยู่ด้วยมันจะต้อง ไม่เป็นอะไรแน่นอน”

เฉินจิ้นอธิบายออกไป

เวลาเดียวกันก็มองไปทางบอร์ดี้การ์ดหลายๆคน ที่กำลังซุ่มอยู่บริเวณใกล้ๆ

คนเหล่านี้เป็นคนที่เกาผิงและซูนอว์เซียงหามา

ทุกคนล้วนเป็นทหารกองกำลังพิเศษที่ปลด ประจำการแล้ว คนเดียวก็สามารถสู้ได้ถึงสิบคน

จากตรงนี้มันแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของตระ กูลซูนในเมืองหลวง

ซูนอว์เซียงเป็นรุ่นหลังที่ไม่ใช่สายตรงหลักที่ได้ รับการสืบทอด ขอความช่วยเหลือจากตระกูลซูนในเมืองหลวง ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็รวบรวมกำลังทหารกอง กำลังพิเศษที่ปลดประจำการแล้วมาปกป้องพวกเขาถึง เมืองเจียงโจวอย่างรวดเร็ว

อำนาจและความสามารถไม่เล็กเลย

“พ่อหนุ่ม อวดดีเกินไป มันไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“ถ้าคุณคนเดียวสามารถทำได้ ทำไมต้องให้พวก เรามาช่วย”

ด้านนอกศาลา ก็มีชายร่างยักษ์คนหนึ่งกำลังยืน

อยู่

นี่คือหัวหน้ากองกำลังพิเศษที่ตระกูลซุนส่งมา มี ฉายาว่า “ฮุยโสง” (หมายความว่าหมีกริสลี) เพราะการ ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเขา เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ

เขาพูดแบบนี้ก็ถือว่าให้เกียรติเฉินจิ้นมากแล้ว

เพราะรู้ว่าเฉินจิ้นเคยเป็นคนมารักษาเกาผิง เขา คงจะไม่ทำสีหน้าดีๆให้คนอย่างเฉินจิ้นแน่

ร่างกายนั้นผอมและอ่อนแอ หากโดนลมพัดก็ ปลิวแล้ว ยังเสแสร้งบอกว่าเขาสามารถปกป้องเกาผิง และซูนอ์เซียงได้ ไม่ประเมินตัวเองได้ถูกต้อง ถ้าเกิด เรื่องอะไรขึ้นจริงๆ เขาจะสามารถรับผิดชอบมันไหวเหรอ

เฉินจิ้นชำเลืองมองไปที่เขา และทำเป็นไม่สนใจ

เขา

ตอนที่เกาผิงและซูนอวู้เซียงกำลังกังวลเล็กน้อย

อยู่นั้น
ในที่สุดบริเวณรอบๆก็มีการเคลื่อนไหว แต่เสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงที่กรีดร้อง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เกาผิงและซูนอวี่เซียงรู้สึกใจเต้นถี่ขึ้น สีหน้าของฮุยโสงก็เปลี่ยนไป และเสียงกรีดร้องนั้นไม่นานก็สิ้นสุดลง

“หีๆๆ”

หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะที่สยดสยองดังขึ้นมา ชายชุดดำที่ใส่เสื้อคลุมยาวคลุมทั้งตัวคนหนึ่ง ก็เดิน ออกมาอย่างช้าๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ