ยั่วสวาทนายปีศาจจอมหิ่น

ตอนที่43 พี่สาวที่ผิดปกติ



ตอนที่43 พี่สาวที่ผิดปกติ

บ้านของอังคณาห่างจากโรงเรียนไม่มากนัก จารวีคุย โทรศัพท์พลางเดินอ้อมมายังหน้าประตูโรงเรียน เธอมอง เห็นรถของนิรันจอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่พอดี

จารวีโบกมือลาให้อังคณาแล้วจึงก้าวขึ้นรถ ในมือถือ โทรศัพท์พรางเอ่ยกับปลายสาย

“โอเค ตอนนี้ฉันอยู่ปารีส เธออยากได้อะไรไหม”

น้ำเสียงของยศพลผ่อนคลายลงกว่าเดิม

“ไม่อยากได้อะไรค่ะ คุณกลับมาวันไหน” จารวีเอ่ยถาม

“ทําไม คิดถึงฉันจนทนไม่ไหวนสิ

น้ำ

เสียงของยศพลปิดบังความลำพองใจไว้ไม่มิด ใน

ใจของจาร รู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก ใครคิดถึงคุณกัน ทาง

ที่ดีไม่ต้องกลับมาตลอดไปเลย

“ฮ่าๆ ฉันถึงบ้านแล้วนะ นี่ตกลงคุณจะกลับมาวันไหน

ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังเล็ดลอดออกมาจากปลาย

สายของยศพล

ยศพลเอ่ยกับจารวีว่า “อยู่บ้านเป็นเด็กดี อย่าซนล่ะ”
พูดจบเขาก็วางสายโดยไม่รอให้เธอตอบกลับไป

เช้าวันที่สอง จากเดินอ้อมไปยังสนามหญ้าด้านหลัง ตัวบ้าน เธอเห็นเป็นกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ

ดูๆแล้วอายุของนินน่าจะไม่ถึงสามสิบ เขาเป็นบอดี้ การ์ดที่มีฝีมือคล่องแคล่วว่องไว มีผิวสีแทน ใบหนามคมเข้ม บ่งบอกอารมณ์ที่เกิดเดียวแน่วแน่ สายตาเย็นชาของเขา ทําให้รู้สึกเหมือนอยู่กับคนแปลกหน้า

ปกติจาก ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไรนัก

“พี่รับ “สารวินอยู่ด้านหลังของเขา ตะโกนเรียก พร้อมกับยิ้มให้

นิรันยืนตัวแข็ง จ สายตาแสดงออกถึงความอึดอัดใจ สรรพนามที่เธอใช้เรียกเป็นอะไรที่เขารับไม่ได้

เขาเป็นเพียงแค่บอกการ์ดของยศพล สถานะของ เขาเปรียบเสมือนคนรับใช้ แต่การที่เป็นผู้หญิงของยศพล ก็ เท่ากับเป็นเจ้านายของเขา

เขาจะยอมรับคำแทนตัวเองที่เธอร้องเรียกนี้ได้ อย่างไรกัน

“เอ่อ คุณจารวี สวัสดีครับ นิรันโค้งคำนับให้จารวีจน หัวของเขาแทบจะติดกับพื้นดิน
จาร รีบดึงให้เขายึดตัวขึ้นมา ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น

หรอกค่ะ”

นิรันเปิดประตูให้เธออย่างเร่งรีบ “คุณจารที่จะไป มหาวิทยาลัยใช่ไหมครับ

“ไม่ใช่ค่ะ วันนี้วันหยุด

“อ่อครับ ถ้าอย่างนั้นคุณจารวีจะออกไปซื้อของหรอ

ครับ”

“เปล่าค่ะ ฉันก็แค่อยากมาชวนพี่นคุย เอ้อ พี่รันทำงาน

ให้คุณยศพลมานานหรือยังคะ

“เปล่าครับ เพิ่งจะแค่สามปีเท่านั้น” นิรันยิ้มพลางตอบ

อย่างซื่อตรง

“แล้วพี่รันเป็นคนเมืองSหรือเปล่าคะ” จารยังคงชวน

คุยต่อ

ไม่ใช่ครับ ผมเป็นคนชานตง

“อ่อ…ชานตงหรอคะ ฮ่าๆเยี่ยมไปเลย

นิรันไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์การคุยกันครั้งนี้เท่าใด นัก เขายกมือขึ้นเกาใบหน้าไปมาด้วยความอึดอัดเคอะเขิน

“ฉันมีเรื่องให้พี่รันช่วยหน่อยจะได้ไหมคะ
“ เรื่องอะไรครับ เชิญคุณจารวีสั่งได้ตามสบาย

“เอ่อ.. คือมีที่นึงที่ฉันอยากจะไปน่ะค่ะ แต่มันค่อนข้าง

ไกล”

“ที่ไหนหรอครับ”

“เอ่อ.. เป็นสถานพักฟื้นผู้ป่วยทางจิตแห่งนึงน่ะค่ะ อยู่ ห่างจากที่นี่ประมาณสองชั่วโมง” จารวีลองหยั่งเชิงเอ่ยออก

ไป

นิรันขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ คุณชายแค่บอกว่าให้ไป รับไปส่งเธอไปมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้อนุญาตให้พาเธอไป ที่อื่นได้

แต่ก็ไม่ได้สั่งห้ามว่าไม่ให้ไปนี่นา

นิรันมีความคิดขัดแย้งและลังเลกับตัวเองสักพัก

“พี่รันไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะไม่ทำให้พี่เดือดร้อน ถ้า คุณยศพลถามฉันจะบอกเองว่าเป็นคนบังคับให้พี่พาไป”

จารวีรับปากอย่างจริงจัง นิรันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึง

พยักหน้ารับปาก

“โอเคครับ แต่ว่าคุณจารวีอย่าอยู่นานนะครับ

“โอเคค่ะ! ขอบคุณนะคะพี่รัน
จารวีดีใจอย่างถึงที่สุด เธอไม่คิดว่าคนแบบนิรันจะพูด โน้มน้าวง่ายขนาดนี้

ในเวลาต่อมา รถขับพาเธออกจากเมืองSอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งหน้าไปทางสถานพักฟื้นผู้ป่วยทางจิต

นิรันจอดรถไว้ด้านนอก “คุณจารวีครับ ผมรออยู่ด้าน นอกนะครับ คุณอย่าอยู่นานนะครับ”

“อื้มม ฉันรู้แล้วค่ะ”

จารวีไม่ได้ตรงไปยังห้องผู้ป่วยทันที แต่เธอไปหา แพทย์เจ้าของไข้ของพี่ก่อน ครั้งที่แล้วเธอรู้มาว่านาย แพทย์คนนั้นชื่อคุณตนัส

การมาของเธอในครั้งนี้ เธอแค่อยากรู้สาเหตุของการ ป่วยที่แท้จริงของพี่

“คุณพยาบาลคะขอสอบถามหน่อยค่ะ นายแพทย์ตนัส อยู่ไหมคะ”

นางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ชี้นิ้วไปยังบันไดทางด้าน ซ้ายพลางเอ่ย “นายแพทย์ตนัสอยู่ชั้นสองห้องหมายเลข สามค่ะ ทางที่ดีคุณรีบไปเลยนะคะเพราะอีกสิบนาทีคุณหมอ ก็ลงเวรแล้วค่ะ”

จารวีมองโทรศัพท์พลางนึก ใกล้จะถึงเวลารับ ประทานอาหารแล้วนี่นา เธอหันไปขอบคุณนางพยาบาลพลางรีบวิ่งไปยังชั้นสอง

เมื่อวิ่งมาถึงห้องหมายเลขสาม เธอก็พบว่านายแพทย์

ตนัสกำลังปิดประตูห้อง

จารวีจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างกระหืดกระหอบ

“ขอโทษนะคะ คุณคือนายแพทย์ตนัสหรือป่าวคะ”

นายแพทย์ตนัสในชุดกาวน์สีขาวจ้องมองเธออย่าง ตั้งใจพลางพยักหน้าช้าๆ “ใช่ครับ แล้วคุณคือ…”

“ฉันเป็นญาติของยุพินค่ะ ยุพินคือคนไข้ของคุณใช่ไหม

นายแพทย์ตนัสงุนงงเล็กน้อย “ใช่ครับ คุณมีอะไร

หรือเปล่า”

จารวีฉีกยิ้มบางๆพลางโค้งตัวให้เขา “ฉันมีเรื่องอยาก จะถามคุณหมอหน่อยน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหมอพอจะมีเวลา ว่างไหมคะ”

นายแพทย์ตนัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “ได้ครับ ผม ให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมง” พูดจบเขาก็เปิดประตูห้องทำงาน ออกอีกครั้ง

จารวีซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “ขอบพระคุณมากๆเลย

ค่ะ”
หลังจากทั้งคู่นั่งลงเป็นที่เรียบร้อย

จารวีเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้พี่ของฉันยังปกติดีอยู่ค่ะ ฉัน เลยคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นโรคประสาทไป ได้”

นายแพทย์ตนัสลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง “คืองี้นะครับ ผู้ ป่วยบางคนเมื่อพบเจอกับสถานการณ์อะไรที่สะเทือนใจ อย่างรุนแรงแล้วเขาคนนั้นไม่สามารถรับมือได้ ก็เลยทำให้ เกิดโรคทางจิตเวชตามมา

“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันรู้จักพี่สาวฉันดี เธอไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจ อ่อนแอ ปกติเธอเป็นคนเข้าสังคมเก่ง เธอไม่เหมือนคนอื่น เธอเป็นโรคหัวใจ บางที่เธอก็ชอบหลีกหนีผู้คนที่วุ่นวาย แต่ ยังไงเธอก็เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ฉันคิดว่าแค่อกหักไม่มี ทางทําให้เธอกลายเป็นโรคประสาทได้แน่ๆค่ะ

จารวีเอ่ยอย่างวิตกกังวล

นายแพทย์ตนัสเงียบไปสักพัก เกี่ยวกับเรื่องที่คณ พูด ผมคิดว่า…คืองี้นะครับ อันที่จริงแล้วตอนนี้ผมยังไม่ค่อย แน่ใจ เพราะว่าพี่สาวของคุณเป็นกรณียกเว้น

“ยังไงคะ” จารวีได้ยินนายแพทย์ตนัสบอกดังนั้น ในใจ เธอจึงค่อนข้างสับสน

“คือ… เพราะการวินิจฉัยอาการทางจิตไม่สามารถยึด หลักพยาธิวิทยาทั่วไปมาตัดสินชี้ขาดได้ แต่ต้องวินิจฉัยโดยการยึดหลักจิตวิทยาและพฤติกรรมของผู้ป่วยเป็นหลัก ดังนั้น ขีดจํากัดของแต่ละคนก็มีไม่เท่ากัน ถ้าหากว่าเป็น คนที่มีพฤติกรรมที่ผิดแผกแปลกแยกไปจากคนอื่น ทางการ แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรควิกลจริต

จารวีพยักหน้าตามอย่างช้าๆ

จริงๆแล้วสิ่งที่เธอยากที่จะทำความเข้าใจก็คือ พี่ มีเรื่องที่จิตใจของตัวเองยอมรับไม่ไหว แต่ถ้าพี่เสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจกำเริบ ยังดูเป็นไปได้มากกว่ากลายเป็นคน วิกลจริตเช่นนี้เลย

“ถ้าอย่างนั้น ที่คุณหมอบอกว่าพี่เป็นกรณียกเว้น หมายความว่ายังไงคะ

นายแพทย์ตนัสเงียบไปสักครู่แล้วจึงเอ่ยออกมา”พี่ สาวของคุณ มาสถานบำบัดผู้ป่วยทางจิตนี้ด้วยตัวเองครับ”

“อะ…อะไรนะคะ” จารวีตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้เธอเข้าใจผิดมาตลอด เธอคิดว่ายศพลเป็น คนทําให้พี่เป็นบ้า

คิดไม่ถึงเลยว่าพี่เป็นจะเป็นคนสมัครใจมาที่นี่เอง นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“คืองี้นะครับ หลังจากคนไข้ยุพินมาที่นี่ เธอพูดว่าเธอ ได้พบเจอกับสิ่งที่สะเทือนใจ แล้วมักจะเกิดภาพหลอนขึ้นมาในจินตนาการ เธอบอกว่ามีคนพยายามจะฆ่าเธอ ผมเลย พยายามโน้มน้าวให้เธอไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช แต่ เธอไม่ยอมไป เธอยืนยันว่าจะเข้ารับการบำบัดที่มี

จารรับฟังอย่างเงียบๆ

“แต่เนื่องจากการแสดงออกของเธอเหมือนคนปกติทุก อย่าง ไม่เหมือนกับคนที่มีอาการทางจิต ทางเราเลยไม่รับ จนกระทั่งหลังจากนั้น เธอกินเนื้อและคนเลือดของตัวเอง ทางเราก็เลยรีบรับเธอมา เพราะคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้เป็น อาการของคนวิกลจริต” นายแพทย์ตรัสเซียมาถึงตรงนี้ ใน ใจของเขายังคงหวาดผวา เพราะว่าตั้งแต่เขาเป็นหมอมา นี่ คืออาการป่วยที่น่ากลัวที่สุดที่เคยพอเจอ

“กินเนื้อ ดื่มเลือดตัวเองเนี่ยนะคะ!!!

จารวีโพล่งออกไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ทำไมถึงเป็น แบบนั้นไปได้ นี่ไม่ใช่พี่สาวคนเดิมที่เธอรู้จักที่เป็นคนอ่อน โยนใจดี แล้วทำไมถึงมีอาการป่วยเช่นนี้ นี่ต้องไม่ใช่เรื่อง จริงแน่ๆ

นายแพทย์คนสมองเห็นจากหน้าออดส์ เขาเลยต เปิดคอมฯพร้อมกับเปิดไฟล์วิดีโอขึ้นมา

“นี่คือพฤติกรรมของคนไข้พันในวันนั้น เธอถูกช่าง ภาพคนหนึ่งที่เดินผ่านมาถ่ายไว้ได้พอดี หลังจากนั้นทาง เราจึงขอเก็บวิดีโอนี้ไว้เพื่อประกอบการรักษา คุณดูนะครับ
นายแพทย์ตนัสกดเปิดวิดีโอ

ถึงภาพในวิดีโอนั้นจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่จารมอง เพียงแวบเดียวก็รู้แล้ว นั่นคือพี่จริงๆ…

เธอมองเห็นหัวที่ยุ่งเหยิง ดวงตาอิดโรยเหมือนคนไร้ ชีวิตของพี่ เธอนั่งอยู่บนพื้นกำลังแทะเล็มไปที่ข้อมือของตัว เอง เนื้อส่วนนั้นถูกกัดจนฉีกขาด เลือดสีแดงสดไหลออก

จากมุมปากของเธอ…

“ปิดเถอะค่ะ” จารวีไม่มีเรี่ยวเรียงที่จะดูต่อไป ในใจของ เธอสับสนราวกับเส้นด้ายที่พันกันจนยุ่งเหยิง

เป็นไปไม่ได้ พี่คะ… ทำไมถึงเป็นแบบนี้

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จารวียืนขึ้นพลางหันไปกล่าว ขอบคุณนายแพทย์ตนัส “ขอบพระคุณมากๆนะคะคุณหมอ ดิฉันขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ แต่จากอาการของคนไข้แล้ว ผมแนะนำว่า คุณคุยกับเธอตอนที่มีพยาบาลควบคุมดูแลอยู่ด้วยน่าจะดี กว่านะ และถ้าหากมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น คุณต้องรีบ กลับออกมาทันทีนะครับ ไม่เช่นนั้น ทางเราก็ไม่สามารถรับ ประกันความปลอดภัยของคุณได้”

“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”

จารวีเดินออกมาจากห้องทำงานของนายแพทย์ตนัสด้วยดวงใจที่หนักอึ้ง

แต่ทว่า เธอไม่ได้ทำตามคำแนะนำที่นายแพทย์ตนัส บอก แต่กลับตรงไปหายุพินคนเดียวตามที่ตั้งใจไว้

หลายปีมาแล้ว เธอมีความเข้าอกเข้าใจยุพินเสมอ เธอเชื่อว่าเธอไม่มีทางทำร้ายเธอแน่นอน

จารวีล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบกล่องข้าวที่เธอนำ

ติดตัวมาด้วยออกมา

ข้างในกล่องคือเกี๊ยวที่เธอห่อเองกับมือ

ยุพินยังเหมือนครั้งที่แล้ว เธอยืนเงียบๆอยู่ริมหน้าต่าง พลางทอดสายตาออกไปด้านนอก ข้อมือของเธอพยุงไว้กับ โครงเหล็กดัดของหน้าต่าง แขนเสื้อเลิกขึ้นเล็กน้อยเผยให้ เห็นแขนที่ผอมซีดจนเหลือแต่เนื้อติดกระดูก ด้านบนมีรอย แผลใหญ่ที่ดูโหดร้ายทารุณ

จิตใจของจารวีดิ่งลงยิ่งกว่าเดิม…นั่นคือรอยที่พี่กัด

เองใช่ไหม

จารวีคิดไม่ออกว่าพี่ไปเอาความกล้าหาญจากไหนมา ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น…

ถ้าให้เธอคิดว่าพี่ตัวเองเป็นบ้า สู้คิดว่าพี่กำลังหาทาง ระบายความกลั้นกลุ่มที่อยู่ภายในใจซะยังดีกว่า
“พี่คะ มาแล้ว”

จารวีเดินไปหยุดลงที่ข้างกายของยุพิน พลางดึงให้ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ “พี่คะ วีห่อเกี๊ยวมาให้ พี่ลองชิมดูสิว่า ฝีมือพัฒนาขึ้นบ้างหรือเปล่า”

เธอยกกล่องเกี๊ยวออกมาพร้อมเปิดฝาออก จากนั้น ใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวยื่นไปตรงหน้าของยุพินพลางเอ่ยอย่าง ระมัดระวัง “พี่คะ ลองชิมสักคำสิ”

สายตาของยุพินจ้องมองเธอด้วยความว่างเปล่า ไม่ พูดไม่จาและไม่อ้าปากกินเกี๊ยวที่เธอยื่นให้

ทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือมาคว้ากล่องเกี๊ยวแล้วคว่ำมันลง บนศีรษะของจารวี จารวีไม่ทันได้ระวังตัว

เกี๊ยวที่ร้อนผ่าวไหลตั้งแต่บนศีรษะลงมายังใบหน้า

และลำคอของจาร

จารวีร้อนจนกระถดถอยหลังหนีพลางรีบหยิบ ผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำซุปเกี๊ยวออกจากใบหน้าของเธอ

โชคดีที่ไม่ใช่น้ำร้อน ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนลวกจน เสียโฉมเป็นแน่

“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ….. ยุพินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับ ว่ากำลังดูอะไรที่น่าขำขันมากๆ
ในเวลานั้น พยาบาลที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกรีบร้อนวิ่ง เข้ามาด้านในพลางถือเข็มฉีดยาตรงไปฉีดให้ยุพิน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ