ตอนที่42 คาดหวังอะไร
จารยิ้มอย่างเป็นสุข เธอยื่นมือ เล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ เสร็จแล้ว เราไปกันเถอะ
“เร็วไปไหม ตอนนี้เพิ่งบ่ายสองเองเนี่ยหรือคนบอกว่า ไม่รัก อยากไปจนแทบทนไม่ไหวขนาด
“ไปเถอะน่า ก็แกอ่ะพูดมาก ออกไปได้แล้ว
อังคณายักไหล่พลางสายหัวไปมา “ฉันไม่ไปล่ะ แก กับเขาไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีคงมีเรื่องอะไรอยากคุยกัน เยอะแยะ เพราะงั้นฉันไม่ไปเป็นก้างขวางคอหรอก แต่ตอน แกจะกลับมา ห้ามลืมเอาของกินอร่อยๆมาฝากฉันเด็ดขาด
“ยัยอัง…….. จารลากเสียงยาว
อังคณาชำเลืองมองจารวี่แวบหนึ่ง วันนี้กระบี่เย้ย ยุทธจักรเปิดให้เล่นแล้ว ฉันจะไปทำสงครามยุทธจักร แก อย่ามาโน้มน้าวฉันให้ยากเลย
“ก็ได้” จารวีไหวไหล่อย่างจนปัญญา อังคณาเป็นคนติด เกมมาก เธอสามารถนั่งเล่นเกมได้ชนิดที่ว่าต่อให้ฟ้าถล่ม ดินทลายก็ไม่หยุดเล่น
จารวีมาถึงโรงแรมแชงกรีลาก่อนเวลายี่สิบนาที
ที่หน้าประตูใหญ่มีพนักงานต้อนรับสาวสวยเดินเข้ามาทักทายเธอ
“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง คุณคือคุณจารวีหรือเปล่าคะ”
จารมองเธออย่างแปลกใจ ตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียง หรือไงกัน ทําไมคนอื่นเจอแค่แวบเดียวก็จําได้แล้วล่ะ
ในมือของพนักงานต้อนรับถือรูปภาพอยู่หนึ่งรูป เธอ ยกขึ้นเทียบกับใบหน้าของจารวี “นี่คือคุณใช่ไหมคะ”
จาร รับรูปภาพมาดู คิดไม่ถึงว่าคือตัวเธอเมื่อยังเด็ก เป็นรูปที่เธอกับมนต์ตรีกำลังเล่นว่าวอยู่ในสนามหญ้าด้วย กัน
หัวใจดวงน้อยพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่าเขายังคงเก็บ มันไว้
พนักงานต้อนรับเชิญเธอเข้ามาภายในโรงแรม “คุณ
มนต์ตรีรอคุณอยู่ด้านในค่ะ”
เธอนําทางเธอไปอย่างกระตือรือร้น
หัวใจของจารวีเต้นโครมคราม เธอคิดว่าตัวเองมาถึง ก่อนเวลายี่สิบนาทีก็นับว่าเร็วมากๆแล้ว
แต่มนต์ตรีกลับมาถึงก่อนตัวเองเสียอีก จารวีจึงเอ่ย
ถามพนักงานสาวสวยออกไป
“เขามาถึงตั้งแต่เมื่อไรคะ”
พนักงานต้อนรับยิ้มบางๆพลางเอ่ย “ดิฉันก็ไม่ค่อย แน่ใจค่ะ ดิฉันเข้างานมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ก็พบคุณมนต์ ศรีอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าหากว่าคุณผู้หญิงต้องการทราบ ดิฉันจะไป ถามเพื่อนร่วมงานให้นะคะ
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ถามเฉยๆ
สองชั่วโมงที่แล้วก็มาถึงแล้วงั้นหรอ พี่มนต์ พี่อยาก เจอฉันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ….
พี่มนต์เป็นถึงผู้บริหารของบริษัทซัวกรุ๊ปจำกัด ก็ควร จะมีงานมากมายให้ทำสิ เพียงแค่มารอเธอ ทำไมถึงยอม เสียเวลาไปมากมายขนาดนั้นกันนะ
หัวใจของจารวีรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย คล้ายกับถูก กอบกุมไว้ด้วยมือใหญ่ของใครบางคน
เมื่อผลักประตูให้เปิดออก
ร่างกายที่สมส่วนสง่าผ่าเผยของมนต์ตรีปรากฏแก่
สายตาของจาร
เขายังคงสวมชุดสูทสีขาวประณีตสะอาดสะอ้าน ช่าง เหมาะสมกับบุคลิกของผู้ใส่ มนต์ตรีมองเธอเดินเข้ามาหา ด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน เขาหยัดกายขึ้นเต็มความสูงพร้อมส่ง สายตาเป็นประกายสว่างไสวมายังจารวี
สิบปี ไม่ได้เจอกัน เธอโตขึ้นเยอะเลย
เธอเหมือนนางฟ้าตัวน้อย กลับโตขึ้นมาอย่างงดงาม สะดุดตาผู้พบเห็น ครั้งที่แล้วที่เจอเธอเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขายังไม่ทันได้มองเธอให้ดี
ครั้งนี้ เขาได้มองเธออย่างถี่ถ้วนมากขึ้น
เรือนร่างที่อ่อนหวานแช่มช้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ผม ยาวสลวยดำขลับเงางาม ดวงตาใสแจ๋วรับกับใบหน้า ก สะอาดหมดจด ฟันซี่เล็กขาวผ่องเรียงตัวเป็นระเบียบ ร้อย ยิ้มแสนหวาน ลักยิ้มที่ทั้งสวยและน่ารักเด่นชัด ช้างแม คนที่ใจเขาเฝ้าคิดถึงเฝ้าเพรียกหา ก็คือเธอ..คนที่เขาหมาย ปอง
จารวีเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สองหนุ่มสาวโผเข้าหากัน ท่ามกลางบรรยากาศปลื้มปิติที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง
มนต์ตรีค่อยๆกางวงแขนออก เพื่อที่จะสวมกอดเธอ
• จารชะงักถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอหลีกเลี่ยงอ้อม
กอดของเขา
สายตาของมนต์ตรีแสดงออกถึงความผิดหวังอย่าง ชัดเจน “ทำไมล่ะ ตอนนี้โตแล้วเลยไม่ชอบให้พี่กอดแล้ว
หรอ”
จารวีนั่งลงบนโซฟา เธอยิ้มให้เขาพลางยักไหล “พี่มนต์ก็ วีโตแล้วนะ พี่ยังคิดว่าเป็นเด็กแปดขวบอยู่หรอคะ”
ใช่แล้วล่ะ เธอโตขึ้นมากแล้วจริงๆ โตจนกลายเป็น หญิงสาวที่ดูกระดากอาย
เหมือนเริ่มมีเส้นบางๆมาคั่นกลางระหว่างเขาและเธอ
“โอเคๆ ไม่เป็นไร แต่สำหรับพี่แล้ว วีก็ยังเป็นเด็กที่น่า รักอยู่ดี”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ยอมละสายตาไปจากไปหน้า ของเธอเลยแม้แต่น้อย สิบปีแล้วที่ไม่ได้เจอเธอ เขาจึง อยากจะมองเธอให้นานๆชดเชยให้กับเวลาที่เสียไป
“วี พี่สั่งอาหารทีวีชอบมาเยอะแยะเลยนะ แต่ไม่รู้ตอนนี้ วียังชอบทานอยู่หรือเปล่า”
“อั้ม พี่มนต์สั่งอะไรมาวีก็ชอบทานหมดแหละค่ะ”
ดวงตาของจารวีเผยรอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์ หนุ่มสาว
รอเพียงไม่นานอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
ผัดเปรี้ยวหวานซี่โครงหมู ซุปลูกชิ้นรวมมิตร ข้าว เหนียวห่อกุ้ง แล้วก็ยังมี…เกาลัดคั่วอีกหนึ่งจาน
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จารวีชอบกิน ทั้งๆที่เวลาผ่านไปสิบปี
แล้ว เขาก็ยังจำได้ว่าเธอชอบกินอะไร พลันหัวใจของจารวี รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
การเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่ก็มี เกาจัดตัวด้วยหรอคะ”
ว่าๆ พลังให้พนักงานไปซื้อมาจากข้างนอกน่ะ ร้านลุง จึงไม่จำได้ไหม ตอนเด็กๆ ชอบวิ่งไปที่ร้านของลุงบ่อยๆ ตอนนั้นที่ลุ่มตุ๊กตาไปน้ำลายก็ไหลไป พี่ยังจำได้ชัดเจนแจ่ม เลเซียวล่ะ”
“จําได้สีคะ ตอนนั้นแม่กลัวหนอนแมลงวันมาก เลยไม่ คอยให้ทานขนมหวาน วีชอบทานเกาลัดคั่วแม่ก็ไม่ยอมซื้อ ให้ทาน ก็เลยชอบเดินไปแอบมองที่หน้าร้านลุงสิ่งบ่อยๆ แต่ได้ดมกลิ่นก็สบายใจแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ
ตอนนั้น มนต์ชอบแอบซื้อเกาลัดคั่วมาหนึ่งถุง แล้ว จงมือเธอไปในที่ที่ผู้ใหญ่จะหาไม่เจอ จากนั้นก็แกะเกาลัด
เป็นเพราะพี่มนต์ปอกเกาลัดให้ทาน จารวีก็เลยคิดมา ตลอดว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเท่านั้น
ในตอนนั้นความตั้งใจของเธอแน่วแน่มาก
ความทรงจำในวัยเด็กฉายชัดขึ้นพร้อมกัน ใบหน้า ของเขาทั้งสองถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานใจ
“นี่ ตอนเด็กๆ น่ารักมากเลยนะ หน้ากลมๆ ตากลมๆ
มนต์ตรีหยิบเกาลัดมาหนึ่งเม็ด เขาแกะเปลือกออก อย่างหมดจดพลางยื่นไปวางไว้ตรงหน้าของจารวีเหมือน เมื่อสิบปีที่แล้ว ราวกับว่าเวลาถอยหลังกลับไปยังช่วงเวลา นั้นอย่างรวดเร็ว
สายตาอ่อนโยนของมนต์ตรีมองจารวีด้วยความรัก ใคร่ ดวงตาของเธอสบเข้ากับสายตาของเขา ดวงตาสองคู่ สบประสานกันชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่ามีประกายไฟลุกโชน ถ่ายทอดมายังเขาทั้งสองอย่างน่าอัศจรรย์
เธอคิดถึงเขามาสิบปี เขาก็ตามหาเธอมาสิบปี
เวลานี้ ในสายตาของเขามีเพียงใบหน้าของจารวี และ ในสายตาของจารวี่บ่งบอกถึงความอิ่มเอมใจ และมีเพียง ดวงตาที่สว่างไสวของเขา
ใช่แล้ว เธอรักเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ระยะห่างระหว่างเขาและเธอสั้นลงอย่างไม่รู้สึกตัว
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
จารวีรู้สึกตัวขึ้นจากความสับสนงงงวย เธอค้นพอว่า
ตัวเธอนั้นอยู่ห่างจากมนต์ตรีไม่ถึงหนึ่งคืบ บ้าไปแล้ว นี่ฉัน หน้ามืดตามัวหรือไงกัน
เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันนะ อีกนิด…….
ไม่ได้ เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะจารวี ตอนนี้เธอไม่ใช่ หญิงสาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว เธอมันสกปรก เธอไม่คู่ควร กับพี่มนต์เลยสักนิด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนต์เขามีคนที่ หมายปองในใจอยู่แล้ว
มนต์ตรีลังเลใจไปชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจกดรับ
โทรศัพท์
เสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสายเป็นเสียง ของสุรีย์วัลย์เป็นแน่แท้
“มนต์คะ วันมะรืนฉันจะไปงานเลี้ยงที่ลานเจียแมนชั่น คุณพาฉันไปซื้อชุดราตรีหน่อยสิคะ”
สีหน้าของจารวีแปรเปลี่ยนเป็นความกระอักกระอ่วน โชคดีที่เมื่อสักครู่เธอไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยลงไป
สายตาของมนต์ตรีแสดงออกถึงความละอายใจ เขา ยื่นมือไปปิดลำโพงโทรศัพท์พลางเอ่ยกับจารวีเสียงเบา “พี่ ไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ…”
มนต์ตรีเดินหายออกไปจากห้อง เธอได้ยินเสียง เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก “ผมมาทานข้าว ข้างนอก……โอเค”
น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเขา คงรักคู่หมั้นของตนเองมาก
ภายในใจของจารวี่ว่างเปล่า ก่อนหน้านี้เธอเข้าใจผิด
มาตลอดสินะ
เขาบัดเธอออกมา ก็เพียงเพราะเขาเห็นเธอเป็นน้อง สาวเท่านั้น แต่ตัวเธอเองกลับคิดว่า……..
จารวี! นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่! เธอไม่คู่ควรกับเขา ไม่
คู่ควรเลยสักนิด…
หลายนาทีผ่านไปมนต์ตรีเดินกลับเข้ามาในห้อง
ใบหน้าชุ่มเหงื่อ แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจืดชืด เขานั่ง ลงตรงข้ามจารวี
“พี่ขอโทษนะ…”
จารยิ้มให้เขาอย่างไม่ติดใจอะไร ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ… คู่หมั้นของพี่มนต์ใช่ไหมคะ”
สายตาของมนต์ตรีบ่งบอกถึงความลำบากใจ แต่เขา ก็พยักหน้ารับช้าๆ “วี ก่อนหน้านี้พี่ตามหาวีมาตลอด แต่ คุณลุงบอกว่าวีเสียชีวิตแล้ว ท่านบอกว่าครอบครัววีประสบ อุบัติเหตุ แล้วทุกคนก็เลย…
น้ำเสียงของเข้าอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้า ลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป “ครอบครัวของวีประสบ อุบัติเหตุจริงหรือเปล่า”
จารวีหยุดชะงักมือที่กำลังใช้ตะเกียบคีบอาหาร ดวงตาของเธอพลันเศร้าหมอง “จริงค่ะ แต่เกิดขึ้นปีไหน วีก็ ไม่ค่อยแน่ใจ คุณแม่ท่านจากวีไปแล้ว ส่วนคุณพ่อก็หายไป อย่างไร้ร่องรอย วีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นคุณ ลงก็ไปรับมาอยู่ด้วย…
มนต์ตรีค่อยๆยื่นมือหนาไปกุมมือของเธอพลางจ้อง มองใบหน้าเรียวเล็กอย่างไม่ละสายตา “วี พี่ขอโทษนะ เวลาทีวีต้องการพี่ที่สุดพี่กลับไม่ได้อยู่ข้างๆ วีอภัยให้พี่ได้ ไหม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะไม่ให้วีต้องทุกข์ทรมานอีก แล้ว”
จารวียิ้มรับบางๆพลางออกแรงดึงมือตัวเองกลับมา
“พี่มนต์ วีรับรู้ถึงน้ำใจของพี่นะคะ แต่ว่าตอนนี้พี่กำลังจะ แต่งงาน ไม่อยากรบกวนพี่” เธอพูดเตือนสติเขา
“วี พี่ขอโทษ ถ้าพี่รู้ว่าวียังมีชีวิตอยู่ พี่ไม่มีทางตกลง หมั้นกับสุรีย์วัลย์แน่ๆ”
“มนต์..
จารวีเสมองไปทางอื่น เธอพยายามสกัดกลั้นน้ำตาไม่
ให้ไหลออกมา
แต่ไหนแต่ไรมา โลกใบนี้ไม่เคยยุติธรรมกับเธอเลย
แค่คำว่า “ความสุข” เธอยังไม่เคยได้รับมันเลย
“พี่ตกลงหมั้นกับคุณสุรีย์วัลย์ไปแล้ว หน้าที่ของพี่คือ ต้องดูแลเธอให้ดี ส่วนวี วีคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะพบกับคนที่ ทําให้มีความสุขได้เหมือนกัน…”
จารวีลุกขึ้นยืน พยายามฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก
รอยยิ้มของเธอจืดชืดไร้ชีวิตชีวา เธอพยายามสะกด อารมณ์ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
อย่าทำให้เขาเปลี่ยนใจ อย่าทำให้เขาเปลี่ยนความ รู้สึก อย่าพาตัวเองก้าวเข้าไปในวังวนของความรักที่ไม่มี ทางเป็นไปได้อีกเลย
จารวีเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มนต์ตรียืนขึ้นเต็มความสูง สายตาจ้องมองเธออย่าง
เจ็บปวด
“พี่มนต์ วีอิ่มแล้ว งั้นวีไปก่อนนะคะ”
“วี ให้พี่ไปส่งนะ ตอนนี้วีอยู่ที่ไหนหรอ พี่เคยไปบ้านพูล สวัสดิ์อยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นบ้านร้างไปแล้ว บริษัท คุณลุงของวีก็ถูกคนอื่นรับซื้อไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรอวี”
มนต์ตรีเอ่ยถามพลางรั้งข้อมือของจารวีไว้
จารวีช้อนสายตาขึ้นมองเขา “ฮ่าๆ เรื่องพวกนี้เดี๋ยวจัดการเองค่ะพี่มนต์ วีไปก่อนนะคะ”
จารวีเลือกที่จะปฏิเสธความหวังดีที่มนต์ตรีมีให้ พร้อม กับเร่งฝีเท้ากลับออกจากโรงแรมแชงกรีลาให้ไวที่สุด
เธอคิดว่าตัวเองกำลังเพ้อฝันอะไรอยู่งั้นหรอ เธอไม่ เหมาะสมกับที่นี่เลยสักนิด
พี่มนต์เขามีคนของเขาตั้งนานแล้ว จารวี นี่เธอกำลัง
หวังอะไรอยู่หรอ!
จารวีกลับมาถึงบ้านของอังคณา ท้องฟ้าแปรเปลี่ยน
เป็นความมืดมิด
อังคณาเอาโทรศัพท์ของจารวีมาวางไว้ตรงหน้า
“เร็วเข้า วิญญาณคอยตามติดชีวิตแกโทรมา
จารวีเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา มีสายที่ไม่ได้รับจากยศพล หลายสิบสาย ไปดูงานต่างประเทศก็ยังว่างโทรมาหรือไง
จารวีรีบกดโทรศัพท์ต่อไปยังปลายสาย
เสียงจากปลายสายที่ดังเล็ดลอดออกมาของยศพล แสดงออกถึงความโมโหฉุนเฉียวอย่างถึงที่สุด “จารวี นี่เธอ ไปตายที่ไหนมา!!
“เมื่อสักครู่ฉันเรียนอยู่ เลยรับโทรศัพท์ไม่ได้
จารวีค่อยๆเริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการโกหกหน้าตายโดย ไม่มีพิรุธเลยสักนิด อังคณาชูนิ้วหัวแม่มือพลางเขย่าให้เธอ
ไปมา
“จริงหรอ”
“จริงสิ ฉันกล้าโกหกคุณที่ไหนกัน”
“อืม งั้นก็ดี เพราะถ้าเธอโกหกฉัน เธอตายแน่…
“ไม่กล้าหรอกค่ะ”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ