ตอนที่ 73-4 สถานะอนุคนโปรดและ ชะตากรรม
“เฟยเอ๋อร์” ริมฝีปากที่แห้งผากของไปเสงี่ยฮุยสั่นเทา โทน เสียงแฝงเจตนาขอโทษ
“แม่ก็อยากให้เจ้าได้เชิดหน้าชูตา แต่ แต่เงินที่แม่มีอยู่ ได้ลงไปกับสินสอดของเจ้าหมดแล้ว ไม่ ไม่เหลือหลอ…
นางเงียบไปนานกว่าจะพูดออกมาได้ โกหกหรือเปล่า?
ต้องซ่อนเงินไว้แน่ ไม่ยอมเอาออกมา อนหว่านเฟยเป็นคนใจร้อน พอเห็นมารดาไม่ยอมให้เงิน
ก็ลุกขึ้นพรวด คราวนี้ไม่มีน้ำตา
“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะซ่อนเงินไว้ทำไม หรือเห็นเงินสำคัญ กว่าลูกสาวคนนี้”
“แม่ไม่มีจริงๆ” ไปเสงี่ยฮุยกัดฟันพูด ยืนยันตามคำเดิม
ลูกสาวชอบพูดจาเกินจริง นิสัยก็เย่อหยิ่ง แต่สมองกลับ ไม่ค่อยมีเหตุผล เงินมากขนาดนี้ จะให้อยู่ในมือนางไม่ได้เป็น อันขาด มิฉะนั้น ต้องถูกผู้อื่นเอาเปรียบแน่
หยงรีบก้าวเข้าเตือนสติ
“คุณหนูรอง ฮูหยินอาจกระเป๋าแห้งจริงๆ ท่านอย่าทำให้หยืนลำบากใจไปเล
อนหว่านเฟยยิ้มเย็นชา พลางผลักหญิงออก แล้วพูด อย่างไม่ไว้หน้า
“กระเป๋าแห้งอะไร ข้าเป็นลูกสาวนาง นิสัยนางเป็นเช่นไร มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ดูแลจัดการบ้านสกุลอวิ๋นมานานหลายปี เป็น ไปไม่ได้ที่จะมีทรัพย์สินส่วนตัวแค่นี้ แม่ อย่าหาว่าข้าพูดจา หยาบคายไป เขาต้องออกเรือนอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ ก็เป็น ผลพวงจากท่าน ยังมี ตอนนี้ข้าเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน ท่านไม่มีลูกชายแล้ว ลูกชายที่ท่านอยากได้มาตลอดนั้น ตาย ไปแล้ว ต่อไปท่านจะทำอะไรได้อีก โดยพื้นฐานแล้วก็ต้อง พึ่งพาข้า ถ้าข้าได้ดิบได้ดี ก็ไม่แน่ว่า พูดเพียงคำสองคำ ท่าน พ่อกับท่านย่าก็ให้อภัยท่านแล้ว มิหนำซ้ำยังยกตำแหน่งเดิม คืนให้ท่านอีก!”
“เจ้า… ไปเสงี่ยฮุยเลือดขึ้นหน้า
นี่คือลูกสาวแสนดีที่ตนอุ้มทองมาเกือบสิบเดือน แล้ว คลอดออกมาอย่างยากลำบากหรือ จึงรวบรวมกำลังทั้งหมด จับหมอนขว้างใส่
“ลูกอกตัญญู! ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีเจ้าให้ตาย! รู้อย่างนี้ เอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าตั้งแต่เกิดไปแล้ว!
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเอง เพราะนางตามใจลูกจนเกิน เหตุ ถึงได้เลี้ยงจนโตมาเป็นคนเห็นแก่ตัว เลือดเย็นไร้น้ำใจ ไม่รู้จักผิดถูก อีกทั้งยังไม่มีสมองด้วย
อนหวานเฟยเอี้ยวตัวหลบหมอนได้ พอเห็นว่าไม่มีทาง
ได้เงินแน่ๆ ก็ร้องแรกแหกกระเชออย่างโกรธแค้น “เช่นนั้นจากนี้เป็นต้นไป ลูกก็จะใช้ชีวิตอันหรูหรามั่งคั่ง
ในจวนโหวของลูก ส่วนแม่ก็เฝ้าเงินของแม่ไปจนตายก็แล้ว
กัน!” ว่าแล้วก็เดินนำหญิงออกจากห้องไป
ไปเสงี่ยฮุยยันกายให้นั่งนิ่งอยู่บนเตียงสักพัก น้ำตาไหล ออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ นางยัง
นับว่ามีความหวังอยู่บ้าง แต่หลังจากบาดหมางกับ ลูกสาว นางก็คล้ายตกลงไปในหลมโคลนจริงๆ สูดอากาศ
บริสุทธิ์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หรือนางต้องรบกวนน้องสาวอีก
ก่อนหน้านี้ เรื่องออกเรือนของลูกสาวยังพอทำเนา แต่ ตอนนี้เป็นเรื่องในครอบครัว…น้องสาวจะเข้ามาแทรกแซงได้ อย่างไร
ต่อให้เป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยื่นมือเข้า มาจัดการเรื่องในบ้านของขุนนาง
ความหนาวเหน็บค่อยๆ คืบคลานเข้าห่อหุ้มร่างกายนาง จนนางแทบจะลืมความเจ็บปวดจากแผลฉีกขาดช่วงล่าง
ไม่ ชีวิตนางไม่ควรเป็นแบบนี้…
ตามเป้าหมาย นางควรให้กำเนิดทายาทสกุลอวิ๋นแก่ท่านพี่ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็ค่อยๆ กำจัดทายาทของฮูหยิน คนก่อนชนิดไม่มีใครจับได้ ทำลายยอดอ่อน โดยไม่ให้รู้เนื้อ รู้ตัว!
ส่วนลูกสาวคนโตก็ไม่ต้องพูดถึง อาศัยที่นางเกิดก่อน ลูกสาวตนไม่กี่ปี คิดจะออกเรือนไปเป็นฮูหยินน้อยของจวนโหว รี ไม่มีปัญหา อยากไปก็ไป แค่ป้อนยาแรง ให้นางกินก็สิ้น เรื่อง ทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดของความเป็นผู้หญิง อย่างความสามารถในการเจริญพันธุ์ไป แล้วค่อยใช้ตำแหน่ งฮูหยินของนางเป็นสะพาน ให้ลูกสาวตนฉวยโอกาสตีสนิท คุณชายรองนั่น เพื่อเข้าแทนที่นาง…สุดท้าย ตำแหน่งของนาง ก็จะเป็นของลูกสาวตน
แต่ละขั้นของแผนการ ไปเสงี่ยฮุยจัดเตรียมไว้อย่างไร้ที่ติ แต่แรก โดยซักซ้อมอยู่ในหัวสมองนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเป็นไป ตามนี้จริง ผู้ชนะของจวนสกุลอวิ๋น ช้าเร็วก็คือพวกตนสองแม่ ลูก!…แต่ทำไม ทำไมตนยังไม่ทันได้ลงมือ ก็พลันเกิดการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่! ทั้งหมดล้วนต่างจากที่ตนจินตนาการไว้ อย่างสิ้นเชิง!
ไปเสงี่ยฮุยส่งเสียงครางออกมาค่หนึ่ง แล้วจึงจับผ้าห่ม แน่นดุจตัวแม่ที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนปล่อยโฮเสียงดังลั่นอย่าง โศกาอาดูร
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่ปรากฏแสงสว่าง บ่าวในบ้านก็มาที่เรือนคุณหนูรอง ยกลังสินสอดออก ฉวยโอกาสก่อนอรุณเบิก
ฟ้า ส่งไปยังจวนโหว อวิ๋นหว่านเฟยก็ตื่นแล้วเช่นกัน พออาบน้ำเสร็จ หญิงก็
มาช่วยมวยผมและแต่งเนื้อแต่งตัวให้
ในคันฉ่อง ช่วงอายุสิบสาม คือช่วงที่ดีที่สุดของหญิงสาว นางดูงดงามดั่งดอกไม้แรกแย้ม คางแหลมเรียว แก้มชมพู แต่ แล้วก็พลันเปลี่ยนสีหน้า อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าและขุ่นเคือง
อนหว่านเฟยทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง เดิมที่ตน ควรมีขบวนขันหมากที่ยาวเหยียดมารับ แล้วตนก็สวมชุดและ มงกุฎเจ้าสาว เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยภายใต้แสงอาทิตย์ อันร้อนแรง ขึ้นเกี้ยวสีแดงหลังใหญ่แปดคนหาม เข้าสู่จวนกุย เมื่อโหว แต่ตอนนี้เล่า ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูที่บ่งบอกว่า เป็นอนุ ด้านหลังมีเพียงสาวใช้คนเดียวติดสอยห้อยตาม สินสอดมีแค่หนึ่งลังไม้ คนของจวนโหวที่มารับก็มีเพียงบ่าวสูง อายุสองคน โดยอาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่สาง รับตนออกไป พอไป ถึงก็ต้องเข้าทางประตูข้าง ไม่สามารถเข้าทางประตูใหญ่
“นี่ก็สายแล้ว ได้เวลาออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรอง
หญิงพูดเสียงเบา จากนั้นก็หันไปจับชายกระโปรงอวิ๋น หว่านเฟย เพื่อให้ก้าวเดินออกจากห้อง
ท่ามกลางท้องฟ้าถึงมืดกึ่งสว่าง สรรพสัตว์ยังไม่ถูกปลุก
ให้ตื่น อวิ๋นหว่านเฟยพยายามข่มความไม่พอใจ แล้วเดินไป จนถึงหน้าประตู ซึ่งเกี่ยวหลากสีสำหรับอนุได้จอดรอมาครึ่งชั่วยามแล้ว
ป้าจีน หญิงวัยกลางคนของจวนโหว ผู้นำส่งเจ้าสาวใน ครั้งนี้ พอเห็นเจ้าสาวก้าวออกมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ พร้อม แนะนำตัวเอง ก่อนที่จะพูดจากลางๆ “อนอวิ๋น ขึ้นเกี้ยวเถิด ฟ้า ใกล้สว่างแล้ว
พออวิ๋นหว่านเฟยได้ยินคำว่าอนอวิ๋น ก็รู้สึกโมโห และพอ เห็นท่าทางไม่แยแสของป้าจีน ก็คิดว่าป้าต้องรู้สึกว่าขบวน เกี่ยวของตนน่าสมเพชแน่ จึงเอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนยื่นถุงเงินใบเล็กให้ถุงหนึ่ง
“ลำบากป้าจันแล้ว
ป้าจนเหลือบมองถุงเงินใบเล็ก นางเป็นบ่าวในจวนโหว แต่เด็ก เห็นอะไรมามาก จะไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากได้ อย่างไร มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีแต่เศษเงินอยู่ในนั้น จึงยิ่ง ดูแคลน ถอยหลังสองก้าว
“อนอวิ๋น ถ้าไปถึงจวนโหวแล้ว ขออย่าใช้วิธีนี้อีก เราเป็น ครอบครัวใหญ่ ไม่ชอบใช้วิธีที่ชาวบ้านทั่วไปชอบใช้กัน
อนหว่านเฟยถึง เห็นเพียงป้าจันหันกายไปบ่นพึมพำกับ บ่าวในจวนโหวที่มาด้วยกันคนหนึ่ง แม้เสียงที่ลอยมาเบา แต่ เห็นชัดว่าไม่สนใจแม้ใครจะได้ยิน
“…แค่สิบตำลึงเงินก็ยังไม่มี ให้ขอทาน ซิ เสียเวลา ชะมัด หลายวันก่อนขาแค่ออกจากจวนไปซื้อของหวานให้หยินคุณชายใหญ่ ยังได้ที่ติดผมสีทองมาวันหนึ่ง ขนาดฮูหยิน หลับหูหลับตาให้นะ ฮูหยินคุณชายใหญ่ที่ว่าก็คือท่านหญิงทั้งหนึ่ง ภรรยาขอ
งมู่ทรงอัน
เหมือนถูกบีบให้ยอมจำนน อวิ๋นหว่านเฟยหน้าแดง กัดฟันกรอด ขณะที่ป้าจันหันกลับมา แล้วว่า
“อนอวิ๋น ยังไม่ขึ้นเกี่ยวอีกหรือ
ตามหลักแล้ว บ่าวรับใช้ควรแบกเจ้าสาวขึ้นเกี่ยว หว่านเฟยจึงขมวดคิ้ว
“คนของจวนโหวควรแบกข้าขึ้นเกี้ยวมิใช่หรือ
ป้าจนว่า “ขามา ป้าเกิดปวดเอว ถ้าฝนแบกท่านไว้ อาจ ทำให้ท่านร่วงหล่นได้ เรื่องมงคลก็จะกลายเป็นเรื่องอัปมงคล ไป ส่วนอีกคนที่มากับป้าก็เป็นผู้สูงอายุและเป็นผู้ชาย ไม่ สะดวกหรอก ท่านน่ะ ก้าวขึ้นไปเองจะดีกว่า”
พอหญิงเห็นคนของจวนโหวมีท่าทีเช่นนี้ ก็แปลกใจยิ่ง
ต่อให้มารับอนุ ก็ไม่ควรมีท่าทีไม่แยแสเช่นนี้ จึงพูดเสียงเบา “คุณหนูรอง บ่าวแบกท่านขึ้นเกี้ยวเอง…
อวิ๋นหว่านเฟยสะบัดแขน ก่อนเอ็ด “แบกเบิกอะไรกัน!” ว่า แล้วเดินไปข้างหน้า ก้าวขึ้นเกี้ยวไปเอง
จากนั้น เกี่ยวหลากสีก็ถูกแบกโยกไปเยกมา ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนท้องถนนที่มีคนเดินไปมาค่อนข้างน้อยอย่างอ้างว้างเดียวดาย และในที่สุด ก็หยุดลงก่อนฟ้าสว่าง
ประมาณว่าอวิ๋นหว่านเฟยได้มาถึงประตูข้างของจวนกุย เมื่อโหวแล้ว ขณะจะเลิกผ้าม่านตรงหน้าขึ้น ป้า
ฉันก็ยื่นมือเข้ามา คลุมผ้าคลุมศีรษะผืนหนึ่งให้นาง แล้ว จึงพยุงนางลงจากเกี้ยว จากนั้นก็ร่วมกันกับหญิงเข้า
พยุงนางคนละข้าง พาเข้าจวนไป
ซึ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็เข้าไปในห้องหนึ่ง
อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จวนโหวจัดให้ นางอยู่ที่ไหนกันแน่
จวนโหวกว้างใหญ่ไพศาล แต่…ทำไม พอเข้าประตูข้าง
มา ก็คล้ายถึงห้องหอแล้ว
ขณะนั่งอยู่บนเตียงแข็งๆ อวิ๋นหว่านเฟยกำลังจะถามว่า เมื่อไหร่ทรงไท่จึงจะมา ป้าจันก็ส่งเสียงดังมาจากหน้าประตู
“ตามธรรมเนียม อนุอวิ๋นต้องรอคุณชายรองอยู่ในห้องหอ ห้ามเดินและทำอะไรสะเปะสะปะ ยิ่งห้ามออกนอกห้อง เพราะ จะไม่เป็นมงคล” ว่าแล้วก็ปิดประตู เดินจากไป
อวิ๋นหว่านเฟยไหนเลยจะเชื่อฟัง พอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าป้า จัน ก็รีบเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น หันมองไปรอบๆ พลันหายใจเข้า ลึกๆ!
นี่เป็นห้องแคบๆ ห้องหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าอยู่ในเรือนของหรงไม่หรือไม่ เครื่องเรือนในห้องเรียบง่ายมาก มีเพียงเสียงติด
ผนังหนึ่งเตียง โต๊ะเก้าอี้สำหรับกินข้าวหนึ่งชุด บนโต๊ะมีรอย
เลอะที่น่าสงสัยอยู่ ราวแขวนเสื้อหนึ่งราว ไม่มีอื่นใดอีก ไม่มีเทียนแดงมังกรหงส์ ไม่มีขนมมงคล ไม่มีสุรามงคล… ทั้งห้อง ไม่มีบรรยากาศของห้องหอแต่อย่างใด
จึงดึงผ้าคลุมหน้าลง เขวี่ยงลงบนที่นอน อวิ๋นหว่านเฟย โกรธจัด พลางเรียก
“หญิง หญิง เจ้าไปตายที่ไหนแล้ว รีบเข้ามาเร็ว!
ไม่มีเสียงขานรับ
รออยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่มีใครมา นี่ก็เที่ยงแล้ว วันนี้นางตื่น แต่เช้า จึงไม่ได้กินอะไร ท้องร้องอยู่นาน รู้สึกหิวมาก แต่ห้องที่ มองทั่วถึงได้ในปราดเดียว ไหนเลยจะมีของกินรองท้อง
จึงได้แต่ทนรอต่อ แล้วก็ค่อยๆ ง่วง จนผล็อยหลับไป ตื่น ขึ้นมาอีกที ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็เป็นสีส้มในยามพลบค่ำแล้ว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ