ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 77-4 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจง แถลงไขปัญหา



ตอนที่ 77-4 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจง แถลงไขปัญหา

อนหวานชิ้นเงยหน้าจ้องมองบิดา

การปลูกต้นไม้ใบหญ้าในบ้าน เขาก็เป็นคนอนุญาตเอง ส่วนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริหารจัดการบ้านสวน โย่ว เสียนชนิดขุดรากถอนโคน ก็ทำให้มีกำไรเข้าคลังบ้านสกุลอ อื่นเพิ่ม ซึ่งเขาก็ได้รับผลประโยชน์มิใช่หรือ แต่ตอนนี้พอเกิด เรื่องขึ้น ทำไมถึงโทษมาที่ตนทั้งหมดล่ะ คล้ายกับว่าลูกสาว อย่างตนกำลังบีบบังคับบิดาอย่างเขาอย่างไรอย่างนั้น

“เช่นนั้นท่านพ่อคิดจะทำเช่นไร

ฟังจากน้ำเสียงอันทรงอำนาจของเขา อวิ๋นหว่านชิ้นก็รู้ตัว แล้วว่า หลีกเลี่ยงการถูกลงโทษไม่พ้น

“เก็บพวกถ้วยโถโอชาม ในห้องคุณหนูใหญ่ห่อรวมกัน แล้วเอาไปทิ้งให้หมด รวมทั้งหนังสือที่นำมาจากบ้านสกุลส ด้วย เผาทิ้งให้หมด ยังมี ดอกไม้ใบหญ้าแปลงเล็กๆ นอก เรือนก็ถอนให้เ***ยนเตียน

อวิ๋นเสวียนนั่งเอ็ดตะโร

“นึกว่าข้าไม่รู้ ลุงของเจ้านะตามใจเจ้าทุกอย่าง ทำไมน่ะ หรือ เขาอยากให้เจ้ารับช่วงกิจการต่อ เป็นทายาทรุ่นที่สองของสกุลสวน่ะสิ แต่เจ้าน่ะเป็นกุลสตรี ช้าเร็วก็ต้องออกเรือน ควรอยู่แต่ในบ้านรองานมงคลอย่างสงบเสงี่ยม แล้วพอไปอยู่ บ้านสามี ก็ผลิตทายาทให้เขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว! ที่ข้าไม่พูด อะไรก่อนหน้านี้ เพราะคิดว่าเป็นงานอดิเรกของเจ้า ไม่น่าจะ เสียหายอะไร แต่ตอนนี้กลับก่อความวุ่นวายให้ข้า ล่วงเกินคน ที่ไม่ควรล่วงเกิน จนเขาต้องมาเอาเรื่องเจ้าที่บ้าน ข้าไหนเลย จะนิ่งดูดายให้เจ้าทำเรื่องไร้สาระนี่อีก!

เด็กรับใช้ที่อยู่หน้าประตู พอได้ยินคำสั่งนาย ก็รีบหันกาย จะไปจัดการ แต่กลับได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นที่ด้านหลัง “ช้า ก่อน!”

พอได้ยินเสียงนี้ เด็กรับใช้ก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมา มองตามความเคยชิน

นี่มิใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวงัดข้อกับตน

อนเสวียนนั่งหน้าแดง พอเห็นเด็กรับใช้ยืนนิ่งเพราะถูก ลูกสาวตะโกนสั่ง ผู้เป็นพ่อจะเสียอำนาจการปกครองหน้าต่อ หน้าบ่าวได้อย่างไรกัน จึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ดี เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเอาเองแล้วกันว่า จะให้ถอนแปลง

ดอกไม้และยกของระเกะระกะพวกนั้นออกไป หรือเจ้าจะ ยอมรับโทษเสียเอง ด้วยการคุกเข่าจนถึงวันรุ่งขึ้น ห้ามลุกไป ไหน ห้ามขยับเขยื้อนเคลื่อนย้าย ห้ามกินห้ามดื่ม

พอพูดออกมา อวิ๋นเสวียนนั่งก็คิดว่าลูกสาวต้องถอยแน่

เพราะเห็นว่าลำบาก
ถงฮูหยินก็กำลังคิดพิจารณาเช่นเดียวกัน เด็กสาว อ้อนแอ้นบอบบาง ไหนเลยจะทนลำบากเช่นนี้ได้ ต้องยอมถอย แน่ โดยคิดไม่ถึงว่า อวิ๋นหว่านชิ้นจะยกชายกระโปรงขึ้นเบาๆ แล้วคุกเข่าลง

“เช่นนั้นท่านพ่อก็ต้องพูดคำไหนคำนั้น กลับคำไม่ได้ ก็ แค่คุกเข่า มันจะไปยากอะไร

“เจ้า…” อวิ๋นเสวียนนั่งหน้าตึง “ดี”

“เจ้ารอง อากาศเย็นแบบนี้ เจ้าดูสิ คลื่นความเย็นแผ่ลง มาแล้ว กลางคืนจะเย็นกว่านี้อีก เจ้าให้เด็กผู้หญิงที่ยังไม่ออก เรือนคุกเข่าอยู่บนพื้นหินที่เย็นยะเยียบเช่นนี้ แข็งกันหมดพอดี อยากให้เป็นเหมือนข้าที่เข้าแข็งจนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือ ไง!” ถงฮูหยินทนไม่ไหว

อนเสวียนนั่งยิ้มเย็นชา “ลำพังวันนี้ที่นางคบหาผู้หญิงชั้น ต่ำ อีกทั้งยังปล่อยให้เข้ามาก่อกวนในบ้าน ถ้าข้าสั่งบ่าวให้ ลากนางไปโดยที่ห้องบูชาบรรพชน ก็ไม่ถือว่าเป็นเลยแม้แต่ น้อย! เด็กๆ นี่ก็สายมากแล้ว พยุงผู้อาวุโสกลับเรือนตะวันตก หน่อย”

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของลูกชาย ลงฮูหยินก็พูดอะไรไม่ออก ที่ผ่านมานึกว่าหลานสาวคนโตฉลาดและอยู่ในโอวาท พูดจา อ่อนหวานรื่นหู มีไหวพริบดี ทำไมจู่ๆ ถึงแข็งข้อขึ้นมาได้ จึงได้ แต่ทอดถอนใจ ก่อนที่บ่าวและมอมอจะเข้ามาพยุงให้กลับ เรือนไป
“เจ้าก็คุกเข่าให้ดีๆ ในห้องโถงนี้ไป ถ้ายังไม่ได้รับคำ อนุญาตจากข้า ห้ามลุกขึ้นเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะถูกบวกเพิ่ม อีกหนึ่งวัน!” อวิ๋นเสวียนนั่งลุกขึ้นยืน แล้วไปที่มอมอคนหนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่เฝ้านางไว้ ถ้านางขยับ หรือลุกขึ้นเมื่อไหร่ มาบอก ข้า พรุ่งนี้จะได้ให้นางคุกเข่าต่อ! แต่ถ้าเจ้าปกปิดความจริง และข้ารู้เมื่อไหร่ เจ้าก็ต้องคุกเข่าอยู่เป็นเพื่อนนาง!” ว่าแล้วก็ สะบัดแขนเสื้อ เดินออกจากห้องไป

โดยชูซย่ายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้แต่ยืนมองประตูทั้ง สองบานของห้องโถงปิดเข้าหากันแล้ว จากนั้นก็ถูกไล่ให้กลับ ไป

ประตูบานใหญ่ที่ด้านหลังปิดลงเสียงดัง ถูก

นางมาถึงที่นี่ช่วงพลบค่ำ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พอปิด ประตู รอบด้านจึงมืดมิด ระเบียงไม่ได้จุดดวงโคม จึงมีเพียง แสงจางๆ ที่สาดเข้ามา

มอมอยืนอยู่หน้าประตูอย่างเคร่งครัด ตามคำสั่งอันเด็ด ขาดของนายท่าน เฝ้าดูอนหวานชื่นโดยไม่ให้คลาดสายตา

อนหวานชื่นมือลื่น พอโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มือ แอบลูบสนับเข่าที่นุ่มนิ่มทั้งสองข้าง ดีที่เกี่ยวเอ๋อร์มองการณ์ ไกล ใส่เจ้าสิ่งนี้ให้ตนก่อน ถ้าเข่าสัมผัสกับพื้นห้องที่เย็นดุจน้ำ แข็งเช่นนี้ตรงๆ คืนหนึ่ง ใครจะไปทนไหว

พอมอมอเห็นร่างของอวิ๋นหว่านชิ้นขยับเล็กน้อย ก็พูด “คุณหนูใหญ่ นายท่านบอกแล้วว่า ขยับไม่ได้
อนหวานซิ่นจึงยึดตัวตรง เข้มงวดเสียจริง

ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว แสงจันทร์สาดส่องที่หน้า ประตู ทำให้เงาไม้ซึ่งทอดตัวอยู่บนบานหน้าต่างและบานประตู แกว่งไปมาสะเปะสะปะท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ร่วง

ลมเย็นพัดเข้ามาตามช่องของประตูหน้าต่าง

แรกๆ ก็ไม่รู้สึก แต่พอไร้แสงอาทิตย์ ไร้ผู้คน ค่อยรู้สึก หนาวเหน็บจนถึงทรวง มือเท้าเย็นไปหมด

เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ เป็นผ้าเนื้อบางที่ใส่เวลาอยู่ในเรือน ถ้ารู้แต่แรก ก็สวมเสื้อคลุมหนาหน่อยแล้ว แต่เรื่องเช่นนี้จะรู้ ล่วงหน้าได้อย่างไร ถ้ารู้ล่วงหน้าจริง ก็ไม่มีทางให้ครีมกับล สุ่ยหรอก…ทว่า ถ้าอโหรวจวงตั้งใจจะกลั่นแกล้งตนอยู่แล้ว ถึงไม่ให้ไป นางก็สามารถหาช่องทางอื่นๆ ได้

อย่างว่า เป็นขโมยง่ายกว่ากันขโมย ท่านไม่มีทางป้องกัน คนที่จ้องแต่จะขุดหลุมฝังท่านได้ตลอดไปหรอก

พอนึกถึงอวี้โหรวจวง อวิ๋นหวานชื่นก็อดไม่ได้ที่จะทอด ถอนใจออกมา ทำให้พลอยนึกถึงฉินอ๋องไปด้วย ที่ตนต้องมี สภาพเช่นนี้ เขาก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน

ถ้าไม่ใช่เขา อโหรวจวงนั่นจะสร้างปัญหาให้ตนไม่หยุด หย่อนได้อย่างไร

ต้นเหตุแห่งความหายนะจริงๆ
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม จากเอวลงไปจนถึงข้อเท้า คล้าย ถูกเทตะกั่วลงไปอย่างไรอย่างนั้น ปวดแปลบสุดจะเปรียบ เขาที่ไม่ได้มีไว้วิงวอนร้องขอของนาง คล้ายจะใช้การไม่

ได้แล้ว

กลิ่นกับข้าวหอมเหลือเกิน ไม่รู้โชยมาจากไหน ตอนนี้ พอดีเป็นช่วงอาหารค่ำ

“มอมอ ท่านไม่กินข้าวหรือ” ท้องของอวิ๋นหวานชื่นร้อง

โกรกกรากไปสองรอบ จึงได้แต่กลืนน้ำลายลงไป มอมอยิ้มขมขื่น “คุณหนูใหญ่ อย่าทดสอบบ่าวอีกเลย ถ้า วันนี้บ่าวไม่เฝ้าท่านให้ดีๆ ต่อไปคงไม่ได้กินข้าวอีก

“มอมอ การพูดคุยกับหญิงสาวบนเรือสำราญว่านชุน เป็น ความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้จริงหรือ” อวิ๋นหว่านชิ้นพลัน เอ่ยปากถาม

มอมอขมวดคิ้ว กลับไม่ตอบ “คุณหนูใหญ่ ท่านกำลังถูก ลงโทษ”

“ท่านพ่อว่าห้ามขยับ ห้ามลุก ห้ามกินข้าว แต่ไม่ได้บอก ว่าห้ามพูด” อวิ๋นหวานชิ้นแลบลิ้น

มอมออึ้ง จึงว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นลูกสาวขุนนาง ย่อมไม่สามารถคบกับคนทำการค้าเช่นนี้ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนอื่นจะมองท่านอย่างไร คุณหนูใหญ่เป็นคนหัวไว เหตุผลเช่น นี้ทำไมไม่เข้าใจ หรือท่านรู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
อนหวานชิ้นคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อก่อนนางรู้สึกว่า ถ้าตนสามารถศึกษาค้นคว้าสูตรสมุนไพรเพื่อความงามอย่าง จริงจัง โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็น ข้าวหนิงเอ๋อร์ ซึ่ง หรือจ้าวฮูหยิน ภรรยานายอำเภอแห่งที่ว่าการอำเภอหลิงอวิ๋น ทุกอย่างคงราบรื่น

แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ผู้หญิงทุกชนชั้นในเมืองที่มีพลัง อย่าง ที่มองข้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน

อย่างที่ว่า คุยกับมอมอ มีคุยกับตัวเอง “ทว่าตาม ประวัติศาสตร์แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่มีชื่อเสียงมากสุด ไม่ว่าจะ เป็นหมอ ช่างแต่งหน้า หรือช่างฝีมือ ผู้ใดจำกัดบ้างว่า จะรับ เฉพาะลูกค้าแบบไหน ท่านดูสิ หมอหลวงในวังแต่ละคนฝีมือ สูงส่งทั้งนั้น แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เป็นที่รู้จักของชาว บ้านทุกหัวระแหง จะมีสักกี่คนเชียว ผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อไว้ใน ประวัติศาสตร์จริงๆ ล้วนเป็นผู้ที่สามารถคลุกคลีอยู่กับชนชั้น ล่างทั้งสิ้น ผู้หญิงในหอนางโลมแล้วไง ด้านหนึ่งต้าเซวียน ให้การรับรองตัวตนและสถานะของพวกนางอย่างถูกต้องตาม กฎหมาย แต่อีกด้านหนึ่งกลับดูแคลนพวกนางว่าสกปรก นี่ มิใช่การตบหน้าตนเองหรอกหรือ

นี่มันความคิดขบถชัดๆ คำพูดที่หลุดออกจากกฎเกณฑ์ ของยุคสมัยเช่นนี้ มอมอได้ยินแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง ส่งเสียง อา” ออกมา แล้วกลืนลงไป ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี สุดท้ายก็ทำใบ้กินไปเสีย

ถ้าจะให้อยู่อย่างเบื่อหน่ายกับมอมอ อวิ๋นหว่านในมหาเรื่องคุย จะได้ไม่คิดมาก จะได้ลืมความรู้สึกหิวและหนาวไป

แต่พอเห็นมอมอไม่เปิดปากพูดอีก ตนก็ได้แต่ปิดปากเงียบ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ