ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 71-4 ตกเลือด



ตอนที่ 71-4 ตกเลือด

พอไปเสวี่ยฮุยได้ยินหญิงชราพูดเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าหือถือ เนื้อตัวเย็นเฉียบ ท้องน้อยปวดบิดไม่หาย ปวดเป็นพักๆ สภาพ เช่นนี้ ตนเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะช่วยพี่เฉียวได้อย่างไร จึง พูดพิมพา

“ท่านแม่เอาอะไรมาพูด เมื่อผิด ก็ลงโทษ ส่วนจะ ลงโทษอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่ท่านแม่เถิด สะใภ้ไม่กล้าพูด แทรก”

“ฮูหยิน…” พี่เฉียวคลานเข้าหา จับข้อเท้าไปเสวี่ยฮุยไว้ “ท่านจะไม่สนใจบ่าวเช่นนี้ไม่ได้นา บ่าวภักดีต่อท่านมาตลอด ป้าเถาของบ่าวก็รับใช้ท่านมากว่าครึ่งชีวิต…คนทั้งสองรุ่นล้วน เป็นวัวเป็นควายให้ท่านใช้…ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านจะไม่สนใจ บ่าวเช่นนี้ไม่ได้…”

กระทั่งเถามอมอที่ซื่อสัตย์ภักดี อยู่ข้างกายข้ามาสิบกว่าปี ขายังถีบกิ้ง แล้วนับประสาอะไรกับกระต่ายน้อยอย่างเจ้าเล่า เป็นวัวเป็นควาย? ใช่ว่าข้าไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ พวกเจ้า ก็แค่ยอมทนให้ดี ยอมทน ให้ทรมาน โดยเฉพาะเจ้า พี่เฉียว ท่าเรื่องหนึ่งให้ข้าไม่สำเร็จ แต่กลับได้ผลประโยชน์จากข้าไป ซึ่งที่ข้ายอมเสียเงินให้ ก็นับว่าซื้อชีวิตบัดซบสิบชีวิตของเจ้า แล้ว มากเกินพออย่างแน่นอน แล้วเจ้ายังต้องการอะไรอีก
พอคิดได้เช่นนี้ ไปเสวี่ยฮุยจึงไม่ลังเล สลัดเท้า เตะพี่เฉียว

“เด็กๆ” ถึงฮูหยินเหลือบมองผ้าพันแผลบนศีรษะอาเม่า แล้วว่า

“ตอนจีนจึงตกหน้าผาที่บ้านสวน บ่าวสุนัขที่มีความผิด

ฐานละเลยหน้าที่ ถูกตีไปชุดหนึ่ง และถูกขังอยู่นานหลายวัน

แต่ก็ยังไม่รู้จักสำนึก กลับหนักข้อยิ่งกว่าเดิม มาข่มขู่ถากถาง

คุณชายน้อยอีก แสดงให้เห็นว่า มีจิตคิดไม่ซื่อเข้ากระดูกดำ

เมื่อสะใภ้รองไม่คัดค้าน ข้าจึงเห็นว่า ต้องลงโทษสถานหนัก…

เด็กๆ ลากตัวไปที่ห้องบูชาบรรพชน ตีห้าสิบไม้! ถ้ายังไม่ตาย

ให้ลากออกนอกจวน ขายไปเป็นกรรมกรแบกหาม

ถูกตีอีกแล้ว? แผลที่บั้นท้ายยังไม่หายสนิท ครั้งก่อนแค่ สามสิบไม้ ยังตายแล้วฟื้นไม่รู้กี่ครั้ง ตอนนี้ห้าสิบ จะรอดหรือ ผิวหนังอ่อนๆ ตรงรอยแผลเพิ่งประสานเข้าด้วยกัน ยังไม่ทันไร ก็จะมีอีกแล้ว อย่าว่าแต่ห้าสิบไม้เลย แค่ไม้เดียว ผิวก็แตก โลหิตสาดกระจายแล้ว!

พี่เฉียวมึนงง หญิงชราไม่เหมือนอนุฟาง ตนไม่มีทางรอด ตายเหมือนครั้งก่อนแน่ จึงคลานเข้าไปใหม่

“ฮูหยิน บ่าวทำเรื่องต่างๆ ให้ท่านมากมาย…” ยังไม่ทัน พูดจบ บ่าวสองคนก็ก้าวเข้ามา จับแขนพี่เฉียวคนละข้าง แล้ว ลากออกไป

แววตาไปเสงี่ยฮุยเย็นชา พี่เฉียวกำลังข่มขู่ตน พอเห็นเขาขยับปากขึ้นลง ก็เกรงว่าจะพูดเรื่องสกปรกอะไรออกมา จึงรีบ อ้าปากเอ็ด “บรรพบุรุษสั่งสอน เจ้ายังไม่ยอมรับ! สมควรที่ รีบอุดปากมันไว้ ห้าสิบไม้พอที่ไหน บวกของข้าไปอีกยี่สิบไม้

บ่าวไม่พูดไม่จา ดึงผ้าออกมาผืนหนึ่ง ยัดเข้าไปในปาก

เฉียว

นี่มันฆ่าคนปิดปากชัดๆ พี่เฉียวส่งเสียงดัง พูดไม่เป็น ภาษา พลางจ้องมองไปเสงี่ยฮุยอย่างเคียดแค้น

พอไปเสงี่ยฮุยเห็นว่าเขาพูดไม่ได้อีก รอให้บ่าวลากตัวเขา กลับมา ก็น่าจะกลายเป็นศพไปแล้ว จึงถอน

หายใจอย่างโล่งอก

ทว่าในตอนนี้เอง เที่ยวเอ๋อร์ก็กลับมา พอเข้ามาในเรือน ก็เข้ากระซิบที่ข้างหูอนหวานชื่น

“คุณหนูใหญ่ คนเข้ามาในจวนแล้ว รออยู่นอกกำแพง ผนังกั้น สามารถเรียกเข้ามาได้ทุกเมื่อ

“เรียกเข้ามาเลย” อวิ๋นหว่านชิ้นขยับริมฝีปากกำชับ จาก นั้นค่อยก้าวไปข้างหน้าสองเก้า “ช้าก่อน

นี่ย่อมเป็นการพูดกับบ่าวสองคนที่กำลังนำตัวพี่เฉียวไป

บ่าวอึ้ง หันมองหญิงชรา ด้วยหญิงชราเป็นผู้ออกคำสั่ง

อนหวานชื่นจึงหันไปพูดอย่างอ่อนน้อมกับท่านย่า “เรื่อง ที่พี่เฉียว หนีไม่พ้นสองข้อหา เมื่อต้องการสอบสวน ก็ต้องสอบสวน ให้ถึงที่สุด ขอท่านย่าให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก

ถึงฮูหยินสงสัย จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้บ่าวลากตัวพี่

เฉียวกลับเข้ามา

ไปเสวี่ยฮุยไม่รู้ว่าอนหว่านในจะมาไม้ไหน หัวใจจึงเต้น โครมคราม จนแทบหลุดออกจากทรวงอก แต่ก็ส่งเสียงไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองเที่ยวเอ๋อร์ที่กำลังพาใครคนหนึ่งเข้ามา

เป็นหญิงสาว

อายุราวสิบเจ็ดปี ประคองกล่องไม้ใบเล็กไว้ในมือ แม้ใส่ ชุดกระโปรงแบบหญิงชาวบ้านและแต่งหน้าเรียบๆ แต่ดวงตา ทั้งสองข้างกลับมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เท้าดอกบัว แขนหน่อไม้ เอวบาง แก้มชมพู เวลาก้าวเดิน สะโพกส่ายไปมาอย่างเป็น ธรรมชาติ เป็นความงามที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มองปราด เดียวก็รู้ว่า มิใช่สาวบริสุทธิ์

หญิงสาวเพิ่งเดินเข้ามาในเรือนขุนนาง คล้ายตื่นเต้นเล็ก น้อย แต่ก็รู้อย่างรวดเร็วว่าควรทำเช่นไร จึงสำรวม แล้วย่อ กายลง “ข้าน้อยหงเขียน คารวะท่านรองเจ้ากรม ฮูหยิน ผู้ อาวุโส และคุณหนู”

การพูดจาการจา ทั้งน้ำเสียง โทนเสียง และท่าทาง ไม่ เหมือนหญิงสาวทั่วไป ทว่ารื่นหูและมีจริตจะก้านแบบคนใน สถานเริงรมย์ อวิ๋นเสวียนนั่งจึงถามเสียงเข้ม

“เจ้าเป็นใคร”
ไปเสงี่ยฮุยกัดฟันกรอด เหงื่อเม็ดโป้งหยด

“ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนของเรือสำราญว่านชุน ภายหลังได้ ถูกพี่เฉียวไถ่ตัวออกมา

หงเขียนหันไปมองพี่เฉียว แต่ไม่ได้มองแบบซาบซึ้งใน บุญคุณที่ไก่ตัว กลับเป็นความรู้สึกเคียดแค้นที่พูดไม่ออกอย่าง หนึ่ง

“หลังจากข้าถูกเขาซื้อตัวไว้ ก็ถูกพาไปอาศัยที่บ้านป้า ของเขาชั่วคราว”

กลุ่มคนพอได้ยินว่าผู้มาเป็นนางโลม ก็หน้าแดงกันเป็น แถบ จวนขุนนางที่สูงส่ง กลับมีนางโลมจากหอโคมเขียวมา เยี่ยมเยียน พอได้ยินอีกว่าเป็นคนรักของพี่เฉียว ก็อึ้งไปตามๆ กัน

โสเภณี คือของฟุ่มเฟือยสำหรับชาวบ้านร้านตลาด สาวๆ บนเรือสำราญว่านชุนแต่ละคนมีค่าตัวมิใช่ย่อย หงเขียน หน้าตาดี แม้ไม่ใช่ตัวชูโรง แต่ค่าตัวก็มากโขอยู่ คนธรรมดา สามัญถ้าอยากจะอยู่กับพวกนางคืนหนึ่ง ยังต้องทำงานจน เลือดตาแทบกระเด็น นับประสาอะไรกับการซื้อตัว! พี่เฉียวเป็น เพียงบ่าวรับใช้ ไหนเลยจะ

มีเงินมากมายถึงเพียงนี้

“แม่นางหงเยียน” อวิ๋นหวานชื่นจ้องมองนาง ดวงตาหงเยียนกระจ่างใสบริสุทธิ์ ทั้งสวยทั้งคม สามารถจ้องมองคน จนคนไม่กล้าสบตาด้วย และไม่มีคุณหนูผู้สูงศักดิ์ คนใดจ้องมองนางอย่างดูแคลน แต่นางกลับถูกเด็กสาวคนนี้ จ้องมองจนรู้สึกละอายใจ

นางมิใช่ไม่เคยเห็นคุณหนูลูกผู้ดีมาก่อน เด็กสาวที่อยู่ตรง หน้าอ่อนกว่านางไม่กี่ปี แต่รูปร่างหน้าตายังเด็กอยู่ แม้มีส่วน ที่ดูสวยอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนดอกไม้ที่ยังบานได้ไม่เต็มที่ มีบาง ส่วนขาดๆ เกินๆ ถ้าเทียบกับเหล่าคุณหนูที่หงเขียนเคยเห็นมา ยังไม่ถือว่าสวยสุด แต่ไม่รู้ทำไม ขณะยืนอยู่หน้าเด็กสาว นาง มักหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าไม่กล้าทำอะไรลวกๆ อาจเพราะเด็กสาวสวยเท่ ท่าทางก็สง่างาม เหมือนมี ประสบการณ์มากกว่านาง ดวงตาก็ดุจน้ำใสไหลเย็นไร้สิ่ง เจือปน แต่พอมองมาที่นาง กลับดุจเปลวเพลิง ที่แผ่ความร้อน วูบอย่างไรอย่างนั้น

ความอ่อนโยนที่ผสานเข้ากับความเป็นผู้ใหญ่ได้อย่าง กลมกลืนเช่นนี้ ทำให้หงเขียนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย

อนหว่านในถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้ “ขอทราบจำนวน เงินค่าไถ่ตัวของแม่นาง

“ทั้งงวดแรกและงวดหลังรวมกันก็ หกร้อยตำลึงเงิน

อนหวานชื่นยิ้ม “แม่นางหงเยียนเข้าใจผิดหรือเปล่า พี่ เฉียวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของบ้านสกุลอวิ๋น และไม่มีมรดกส่วน ตัว เงินเดือนบวกกับเงินรางวัลในแต่ละเดือน อย่างไรก็ไม่เกิน สองถึงสามตำลึงเงิน หกร้อยตำลึงเงินสำหรับเขาแล้ว ต่อให้ไม่กินไม่ดื่ม ก็ต้องเก็บหอมรอมริบหลายสิบปี เป็นลาภก้อนโต ทีเดียว เขาไหนเลยจะมีเงินมากมายเช่นนี้มาไถ่ตัวเจ้า แม่นาง หงเยียนจําผิดหรือเปล่า คิดดูให้ดีๆ

หงเขียนขมวดคิ้วสวย “ข้าก็ไม่ชัดเจนนัก รู้แต่ว่าวันที่ถูก ไถ่ตัวออกมา มาม่าซังบนเรือสำราญบอกว่า ต่อจากนี้ไป นาย ของข้าก็คือพี่เฉียว และยังบอกอีกว่า ผู้ที่จ่ายค่าไถ่ตัวนั้น มือ เติบมาก ไม่ต่อรองใดๆ ยื่นตั๋วแลกเงินที่มีตราสัญลักษณ์หรู มูลค่าหกร้อยตำลึงเงินใบหนึ่งให้ทันที ซึ่งแขกมั่งคั่งเช่นนี้ นาง ไม่ได้พบเห็นมานานแล้ว จากคำพูดนี้ ข้าจึงรู้ว่า ผู้ที่ได้ตัวข้า ไม่ใช่พี่เฉียว แต่ยกข้าให้กับพี่เฉียว

ถึงฮูหยินถามเย็นชา “เจ้าของตั๋วแลกเงินเป็นชายหรือ หญิง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

“มาม่ายังไม่เคยบอกข้า” ซึ่งเขียนตอบ

อนหว่านในหันมองท่านย่า พลางพูดเป็นนัย “ท่านย่า จำเป็นต้องรู้ด้วยหรือว่าคนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เฉพาะเลข ที่และตราสัญลักษณ์บนตั๋วแลกเงิน ก็น่าจะชัดเจนพอ

ถงฮูหยินไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเพิ่งมาเมืองหลวง จึงหันไป ถามลูกชาย “เจ้ารอง ไหนเจ้าลองว่ามา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ