ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 74-5 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้า แตกในวัง



ตอนที่ 74-5 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้า แตกในวัง

ถงฮูหยินไม่ส่งเสียงอยู่ครึ่งค่อนวัน ใบหน้าเย็นซานิ่งงันอยู่นาน ที่สุดแล้วก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา

นางอยู่บ้านเจ้าของมานาน เรื่องของอวิ๋นหว่านเฟยที่เกิด ขึ้นในงานเลี้ยงแซยิดฮูหยินท่านโหว นางก็เคยได้ยินมา มิน่า เล่ามิน่า ที่เคยแปลกใจว่า เดิมทีคนที่ต้องแต่งออกไปเป็น หยินจวนโหวคือชิ้นเอ๋อร์ ไฉนจึงกลายเป็นเฟยเอ๋อร์แต่งออกไป เป็นอนได้ ที่แท้จุดพลิกผันของเรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง และเคย ได้ยินเจ้ารองบอกว่า ไม่เสียแรงที่ไปฮูหยินมีน้องสาวที่คุยกัน ได้คนหนึ่ง เป็นนางในอยู่ในวัง จวนโหวถึงได้รับปากว่าจะรับ เฟยเอ๋อร์เข้าบ้าน

ถงฮูหยินวางตะเกียบลงอย่างแรง ก่อนพูดเสียงเย็นชา

“ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ยิ่งไม่ ต้องพูดถึงอน ต่อให้ถูกเขาตีเขาฆ่า เจ้าจะทำอย่างไรได้…ไม่ ต้องยุ่งแล้ว ต้องโทษที่เด็กมันไม่ฉลาดเอง อยากเข้าจวนโหว จนไม่สนใจที่จะรักษาความบริสุทธิ์ก่อนแต่ง จนคนรอบข้าง ต้องเดือดร้อนกันไปหมด ถ้าข้าเป็นท่านโหวอาวุโส ก็ไม่ญาติดี กับนางเหมือนกัน พูดก็พูด ให้เฟยเอ๋อร์แต่งไปเป็นอนุบ้านอื่น ยังดีกว่าจวนโหวที่มีกฎระเบียบเข้มงวดเลย! ล้วนต้องโทษไปหยินที่ทำอะไรไม่ปรึกษา ยัดเยียดเฟยเอ๋อร์ให้จวนโหวเอง ช่วยไม่ได้ แม้ข้าเป็นคนบ้านนอกคอกนา ก็ยังรู้เลยว่า ถ้า ฮ่องเต้ได้ยินว่าเจ้าให้ลูกสาวไปเป็นอนุเขา แล้วยังไปยุ่งย่าม กับเขาอีก ย่อมไม่ชอบใจแน่ เจ้ารอง เจ้ามิได้คาบช้อนเงินช้อน ทองมาเกิด หรือถูกห่อตัวด้วยผ้าไหมดิ้นทองอย่างคุณชายผู้ สูงส่ง การที่เจ้าไต่เต้ามาถึงขั้นนี้ได้ มิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ยัง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งของเจ้าหรือเปล่า ในเมื่อตอนนี้เลือดของไปฮูหยินหยุดไหล เฟยเอ๋อร์ออกเรือน แล้ว เจ้าก็น่าจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ข้ารู้ ว่าเจ้ายังรักและ อาลัยอาวรณ์นางอยู่ แต่ครั้งนี้นางทำผิดร้ายแรงมาก เจ้าอย่า ได้ให้ผู้คนพูดไปเชียวว่า ที่หลังบ้านเจ้ายุ่งวุ่นวายเช่นนี้ เป็น เพราะเจ้าตามใจเมียจนเสียคน

อวิ๋นเสวียนนั่งคิดขณะฟังมารดาพูดเป็นนัยว่าให้จัดการ กับไปเสงี่ยฮุย…เดิมทีเขาลังเลใจอยู่จริงๆ อย่างไรก็เป็นสามี ภรรยากันมาสิบกว่าปี ย่อมนึกถึงความอ่อนโยนของนางใน ช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้ เขาต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด จึงพลันผละ จากเก้าอี้ เดินเข้าไปด้านใน

สตรีที่นั่งอยู่กับโต๊ะกินข้าวก็ไม่กล้าไปไหน ยิ่งไม่คิดพูด อะไร ได้แต่เดี๋ยวข้าวช้าๆ รอ

การรับประทานมื้อเย็น ในวันนี้ จึงยาวนานเฉกเช่นเดียว กับการรับประทานอาหารในคืนส่งท้ายปีเก่า ผ่านไปราวครึ่ง ชั่วยาม ม่านก็ถูกเลิกขึ้น อวิ๋นเสวียนนั่งกลับออกมาพร้อม กระดาษหนึ่งแผ่น ในมือ น้ำหมึกบนกระดาษคล้ายยังไม่แห้งรวมทั้งรอยประทับนิ้วมือ

“ท่านแม่” ดวงตาอโนเสวียนนั่งแน่วแน่ แววตาเย็นยะ เยียบดุจก้อนหิน ไร้ซึ่งความอ่อนโยน

“ตอนนี้เรื่องหลังเรือนทั้งหมด ท่านแม่เป็นคนจัดการ ลำบากท่านแม่ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยช่วยลูกแล้ว”

ถงฮูหยินรับแผ่นกระดาษจากมือลูกชาย แล้วเพิ่งตาชรา คร่าวๆ เสียดายที่อ่านหนังสือไม่ออก จึงวางลงตรงหน้าอาเม่า ที่นั่งอยู่ข้างๆ “ไหน ดูให้ย่าหน่อยซิ เขาเขียนว่าอะไร

อาเม่าแม้ยังไม่โตดี แต่ก็เรียนในโรงเรียนชนบทมาแล้ว สองปี ย่อมรู้หนังสือขั้นพื้นฐาน พอเห็นตัวอักษรด้านบนเด่น สะดุดตา ก็อ่านเสียงดังออกมา

“หนังสือ…หย่า!” สตรีและเด็กๆ ที่นั่งอยู่กับโต๊ะล้วนกลั้นหายใจ เจตนาตรงกันพอดี ถงฮูหยินจึงพับหนังสือหย่า เก็บเข้าไป

ในแขนเสื้ออย่างมีความสุข ก่อนยกตะเกียบขึ้น

“เจ้ารอง ยังไม่กินข้าวอีก โกรธเสร็จ ก็ต้องกินข้าวให้อิ่ม ไหนบอกว่าพรุ่งนี้มีประชุมนัดสำคัญไง รีบกินแล้วก็รีบไปพัก ผ่อนเสีย

หลังจากกินข้าวอิ่ม แต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับเรือน พอ เดินออกมา ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกติดต่อกันหลายวันนั้น ได้หยุด ไปนานแล้ว อากาศจึงสดชื่นเย็นสบาย แสงอาทิตย์อัสดงแผ่กระจายไปทั่ว

อวิ๋นหว่านหิ่นเหยียบไปบนหินกรวดตรงพื้นทางเดินช่วง สั้นๆ โดยมีเมี่ยวเอ๋อร์กับซูซย่าขนาบซ้ายขวา ทั้งสามเดินไป เล่นไป ถือเป็นการเดินย่อยระหว่างทางกลับเรือน

พอเมี่ยวเอ๋อร์กับซูซย่าเดินออกมาและได้ยินว่าหนังสือ หย่าถูกเขียนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินตัวเบาและพูดมากขึ้น เจ้าพูดคำข้าพูดคำ พูดว่าคนชั่วย่อมได้รับกรรมตามสนอง ใช้ ว่าจะลอยนวล แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก ไปฮูหยินกินอยู่อย่าง สุขสบายมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะคิดว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน จะเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ เริ่มจากลูกสาว ตกต่ำไปเป็นอนุ ถูกคนที่บ้านสามีทิ้งให้อยู่นอกบ้านอย่าง อัปยศอดสู ส่วนตัวฮูหยินเอง นอกจากแท้งลูกแล้ว สมบัติส่วน ตัวยังถูกแย่งเอาไปหมด ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเล็กๆ และตอนนี้ กำลังจะโดนหย่า ต้องออกจากบ้านไปโดยไม่ได้อะไรติดตัว แม้แต่น้อย

อวิ๋นหว่านชื่นฟังแต่ไม่พูด นางกลับมิได้ดีใจเหมือนสาว ใช้ทั้งสอง เรื่องจะราบรื่นเช่นนี้จริงหรือ

ไปเสวี่ยฮุยจะจบสิ้นทุกสิ่งอย่างเช่นนี้จริงหรือ

หัวหน้าไปที่อยู่ในวังจะยอมให้พี่สาวแท้ๆ ถูกขับออกจาก บ้าน กลายเป็นแม่ม่ายผัวร้างเช่นนี้หรือ

ประสบการณ์เมื่อชาติก่อนบอกนางว่า ถ้าเรื่องยังไม่ถึงที่ สุด อย่าเพิ่งด่วนดีใจ
และแล้ววันรุ่งขึ้น ความคิดนี้ก็ได้รับการยืนยัน หลังเลิกประชุมเช้า อวิ๋นเสวียนนั่งในชุดเต็มยศ มือถือ

แผ่น[1] หยกเดินออกจากท้องพระโรงอย่างกระวนกระวาย ใจ พร้อมเหล่าขุนนางจากกรมต่างๆ ภายใต้การนำของ หัวหน้าวันที่ เหยาฟูโซ่ว ทั้งหมดเดินลดเลี้ยวไปตามระเบียง แดง เข้าสู่พระที่นั่งอี้เจิ้ง

ตอนเดินออกจากท้องพระโรง ฉันชวนหันมามองเขา

และยิ้มเย็นชาออกมา

ยิ้มนี้ทำให้อนเสวียนนั่งเหงื่อไหลไม่หยุดขณะเดิน โดย ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เขาก็รู้สึกโงนเงินแล้ว

หนังซีฮ่องเต้ถอดมงกุฎ และเปลี่ยนจากชุดออกว่าราชการ เป็นชุดยาวหลวมๆ สีน้ำเงิน สวมผ้าคาดเอวถักลายมังกรและ ก้อนเมฆ ดูสบายๆ กว่าช่วงเช้ามาก ซึ่งตอนนี้ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ สีขาลายมังกรเรียบร้อย

ด้านหน้าที่นั่งขุนนางแต่ละท่าน มีโต๊ะเตี้ยไม้แดงตั้งอยู่ เหล่าขันที่น้อยต่างทยอยกันยกขนมนมเนยเข้ามาวางลงบน โต๊ะ จากนั้นก็ยืนถือกาน้ำชาสีทอง คอยรับใช้อยู่ด้านหลัง

โดยด้านหลังของโต๊ะแต่ละตัว ล้วนมีขั้นที่น้อยคนหนึ่งยืน อยู่ คอยในน้ำชาให้ขุนนางชั้นสูงที่อยู่ด้านหน้าเป็นระยะ

เหล่าขุนนางต่างเข้านั่งประจำที่ จิบชาร้อน คุยกันเรื่อง การเมือง แล้วหนึ่งซีฮ่องเต้ก็ส่งเสียงดังกังวานเปิดประเด็น
“ท่านฉินอุทิศเวลาครึ่งชีวิตทำงานให้กับราชสำนัก แต่ ตอนนี้กลับมาเกษียณ ทิ้งเราไปพักผ่อน ใช้ชีวิตหลังเกษียณ อย่างเพลิดเพลิน ทำให้เราต้องสูญเสียแม่ทัพที่ดีไปคนหนึ่ง

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศจึงผ่อน คลายลง

ขณะเดียวกัน เหล่าขุนนางใหญ่ก็ตื่นตัว กำลังจะเริ่มฟาด ฟัน ชิงตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม

ฉันชวนประสานมือพลางยิ้ม “กระหม่อมแม้ไม่อยู่ในราช สำนัก แต่ก็ตั้งใจคัดเลือกดาวรุ่งมาให้ฝ่าบาททรงพิจารณา ถึง ตอนนั้นเขาย่อมทำงานต่อจากกระหม่อมได้เป็นอย่างดี ช่วย ราชกิจฝ่าบาท พัฒนาต้าเซวียนเราให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป!

พูดจบก็หันมองลูกน้องที่อยู่ตรงข้ามอย่างมีนัย…รองเจ้า กรมฝ่ายซ้าย

สายตาเช่นนี้ ย่อมเป็นสายตาเย้ยหยัน ข่มขวัญ และสะใจ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นในฝ่ามือของอวิ๋นเสวียนนั่ง เขาใจเต้นไม่ หยุด ก่นด่าตาแก่หนังเหนียวในใจ

ฉันชวนล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ ขณะคิดถวายสมุดพับ รายชื่อ ท้องก็พลันปวดขึ้นมา อยากจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ อดทนไว้ ทว่าไหนเลยจะทนได้ ท้องมวนและปั่นป่วนอย่างแรง จนได้ยินเสียงดป้าด คล้ายจะออกมาได้ทุกเมื่อ

“ท่านฉัน?” หนิงซีฮ่องเต้เห็นเขาหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน จึงถามอย่างเป็นห่วง

ฉันชวนเหงื่อเย็นหลั่งไหล ยอมเสี่ยงลุกขึ้นยืน พูดพลาง ริมฝีปากสั่น “ฝา ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อม พลันปวดท้องมวน อาจเป็นเพราะวันนี้อากาศเย็น และตอนเช้า กินหมั่นโถวเย็นลงไป…

เหล่าขุนนางบ้างเบ้ปาก บ้างแอบหัวเราะ

อวิ๋นเสวียนนั่งลอบถอนหายใจ ก่นด่าในใจอีกสองคำ ตา แก่หนังเหนียว คิดล้างแค้นซึ่งหน้า ทำให้ข้าไม่ได้เลื่อนขั้น สม น้ำหน้า ท้องเสียตายได้ยิ่งดี จนถังส้วมตายไปเลย ไม่ต้องกลับ มา!

หนังซีฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้ว ตาเฒ่าอย่างเจ้า ทำไมถึงทำตัวเช่นนี้ ยังไม่รีบไปอีก! ระวังเปื้อนห้องประชุม ด้วย ถ้าไม่เห็นแก่เจ้าที่ใกล้เกษียณ เราต้องลงโทษเจ้าให้ หนัก!”

ฉันชวนสูดหายใจเข้าลึกๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไปกับขันที่น้อย นำทางที่อยู่ด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้องน้ำที่อยู่หลังพระที่นั่งอี้เจ๋ง…

[1] แผ่น แผ่นแบนยาวทำจากหยก งาช้าง หรือไม้ไผ่ ตามแต่สถานะของขุนนางผู้ถือ ใช้ถือไว้ด้านหน้าเวลาเข้าเฝ้า กราบทูลเรื่องราวต่างๆ กับฮ่องเต้ โดยขุนนางจะเขียนเรื่อง ต่างๆ โดยย่อไว้ด้านที่หันเข้าหาตัว แล้วพูดตาม เหมือนสมุดจดกันลืม


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ