ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 69-4 แสดงเป็นนางจิ้งจอก



ตอนที่ 69-4 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

เมื่อกลับถึงจวน ต่างคนต่างก็กลับเรือนของตนเอง

พอบ่าวในบ้านรู้ว่าวันนี้นอกบ้านเกิดเรื่องขึ้น ก็ตกใจไป ตามๆ กัน แม้กลุ่มผู้หญิงสกุลอวิ๋น โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ใดๆ แต่ก็ยังตื่นตระหนกไม่หาย บ่าวของแต่ละเรือนจึงรีบต้ม น้ำ ให้นายได้อาบน้ำดื่มชา เพื่อให้อารมณ์ สงบ ส่วนต่อไป ไหลก็ส่งคนไปกรมกลาโหม แจ้งข่าวให้นายท่านทราบ

ถงฮูหยินย่อมไม่ต้องพูดถึง ไหนเลยจะคิดว่าผู้หญิงใน บ้านที่นานๆ จะออกนอกบ้าน กลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงเช่น นี้ แม้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ก็อันตรายใช่ย่อย ปีนี้มีแต่เรื่องไม่ ดีจริงๆ ต้องสวดมนต์อยู่ครึ่งค่อนวัน จิตใจถึงสงบลงได้ นาง จับมืออาเม่ามากุมไว้แล้วถูไปมาไม่ปล่อย คนชราอารมณ์ เปราะบาง บางครั้งก็หลอน

“เมืองหลวงเปลี่ยนแปลงเร็วจนคาดเดาไม่ได้จริงๆ โรง ละครที่มีละครดีๆ ให้ดู กลับถูกระเบิดเสียนี่ ถ้าเด็กทั้งสองเป็น อะไรขึ้นมา ย่าอย่างข้าจะมีหน้ากลับไปโจวไปบอกลูกชายคน โตหรือ พอกันที ต่อไปนี้พวกเจ้าไม่ต้องออกไปกันแล้ว ต่อให้ น่าเที่ยวแค่ไหน ก็ไม่ต้องเที่ยว คนบ้านนอกอย่างเราไม่เหมาะ กับเมืองหลวงอยู่แล้ว!

หวงน้าสี่จึงได้โอกาสบ่นอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ต่อให้วันนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ต่อไปสะใภ้กับลูกๆ ก็ไม่กล้าออกจากบ้าน แล้ว”

เสียงคร่ำครวญของหญิงชราพลันหยุด “ทำไมล่ะ

หวงน้าผลักอาจ “เรื่องนี้แม่พูดเองไม่ค่อยดี เจ้าบอกท่าน ย่าเองดีกว่า”

เด็กหญิงอาจความจำดี จึงอธิบายไปตามสิ่งที่เห็น “วันนี้ เสื้อผ้าที่อาสะใภ้นำมาให้หลานและท่านแม่ใส่นั้น เป็นเสื้อผ้าที่ ทำไว้ให้บ่าวในบ้านใส่ ก็คือตรงปกเสื้อจะมีช่องเล็กๆ ซึ่งเป็น แบบเสื้อที่บ่าวในเมืองหลวงใส่กัน ไม่เชื่อ ท่านย่าไปดูยังได้

ถึงฮูหยินขมวดคิ้วแน่น วันนี้ความรู้สึกดีๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้น กับสะใภ้รอง ไม่เหลือแม้แต่เงาอีกแล้ว สะใภ้รองแสบสัน จริงๆ!

ถงฮูหยินเองก็เคยเป็นสาวมาก่อน ระหว่างเมียๆ ด้วยกัน ไหนเลยจะไม่มีความขัดแย้ง โดยเฉพาะคนสองคนที่มีสถานะ เหลื่อมล้ำกันมาก ก็มักไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่าย แต่นางเป็นคน บ้านนอกที่เป็นกันเอง ไม่คิดอะไรมาก ไหนเลยจะเหมือนไปเส วี่ยฮุยที่ชอบใช้วิธีสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ทำร้ายผู้อื่น ชนิดพอ คิดถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจในตอนนั้น ก็จะกั้นกำแพงเปิด ศึกระหว่างน้องสะใภ้กับพี่สะใภ้ไป

หลังจากฟังหลานสาวร้องเรียน หญิงชรารู้สึกไม่ชอบใจก็ จริง แต่ด้วยความที่อายุมากแล้ว หวังให้ครอบครัวอยู่กันอย่าง สงบสุข จึงไม่อยากให้สามแม่ลูกก่อเรื่องไม่จบสิ้นภายในบ้านอีก ตราบใดที่ไปเสวี่ยฮุยไม่ก่อเรื่องอย่างโจ่งแจ้ง ก็พอจะ พูดจากันง่ายหน่อย

คิดแล้ว ถึงฮูหยินก็ตีหลังมืออาจเบาๆ “ช่างเถอะ วันนี้ยัง ก่อเรื่องไม่พออีกหรือ เจ้ามิใช่ได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาชุดหนึ่ง หรอกหรือ ราคาก็มิได้ถูกๆ ได้เปรียบก็น่าจะพอแล้ว ทำเป็น ไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน”

แต่หวงน้ามีหรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ นางแค้นฝังหุ่นไป แล้ว เพราะเป็นคนเมืองถึงไม่เอาเรื่องหรือไร

นางไม่ยอมเป็นเป้าให้อับอาย ไม่ยอมก้มหัวให้กับข้าว สารห้าโตว[1] หรอก คิดว่าคนบ้านนอกต่ำต้อยถึงเพียงนั้น จริงๆ ล่ะสิ คอยดูก็แล้วกัน ตอนนี้ข่มใจฟังคำชี้แนะของท่าน แม่ไปก่อน จึงน้อมรับ

“จ๊ะ สะใภ้ฟังอยู่ ท่านแม่

เมื่อกลับถึงเรือนผู้หญิง เกี่ยวเอ๋อร์ก็เล่าให้คุณหนูใหญ่ฟัง ว่า หลังจากรับคำกำชับจากคุณหนูใหญ่ นางก็รีบวิ่งไปบอก คุณชายส…

พอสวมเงินได้ยินก็ตกใจ วิ่งเข้าไปดูในห้องเตรียมเครื่อง ดื่มกับผู้คุ้มกัน แม้ตรวจไม่พบอะไร แต่ในที่สุดก็ได้กลิ่น แปลกๆ สัญชาตญาณต่อดินระเบิดของพวกเขาย่อมไวกว่าอน หว่านชื่น รัชทายาทเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ จะเสี่ยงอันตราย ไม่ได้แม้แต่น้อย จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเชิญรัชทายาทที่ กำลังลุ้นละครจนตัวโก่ง ให้ลงไปด้านล่าง แล้วขึ้นรถม้ากลับวังทันที จากนั้นค่อยบอกพวกผู้หญิงสกุลอนให้รีบลงไป สุดท้ายถึงส่งคนไปที่ทำการอำเภอแจ้งความ แต่ใครจะคิดเล่า ว่า เพิ่งวิ่งลงชั้นล่าง ชั้นบนก็ระเบิดเสียงดังกัมปนาท เห็นควัน ขาวตลบอบอวล พร้อมประกายไฟ บันไดขึ้นชั้นบนพังไปครึ่ง หนึ่ง เล่นเอาพวกสวมเงินตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬหลั่งไหล นิ้ว เฉียดจริงๆ!

ห้องเตรียมเครื่องดื่มอยู่ข้างห้องชมละครของรัชทายาท ถ้าผู้ที่อยู่ชั้นบนลงมาไม่ทัน พอผนังห้องพังทลาย รัชทายาท ย่อมบาดเจ็บ!

ขณะเล่า บ่าวในบ้านก็เข้ามาแจ้งว่า นายท่านเลิกงาน กลับมาแล้ว และเรียกกลุ่มผู้หญิงที่ออกจากบ้านในวันนี้ ให้ไป รวมตัวกันที่โถงด้านหน้า

โถงด้านหน้า

ตอนอวิ๋นหวานชื่นมาถึง คนอื่นๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว

ใบหน้าไปเสวี่ยฮุยมีคราบน้ำตา นางนั่งอยู่ด้านขวาของ เจ้าบ้าน คล้ายเพิ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาจากการร้องไห้ไป หมาดๆ ซึ่งอวิ๋นเสวียนนั่งก็เพิ่งปลอบใจนางไปสองสาม ประโยค

อนุฟางกับอวิ๋นหว่านลงต่างยืนกันเงียบๆ คนละมุม ไม่พูด

พอกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านลงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ยังคงดูงงๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระเบิดที่ โรงละคร แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะถูกลงโทษให้ขึ้นเวทีแสดง เป็นปีศาจจิ้งจอก ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง

ตอนอวิ๋นเสวียนนั่งกลับถึงบ้าน ก็ไปที่เรือนหลักก่อน จึง พอจะรู้เรื่องราวตั้งแต่กลุ่มผู้หญิงได้พบรัชทายาทโดยบังเอิญ ในโรงละคร จนถึงเรื่องระเบิดจากปากของไปเสงี่ยฮุยบ้าง ซึ่ง เขาก็ตกใจว่า บ้านเมืองที่อยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมาภายใต้ ร่มพระบารมีเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนออกนอกบ้านจะเจอ ระเบิด ใครกันรอาจคิด

ต่อต้าน แต่ถ้ารัชทายาทอยู่ในที่เกิดเหตุ ก็เห็นชัดว่า เป้า หมายคือรัชทายาท

พอคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นเสวียนนั่งก็ครุ่นคิดอีกสักพัก ค่อย

บอกให้บ่าวในบ้านไปตามคนมา

เมื่อเห็นคนมากันครบ อวิ๋นเสวียนนั่งก็เข้าประเด็น อธิบายเจตนารมณ์ให้ฟังทันที

“เราปิดประตูบ้าน พูดกันแบบบ้านๆ ข้าจึงไม่อยากพูด อ้อมค้อม เรื่องที่พวกเจ้าพบเจอรัชทายาทในโรงละครวันนี้ ห้ามพูดให้คนนอกได้ยินเป็นอันขาด ข้ารู้ว่าผู้หญิงอย่างพวก เจ้าชอบใส่สีตีไข่ เรื่องเล็กนิดเดียวก็เล่าขยายความให้ผู้อื่นฟัง เสียใหญ่โต เรื่องพบเจอรัชทายาท อาจเอาไปคุยโม้โอ้อวด อย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้ เรื่องแบบนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่วง หน้า ถ้าไม่อยากให้บ้านสกุลอนประสบเคราะห์กรรม พวกเจ้าต้องปิดปากให้มิด ให้คิดเสียว่าวันนี้ ไม่เคยพบเจอผู้ใดเลย ต่อให้มีคนเห็นว่าพวกเจ้าถูกเชิญให้ขึ้นไปดูละครที่ชั้นบน ก็ให้ พูดแต่เพียงว่าไม่รู้จักคนคนนั้น ได้ยินหรือยัง

อวิ๋นเสวียนนั่งพูดอย่างเคร่งเครียดและเข้มงวดมาก ค่า

พูดก็ชัดเจนยิ่ง กลุ่มคนที่ฟังแล้วคิดตาม ก็พอจะรู้ความหมาย

คร่าวๆ ว่า ระเบิดนั่นน่าจะมีคนประสงค์ร้ายต่อรัชทายาท ซึ่ง

ตัวเขาเองรู้กันว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปกติแล้วต้องส่งให้เจ้า

หน้าที่ของที่ว่าการอำเภอ แผนกดูแลเรื่องในราชวงศ์โดย

เฉพาะดำเนินการตรวจสอบ และก่อนที่จะหาตัวผู้ต้องสงสัยพบ

จะไม่เปิดเผยให้คนนอก ซึ่งถ้าผู้หญิงบ้านสกุลอนเอาเรื่องนี้

ไปโม้ให้คนนอกฟัง สกุลอวิ๋นก็ต้องถูกเพ่งเล็ง โยงใยว่า

เกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารรัชทายาทไปโดยปริยาย

พวกนางจึงก้มศีรษะลงรับคำ “ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน

เดิมทีไปเสวี่ยฮุยคิดจะบอกเรื่องน่าอายให้สามีฟัง เรื่องที่ อนุฟางแนะให้คุณหนูสามเข้าไปเสนอตัวให้รัชทายาท แต่ สุดท้ายคุณหนูสามกลับถูกลงโทษให้ไปแสดงละครเวทีแทน แต่พอเห็นสามีเคร่งเครียด ก็ไม่พูดดีกว่า พูดปิดท้ายสองสาม ประโยค ก็บอกให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป

อนหว่านชินจงใจเดินออกเป็นคนสุดท้าย พอก้าวออก จากธรณีประตู และไม่เห็นเงาของแม่เลี้ยงและคนอื่นๆ แล้ว ก็ หายใจเข้าลึกๆ กลับหลังหัน เดินกลับเข้าไปใหม่

“ท่านพ่อ ผู้ต้องสงสัยคือใคร มีเค้าโครงหน้าหรือยัง
อนเสวียนนั่งสงสัย ก่อนโบกมือไล่ “เจ้าเป็นผู้หญิง ถาม เรื่องเหล่านี้ไปทําไมกัน

อนหวานชื่นจึงหลุบตาลง “วันนี้ตอนพบเจอรัชทายาทใน โรงละคร เพราะลูกสนิทกับญาติผู้พี่ จึงได้นั่งดูละครร่วมกับ รัชทายาท และถือว่าคุยกันได้ถูกคอทีเดียว จึงรู้สึกผูกพันและ เป็นห่วงอยู่บ้าง

“อ้อ?” เดิมคือวิ๋นเสวียนนั่งไม่สนใจฟัง แต่พอได้ยินคำพูด นี้ ก็ลิงโลดขึ้นมา เลิกไล่ลูกสาวทันที

“รัชทายาทพูดคุยกับเจ้า แล้วยังนั่งดูละครด้วยกันอีก? อนหวานชื่นพยักหน้า ห นิสัยเดิมๆ คิดเข้าหาผู้สูงศักดิ์ โดยการพึ่งพาลูกสาวอีกแล้ว

อนเสวียนนั่งยิ้มมุมปาก ไม่พูดอะไรมาก อารมณ์ดี

เป็นกอง

“ก่อนเลิกงาน สหายเก่าที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการอำเภอ บอกว่า พบเจอที่ตั้งดินระเบิดแล้ว ถูกคนฝังไว้กับพื้นชั้นบน ใต้ ถังต้มน้ำในห้องเตรียมเครื่องดื่ม เป็นดินดำ และตรวจพบว่า เด็กรับใช้ในโรงละครคนหนึ่งต้องสงสัยมากสุด เจ้าของโรง ละครจึงถูกควบคุมตัวไว้ แต่ก็ให้การแค่ว่า เด็กรับใช้เป็น ลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้อาศัยอยู่ที่ไหน ซึ่ง เจ้าหน้าที่กำลังออกตามหาไปทั่วเมือง ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เป็นใครนั้น ในเวลาอันสั้น ไหนเลยจะสืบรู้ได้ จึงยังคงเป็นคดี ที่ไม่มีเบาะแสใดๆ เพิ่มเติม
ถ้าถามต่อ ก็เกรงว่าบิดาจะสงสัย อวิ๋นหวานชื่นจึงโค้ง

กายลง “ลูกรับทราบเจ้าค่ะ”

[1] โตว คือหน่วยตวงข้าวชนิดหนึ่ง เป็นการอุปมาถึง คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ที่เหนือกว่าเพราะเงินเพียงน้อยนิด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ