ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 67-3 เหล่าสะใภ้ นั่นกัน



ตอนที่ 67-3 เหล่าสะใภ้ นั่นกัน

ระหว่างที่หวงน้าสี่อาศัยอยู่ในบ้านอาเล็กของลูกๆ ก็ได้แนะ ลูกๆ ว่า ถ้าอยากออกไปเที่ยว ให้ไปรบเร้าท่านย่าเอาเอง

ยากนักที่จะได้มาเมืองหลวงสักครั้ง นางย่อมอยากออก เที่ยวไปทั่วเพื่อเปิดหูเปิดตา กลับไปที่บ้านจะได้กลายเป็นดาว เด่นในหมู่บ้าน

พอได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยว พี่กับน้องเม่าก็รีบไปวอแว

ท่านย่า ซึ่งท่านย่าอายุมากแล้ว ไม่อยากออกไปไหน แม้แต่ พระราชวัง ก็ยังคร้านที่จะไปเดินดู แต่ก็ไม่อยากขัดใจหลานๆ วันนี้ พอไปเสงี่ยฮุยมาดูแลในช่วงเช้า ท่านย่าจึงยกมือ ปราม แล้วว่า

“สะใภ้รอง วันนี้อากาศดีทีเดียว ข้าเห็นว่าเฟยเอ๋อร์กำลัง จะออกเรือนแล้ว ยากที่จะมีชีวิตอิสระแบบคุณหนูอีก อย่างไร วันนี้เจ้าพาชิ้นเอ๋อร์ เฟยเอ๋อร์ ถงเอ๋อร์ พี่สะใภ้และเด็กทั้งสอง ไปเดินเล่นก็ดี เจ้าลองดูซิว่า ในเมืองมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง แล้ว พาพวกเขาไปเที่ยวหน่อย

ปกติอยู่บ้าน รับมือภรรยากับลูกๆ ทั้งสามของพี่ใหญ่ สกุลอวิ๋น ไปเสวี่ยฮุยก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว ยังถูกพี่สะใภ้ จิกกัดเป็นประจำ และเรื่องปิ่นปักผม ก็ทำให้นางรังเกียจหวงน้าสี่สุดๆ ตอนนี้จะให้พาไปเที่ยว ย่อมไม่เต็มใจอย่างแรง จึง ถอนหายใจออกมาสองครั้ง

พอหวงน้าสี่เห็นน้องสะใภ้มีท่าทีไม่ค่อยอยากจะไป ก็ยิ้ม พลางว่า

“ทำไมล่ะน้องสะใภ้ กลัวว่าคนบ้านนอกอย่างเรา

ทําให้ขายหน้าหรือ

จะ

คำพูดนี้ทำให้ไปเสวี่ยฮุยหน้าชา แต่พอเห็นท่านย่ามอง มา นางก็ทำอะไรไม่ได้ ดูไปแล้ว วันนี้คงต้องยอมให้เขาข่มเขา โคขืนให้กินหญ้า

จึงเงยคางแหลมๆ ขึ้นสำรวจมองสามแม่ลูก พลางยิ้ม น้อยๆ พร้อมเจตนาเย้ยหยัน

“เมื่อพี่สะใภ้กับหลานๆ อยากเที่ยว ก็ไปสิ ยากนะกว่าจะ มาเมืองหลวงได้สักครั้ง น้องจะบอกให้คนไปเตรียมรถม้าก็ แล้วกัน อีกอย่าง” ชะงักเล็กน้อย “พี่สะใภ้ อาจ กับอาเม่าต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย”

หวงน้าสี่ฟังออกว่าคำพูดของไปเสงี่ยฮุยเต็มไปด้วยความ รู้สึกดูหมิ่นเหยียดหยาม จึงก้มลงมองดูเสื้อผ้าตนเอง แล้วแค่น เสียงเย็นชาออกมา

“เฮอะ น้องสะใภ้ แม้เสื้อผ้าของเราสามแม่ลูกจะเทียบไม่ ได้กับเสื้อผ้าราคาแพงของคนในบ้านขุนน้ำขุนนางอย่างพวก เจ้า แต่ก็ไม่มีรอยปะรอยเย็บใดๆ สะอาดสะอ้านมาก จะไปอายอะไร ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก”

“หึๆ ที่แท้เสื้อผ้าของพี่สะใภ้ก็ขอแค่ไม่ปะไม่เย็บ สะอ้าน สะอ้านก็พอแล้วเท่านั้นหรือ มาตรฐานนี้ไปมั้ง” ไปเสวี่ยฮุย ปิดปากหัวเราะ “จวนรองเจ้ากรมเรา แม้มิใช่จวนของเจ้าใหญ่ นายโต หรือลูกท่านหลานเธอ แต่เวลาเราออกจากบ้าน ก็มีคน ไม่น้อยที่เฝ้ามองเราอยู่ ถ้าแต่งตัวไม่เหมาะสม พวกเขาก็อาจ เอาไปพูดต่อๆ กันไป และถ้าได้ยินไปถึงคนในราชสำนัก ท่าน พี่ก็ย่อมขายหน้า

พอถึงฮูหยินได้ยินว่าอาจทำให้ลูกชายคนรองขายหน้า ก็ รีบถลึงตามองสะใภ้ใหญ่

“เขาบอกให้เปลี่ยน ก็เปลี่ยนๆ ไปเถอะ มัวพูดไร้สาระไป ทำไม เขาให้เสื้อผ้าใหม่เจ้า พาเจ้ากับลูกๆ เจ้าไปเที่ยว เท่านี้ ยังไม่พออีกหรือ

หวงน้าสี่จึงเงียบเสียงลง เชื่อฟังแต่โดยดี

ยากนัก ที่ไปเสงี่ยฮุยจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ และทำให้พี่ สะใภ้ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ จึงสะใจไปถึงทรวง ยิ้มพลางว่า

“เมื่อพี่สะใภ้ต้องการจะออกไปกะทันหันเช่นนี้ น้องก็ เตรียมชุดใหม่ให้ไม่ทัน แต่จะพยายามหยิบชุดที่ดูสดใสหน่อย มาให้ พี่สะใภ้อย่าได้รังเกียจไปล่ะ

พอเห็นนางเปลี่ยนท่าที่มาดีด้วย หวงน้าก็ยิ้มมุมปากข้าง หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
พอไปเสงี่ยฮุย นกายเดินออกมาด้านนอก ก็กำชับอาเถา ไม่กี่คำ ให้นางกับสาวใช้อีกสองสามคนไปเอาเสื้อผ้ามา และ บอกให้เด็กรับใช้อีกคนไปแจ้งตามเรือนต่างๆ ให้คุณหนูทั้ง หลายเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ใส่ออกนอกบ้าน แล้วแต่งเนื้อแต่งตัว ให้เรียบร้อย เตรียมไปเที่ยวเป็นเพื่อนป่าสะใภ้กับลูกๆ

ไม่นานเกินรอ อาเถากับสาวใช้ ก็นำเสื้อผ้าหลายชุดเข้า

มา

เสื้อผ้าทั้งสองแบบดูดีทีเดียว เป็นเสื้อและกระโปรงผ้า ฝ้ายคอเปิด ชุดหนึ่งเป็นชุดผู้ใหญ่สีเขียวอ่อน อีกชุดเป็นชุด เด็กสีเหลืองอ่อนที่ดูสว่างกว่า และอีกชุดเป็นชุดยาวสีน้ำเงิน เขียวของเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบ

หวงน้าไม่เคยเห็นเสื้อผ้าที่ผู้สูงศักดิ์สวมใส่ แต่อย่างไรก็ ดูดีกว่าชุดที่ตนสวมใส่อยู่ เนื้อผ้าของเสื้อผ้าที่กองอยู่ตรงหน้า นิ่มและลื่น แบบก็ดูทันสมัย จึงตื่นตาตื่นใจ อดไม่ได้ที่จะเรียก ลูกๆ มาดู

มุมปากไปเสงี่ยฮุยปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน แต่กลับพูด อย่างอ่อนโยน

“ขนาดน่าจะกำลังพอดี ชุดยาวผ้าแพรสีน้ำเงินเขียวนั่น เป็นชุดที่จิ่นจังใส่ตอนน้องเลี้ยงเขาอยู่ที่เรือน แม้เป็นชุดเก่า แต่ก็ใส่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ส่วนชุดแบบผู้หญิงสองชุดของ อากับพี่สะใภ้นั้น เป็นของใหม่ ไม่เคยใส่มาก่อน เก็บไว้ในตู้ เสื้อผ้ามาตลอด แต่โทษน้องไม่ได้นา ถ้าพี่สะใภ้บอกก่อนหน้านี้ น้องก็ไปซื้อชุดใหม่ให้แล้ว

หวงน้าสี่คิดในใจ ทำไมวันนี้จู่ๆ น้องสะใภ้ก็ใจดีขึ้นมา หรือคิดดึงตนให้เข้าเป็นพวกด้วย ถึงได้มาผูกมิตรกับตนใหม่

ไม่มีเวลาคิดมาก หวงน้าสี่หอบเสื้อผ้า แล้วพาลูกทั้งสอง เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านใน

ส่วนองฮูหยิน เมื่อเห็นไปเสวี่ยฮุยจัดการเรื่องในครั้งนี้ได้ อย่างเหมาะสม ก็พอใจอยู่บ้าง

รอจนสามแม่ลูกแต่งตัวเสร็จ รถม้าและผู้ติดตามก็เตรียม

พร้อมอยู่หน้าประตูแล้ว

อนหวานชื่น อวิ๋นหว่านเฟยและอวิ๋นหว่านลงสามพี่น้อง ต่างก็พาบ่าวของตนมาที่เรือนตะวันตก

พออวิ๋นหว่านชินกับบ่าวก้าวเข้าไปในห้อง หวงน้าสี่ก็พา

ลูกสาวเดินออกจากม่านมาพอดี

สีเสื้อของอาจเด่นสะดุดตา ผู้หญิงทุกคนต่างมองนางเป็น คนแรก

“ท่านย่า ดูให้หน่อยว่าดีหรือเปล่า” อาจหมุนตัวหนึ่งรอบ ถงฮูหยินยิ้มจนเห็นรอยย่นบนใบหน้าชัดเจน

“ดีๆ ดูดีมากๆ ลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นเรา มีขี้เหร่ด้วยหรือ เจ้าดูสิ สีนี้ สดสว่างแค่ไหน ถึงได้ขับให้อาจของเราสว่าง สดใสขึ้นทันตาเห็น!
อนหว่านลงคิดในใจ ผิวของอาจค่อนข้างคล้ำ แต่ฮูหยิน กลับหยิบชุดสีเหลืองสดมาให้ ซึ่งผู้ที่มีรสนิยมอยู่บ้าง ล้วนรู้ว่า ทำให้ดูคล้ำขึ้นและเชยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเห็นว่าท่านย่า ชอบมาก ก็ว่าตามอย่างอ่อนโยน

“ใช่เลย ท่านย่าพูดถูก อาจในตอนนี้เหมือนนางฟ้าไม่มี ผิด”

อนหว่านเฟยเคยเห็นเสื้อผ้าที่สองแม่ลูกสวมใส่อยู่ จึงรู้

ว่ามารดาเป็นคนจัดให้ และพอหันไปมอง ก็สบตากับมารดา ทั้งสองยิ้มพร้อมกันโดยไม่ต้องพูด

วันนี้เป็นเมี่ยวเอ๋อร์ออกนอกบ้านเป็นเพื่อนอวิ๋นหว่านใน

พอเลี้ยวเอ๋อร์เห็นเสื้อผ้าของสองแม่ลูก ก็คุ้นตายิ่ง พลัน นึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าของคนทุกระดับชั้นในจวน เดิมที่ฮูหยินของ จวนคือผู้รับผิดชอบในการเลือกชนิดผ้าและลวดลาย ต่อมา ค่อยให้มอไคไหลไปหาร้านตัดเสื้อที่เหมาะสมตัดเย็บออกมา สองชุดนี้นางเหมือนเคยเห็นที่ห้องของพ่อไคไหล…เดี๋ยวเอ๋อร์จึง ดึงแขนเสื้อคุณหนู แล้วกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู

“ฮูหยินไม่ได้มีน้ำใจกับพี่สะใภ้จริงๆ…

“ชู้” อวิ๋นหว่านชิ้นยกนิ้วชี้ขึ้นปาก

หลังจากคุยกับท่านย่าอีกสองสามคำ ทั้งหมดก็ก้าวออก จากจวน ขึ้นไปนั่งบนรถม้า

คนทั้งกลุ่มไม่นับบ่าว มีอยู่แปดคนด้วยกัน รถม้าคันเดียวย่อมนั่งไม่พอ จึงจัดมาสองคัน

ไปเสงี่ยฮุยแม่ลูก กับอนุฟางแม่ลูกนั่งคันหนึ่ง ส่วนอน

หวานชิ้นพาหวงน้า อาจ อาเม่า ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง บนรถม้า น้องเม่าเปิดม่านหน้าต่าง แล้วยื่นศีรษะออกไป ชมทิวทัศน์ข้างทาง

หวงน้าสี่กับลูกสาวอย่างไรก็มีนิสัยรักสวยรักงามแบบผู้ หญิง จึงตื่นเต้นกับเสื้อผ้าชุดใหม่ไม่หาย นั่งจับแขนเสื้อ ดูเนื้อ ผ้าและแบบเสื้อกันไปมา

ในสายตาของผู้เป็นแม่ ลูกสาวย่อมสวยที่สุดในปฐพี หวงน้าสี่ก็รู้สึกมาตลอดว่าอาจหน้าตาไม่เลว เสียดายก็แต่เกิด ในชนบท ไม่เคยใส่เสื้อผ้าสวยงามเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พอใส่ แล้ว ก็รู้สึกว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูอย่างไรก็สวยไป หมด จึงแย้มยิ้ม แล้วว่า

“อาจของแม่นี่สวยจริงๆ เลย จากที่แม่เห็นนะ ไม่ได้ เอาแต่ชมแตงตัวเองแบบแม่ค้าขายแตง นี่ถ้าอาจเกิดในเมือง แล้วแต่งตัวให้ดีอีกหน่อย ต้องไม่แพ้พวกคุณหนูผู้สูงศักดิ์แน่ สวยกว่าเฟยเอ๋อร์ของน้องสะใภ้ด้วยซ้ำ

แล้วค่อยหันไปถามอวิ๋นหวานชื่น “เจ้าว่าจริงไหม ชิ้นเอ อร์”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ