ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 67-4 เหล่าสะใภ้ นั่นกัน



ตอนที่ 67-4 เหล่าสะใภ้ นั่นกัน

อนหวานชื่นกับเดี่ยวเอ๋อร์นั่งตรงกันข้ามกับสามแม่ลูก กำลัง มองหวงน้าสี่กับลูกสาวที่ยังตื่นเต้นไม่หายอยู่เงียบๆ และพอ หวงน้าถามเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่านางไม่ชอบไปเสงี่ยฮุย อวิ๋น หวานชื่นจึงหัวเราะ ก่อนพูดเอาใจป้าสะใภ้

“อาบุคลิกดี เพียงแต่ปกติไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัว วันนี้ ใส่เสื้อผ้าชุดนี้ ทั้งแบบและสีสัน ขนาดก็

พอดีตัว ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป

พอได้ยินคำชม หวงน้าก็ยิ้มหน้าบาน โดยไม่คิดว่าจะ ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงดังมาจากฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงฟังดูเบา สบาย คล้ายพูดไปเรื่อย

“แต่อย่างไร ก็ไม่เหมาะกับคุณหนู

เป็นเสียงของเมี่ยวเอ๋อร์

อนหวานชื่นขมวดคิ้ว มือเดี่ยวเอ๋อร์ไปที่หนึ่ง “พูดชั่ว อะไร!”

เมี่ยวเอ๋อร์แกล้งทำเป็นคับข้องใจ ก้มหน้าลง

แล้วไม่พูด

หวงน้าสี่เป็นคนความรู้สึกไว โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอยู่ในเมืองหลวงที่มีแต่คนแต่งตัวหรูหรา ก็ยิ่งระมัดระวังทุกฝีก้าว กลัวว่าจะถูกคนดูถูกดูแคลน ตอนนี้พอได้ยิน ก็เป็นอันอึ้ง หมายความว่าอะไรกัน ทั้งแบบเสื้อ สีสัน ขนาด ล้วนเหมาะสม แล้วไม่เหมาะสมตรงไหน

“ไม่เป็นไร ให้นางพูดต่อเถอะ” หวงน้าสี่ขมวดคิ้ว

เมี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองคุณหนูใหญ่ ก่อนว่า “พี่ชายของ บ่าวคือพ่อบ้านพ่อ พ่อบ้านประจำจวนสกุลอวิ๋น รับผิดชอบ เรื่องการจัดซื้อ สองวันก่อนบ่าวเห็นชุดของป้าสะใภ้กับคุณหนู วางอยู่ในห้องพี่ชาย

“เมี่ยวเอ๋อร์ อย่าพูดมาก” อวิ๋นหวานชิ้นเอ็ด “เรื่องของคน อื่น เจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้หรือ ถ้ารู้ถึงหูท่านแม่ว่าเจ้าพูดจา พร่ำเพรื่อ เจ้าต้องโดนตีแน่!

แม้หวงน้าสี่ไม่มีการศึกษา แต่ก็มิได้โง่เขลาเบาปัญญา รู้ ว่าเรื่องที่พูดยังมีต่อ ด้วยรู้สึกแต่แรกแล้วว่า การที่ไปเสงี่ย ยมาทำดีกับตนนั้น ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ จึงพูดเสียงสั่น

“ในเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องห้ามนางหรอก ให้นางพูดไป ป้ารู้ว่า เป็นบ่าวต้องทำตามกฎระเบียบ ไม่นินทานาย แต่ถ้าเป็น คนจริง ไม่ทำร้ายใครซัว รับรองว่า ไม่มีทางบอกน้องสะใภ้ ว่าใครเป็นคนพูดให้ฟังอย่างแน่นอน

อวิ๋นหว่านชิ้นลอบยินดี รีบหุบปากเชื่อฟังนาง

เมี่ยวเอ๋อร์จึงพูดต่อ “ชุดของป้าสะใภ้กับอาจเป็นชุดใหม่ก็จริง แต่จริงๆ แล้วเป็นชุดที่ฮูหยินสั่งทำให้สาวใช้ในเรือนของ นางใส่ ถ้าป้าสะใภ้ไม่เชื่อ ตอนกลับถึงจวนไปดูก็ได้ว่า เสื้อผ้า ของสาวใช้ในเรือนหลักมีกี่ชุดที่เหมือนกับของพวกท่านเงียบ ต่างกันแค่สีสัน แต่จะโทษพวกท่านก็ไม่ได้ เพราะพวกท่านเพิ่ง มาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ย่อมไม่รู้เรื่องที่ว่า ที่นี่มีผู้สูงศักดิ์ มากมาย ชุดของสาวใช้กับของนายจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตระกูลใหญ่ๆ บางบ้าน แม้ชุดของสาวใช้สวยแค่ไหน ถ้าคนที่ ดูเป็น มองปราดเดียวก็แยกแยะออกว่าเป็นสาวใช้ เพราะ

ชุดของสาวใช้ จะเห็นช่องว่างระหว่างของเสื้อตัวในกับ เสื้อตัวนอก แต่ของนายนั้นไม่เห็น กฎเกณฑ์เช่นนี้ มีไว้เพื่อ แยกความแตกต่างของนายบ่าว และป้องกันไม่ให้บ่าวหลบหนี อะไรทำนองนี้

หวงน้ารีบก้มลงดู พอเห็นเสื้อตัวนอกกับตัวในของตน และลูกสาว มีช่องว่างเหมือนกันกับของเดี่ยวเอ๋อร์ แต่ของอวิ๋น หวานชื่นกับอาเม่าไม่มี จึงโมโหอย่างเขีดเขี้ยวเคี้ยวฟัน

มิน่า มิน่าเล่า ถึงว่า ทำไมน้องสะใภ้จึงดีขนาดนี้ ที่แท้ก็ เอาชุดสาวใช้มาให้ตนกับลูกสาวใส่นี่เอง เพราะรู้ว่าตนไม่รู้ว่า เสื้อผ้าของนายผู้สูงศักดิ์กับบ่าวนั้นต่างกัน จงใจชัดๆ!

นึกถึงก่อนเปลี่ยนชุด ที่นางกับลูกพากันชื่นชมเสื้อผ้าใน มือไม่หยุด และพอเปลี่ยนแล้ว ยังเดินอวดคนในบ้านไปทั่ว สีหน้าของหวงน้าสี่แทบจะเปลี่ยนเป็นสีเลือดหมู ที่แท้สายตา ของบ่าวในบ้านที่จ้องมองนางสองแม่ลูก ไม่ใช่ตกตะลึงใน ความสวย แต่กำลังหัวเราะเยาะอยู่แต่แรก
พอคิดเช่นนี้ หวงน้าสี่ก็เจ็บใจ กำหมัดแน่น แล้วต้องรถม้า คันข้างหน้าที่ไปเสงี่ยฮุยนั่งเขม็ง

อาจกหน้าหงอย แม้นางอายุยังน้อย ก็รู้ว่าชุดของสาวใช้ นั้นขั้วใส่ไม่ได้ สาวใช้คือใคร คือผู้ที่ถูกนายกุมชะตาชีวิตไว้ ในมือ คล้ายไก่ คล้ายวัวตัวหนึ่ง นางเป็นคนบ้านนอกก็จริง แต่จะอย่างไรก็เป็นคนชั้นกลาง จะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องดู สีหน้านาย อย่าว่าแต่นี่ อยู่นอกบ้านด้วย แต่งตัวเช่นนี้ ไม่ขาย หน้าเขาหมดหรือ จึงดึงทิ้งเสื้อผ้า พลางร้องไห้

“ข้าไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ออกไปนะ! เป็นสาวใช้ไม่ใช่หรือ

อนหวานชิ้นเท้าแล้วหันไปเอ็ดเดี่ยวเอ๋อร์ “บอกแล้วไง ว่าอย่าพูดจาพร่ำเพรื่อ ดูซิว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร วันนี้ เราออกมาเที่ยว ถ้าทุกคนหมดสนุก เจ้าจะสนุกได้อย่างไร!

แล้วจึงหันหาหวงน้าสี่ “ป้าสะใภ้อย่าเพิ่งโมโห อาจเป็น เพราะวันนี้เรารีบร้อนออกจากบ้าน แล้วหาเสื้อใหม่ไม่ได้จริงๆ ท่านแม่จึงใช้แก้ขัดไปก่อน อาจไม่ได้คิดอะไรก็เป็นได้ อย่าเพิ่ง โทษท่านแม่เลย”

หวงน้าสี่จึงพูดประชดน้องสะใภ้ไปสองสามประโยค ก่อน บอกว่าไม่มีอะไร แต่ในใจคิดว่า การล้างแค้นของน้องสะใภ้ ในครั้งนี้ เป็นการทำให้ตนอับอายขายหน้า แสดงว่าไม่คิดนับ ญาติกับตนเ

ถ้าอยู่ในบ้าน ยังมีฤทธิ์เดชของแม่สามีให้พึ่งพา แต่อยู่ นอกบ้านเช่นนี้ ขืนแตกหักกับไปเสงี่ยฮุยขึ้นมา ย่อมไม่มีใครช่วย เพราะบ่าวทุกคนล้วนเป็นคน ในจวนสกุลอน ถ้าตบกัน ตนต้องแพ้แน่นอน พอหันไปเห็นลูกชายมองตาละห้อยเหมือน อยากเที่ยวต่อ หวงน้าสี่จึงตัดสินใจข่มอารมณ์ แล้วว่า

“ช่างเถอะๆ ป้ามิได้ขาดคุณธรรมแบบแม่เจ้า รู้เรื่องแล้วก็ พอแค่นี้ ไม่ลากสาวใช้ของเจ้าให้ลงน้ำไปด้วยหรอก ยังต้อง ขอบใจนางเสียอีก

แล้วจึงหันไปปลอบลูกสาว

“กลับถึงบ้านค่อยว่ากันนะลูก อย่าเพิ่งพูดมากไป แม่เจ้า

ไม่ใช่คนโง่สักหน่อย

พอรถม้าจอด คนจากรถม้าทั้งสองคันก็ก้าวลงจากรถ

ใกล้เที่ยงแล้ว ไปเสวี่ยฮุยจึงจัดให้กินข้าวเที่ยงที่เทียนซึ่ง

เหลาก่อน

ทั้งหมดเดินขึ้นชั้นสอง ไปนั่งยังที่ที่เหมาพิเศษ เสี่ยวเอ้อร์ ส่งรายการอาหารมาให้

ไปเสวี่ยฮุยเหลือบมองสามแม่ลูก พลางคิดในใจ ปกติที่

บ้านนอกไก่โจวไม่น่าจะได้กินอะไรดีๆ ขนาดอยู่ที่จวนรองเจ้า

กรม พอเด็กทั้งสองเห็นลูกกวาดดอกหอมหมื่นลีกับขนมปัง

ธัญพืชไม่กี่ชิ้น ก็ตื่นเต้นไม่หยุดแล้ว ตอนนี้สั่งกับข้าวพื้นๆ ไม่กี่

อย่างก็น่าจะพอ จึงสั่ง

“เสี่ยวเอ้อร์ พวกเนื้อสัตว์เอา อกไก่ม้วนผักรวม กระเพาะ หมูผัดกระเทียม เซี่ยงจี้ผัดพริกหยวก หมูผัดพริกไทยดำ ส่วนพวกผักก็ อืม ผัดผักสามสหาย ผัดเต้าหู้เหลืองต้นหอม ถั่ว แขกผัดเนย แล้วก็น้ำแกงชายหนึ่ง

ขณะยื่นรายการอาหารคืนให้เสี่ยวเอ้อร์ หวงน้าสี่ก็แย่ง กลับมาดู

เฮอะ อกไก่ กระเพาะหมูอะไร นึกว่าตนไม่รู้ ของแพงๆ อย่างเนื้อวัว เนื้อแพะไม่เห็นมีสักอย่าง ยังมีผัดผักสามสหาย อะไรนั่นอีก ชื่อดูหรูหราดี แต่จริงๆ แล้วก็คือการนำมะเขือเทศ ถั่วงอก ผักกาดขาว ผักราคาถูกที่ไม่รู้จะถูกอย่างไร สามชนิด มาผัดรวมกันง่ายๆ เท่านั้นเอง

ซิ คนไม่เคยเห็นโลกภายนอก น่าอายจริงๆ ดูเสื้อผ้าที่ใส่ สิ ก็เหมาะดีนี่ รู้หนังสือหรือเปล่า ดูซิจะสั่งอะไร ไปเสงี่ยฮุย หัวเราะห์ ปล่อยนางดูไป

หวงน้าไม่รู้ว่ากับข้าวอะไรดีไม่ดีหรอก ตัวหนังสือบน รายการอาหารก็เยอะแยะไปหมด แต่ไม่เป็นไร ชี้ไปถามไป ก็ได้นี่ ถามแทนอาจกับอาเม่า

แล้วจึงสั่ง หอยเป๋าฮือน้ำแดง ครีบปลากระเบน พระ กระโดดกําแพง ซุปหูฉลาม บวกของหวาน รังนกมรกต แล้ว หันไปยิ้มกับลูกสาว

“อาจ รังนกนี่ดีนะ ได้ยินว่า คุณหนูบ้านคนใหญ่คนโตเขา กินบำรุงกัน เจ้าดูผิวพรรณของพี่เฟยเอ๋อร์กับอาสะใภ้สิ กระจ่างใสเหมือนเด็กสิบสามสิบสี่ไม่มีผิด ต้องกินกันเป็นประ จำแน่ๆ! มา เราสองแม่ลูกซัดกันคนละสองชามเป็นไง กินชามหนึ่ง เอากลับบ้านชามหนึ่ง

ไปเสงี่ยฮุยงุนงงสักพัก ดีล่ะ คำว่าเกรงใจสักนิดก็ไม่มี เพิ่งบอกว่านางบ้านนอกอยู่หลักๆ ยังรู้จักสั่งของแพงๆ พวกนี้ มากินด้วย! เห็นนางหรี่ตาทั้งสองข้างจนเป็นขีดๆ เดียว ขณะ มองดูรายงานอาหาร ไปเสงี่ยฮุยก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เทียนซึ่งเหลาแม้เป็นร้านอาหารเลิศรสเป็นหนึ่ง ไม่เป็น สองรองใครในเมืองหลวง มีแขกสูงศักดิ์เข้ามากินดื่มมากมาย ทว่าผู้ที่สั่งอาหารอลังการอย่างหวงน้า วันๆ หนึ่ง นับว่ามีไม่ มาก เสี่ยวเอ้อร์จึงยิ้มตาหยี พาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า จุดพลาง ขานรับ

“ขอรับ! หูฉลาม แล้วก็…รังนกมรกตสองชาม…ชามหนึ่ง นำกลับบ้าน…อีกชามหนึ่งทานที่นี่

ไปเสงี่ยฮุยเห็นหวงน้าสี่สั่งอาหารน้ำไหลไฟดับ ก็ขมวดคิ้ว

“พี่สะ…”

หวงน้ารีบพลิกรายการอาหารต่อ ไม่ให้นางพูด ยิ้มแล้ว ว่า “พี่รู้ว่าน้องสะใภ้น้ำใจงาม เห็นว่าพี่นานๆ มาที จึงกังวลไป ทุกเรื่อง อยากให้เรากินดื่มแต่ของดีๆ ไม่เป็นไร ตอนพี่ยังเด็ก เคยตามพี่ชายไปเรียนหนังสือตามบ้าน จึงรู้หนังสืออยู่บ้าง รายการอาหารก็พอจะอ่านออก พี่สั่งเองได้

ไปเสงี่ยฮุยจุก พอเห็นเสี่ยวเอ้อร์มองมา ไหนเลยจะพูด อะไรได้ นางมาทานอาหารที่เทียนซึ่งเหลาอยู่หลายครั้ง ก็มัก สั่งแต่อาหารจานเด็ด เสี่ยวเอ้อร์ก็รู้ว่านางคือฮูหยินจวนรองเจ้ากกรม

ถ้าพูดปราม ก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าฮูหยินจวนรองเจ้า กรมตระหนี่ถี่เหนียว แต่พอเห็นว่าหวงน้าไม่

บันยะบันยัง ขืนไม่ปราม แม้อุ้งตีนหมีก็อาจสั่งได้ ในที่สุด จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แย่งรายการอาหารกลับขณะที่หวงน้า ไม่ทันระวัง ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า

“พี่สะใภ้ อาหารมากพอแล้ว พ่อครัวต้องใช้เวลาในการ ทำ ถ้านานเกินไป จะกินเวลาเที่ยวของเรา ที่ที่เราอยากเที่ยว อาจไม่ได้เที่ยว กินก่อนเถิด ถ้าไม่พอ ค่อยสั่งเพิ่ม

หวงน้าสี่แค่นเสียงเย็นชาพลางนึกในใจ เฮอะ อยาก ลองดีกับข้าไม่ใช่


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ