ตอนที่ 73-1 สถานะอนุคนโปรดและ ชะตากรรม
อนหว่านเฟยจำได้ว่า สินสอดที่กองไว้ในชานเรือนหลัก เดิมที วางไว้ในเรือนตน รอจนถึงวันเข้าจวนโหวในอีกไม่กี่วันข้าง หน้า ค่อยให้บ่าวส่งล่วงหน้าไปก่อน แต่ทำไมตอนนี้ถึงถูกคน แบกมาไว้ที่เรือนหลักเล่า
ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ก็ยังตกไม่ ยอมหยุด ของที่กองไว้หลายต่อหลายลังด้านในบรรจุผ้าแพร ผ้าไหมนุ่มนิ่มเนื้อเนียนละเอียด และผ้าซาตินเนื้อดีไว้ โดนน้ำ ไม่ได้เป็นอันขาด!
นางตาแดง ใจร้อนดั่งไฟ ผลักหวงน้าออก คิดเข้าไป ตรวจดู พลางว่า
“เหลวไหล! ฉวยโอกาสตอนขาไม่อยู่ ขโมยของในห้อง ข้า บ่าวคนไหนอวดดี ทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ขออนุญาตขา
เช่นนี้ หวงน้าสี่ก็ไม่เกรงใจอีก ส่งสายตาให้มอมอสองคน เตรียมเข้ามากุมตัวอวิ๋นหว่านเฟยกลับห้อง
“คุณหนูรอง ผู้อาวุโสมาแล้ว ท่านมีเหตุผลของท่าน คุณ หนูอย่าเพิ่งร้อนใจไป
จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร! แหงล่ะ! ไม่ใช่สินสอดของพวกเจ้านี่! อวิ๋นหว่านเฟยกระทืบเท้า แต่พอหันมอง ก็เห็นรอย ย่นบนใบหน้าชราขององฮูหยินอย่างแจ่มชัด แววตานางดุดัน โกรธเกรี้ยว เห็นชัดว่าไม่พอใจคำด่าทอของนางเมื่อครู่
อนหว่านเฟยขยับปาก กลืนคำพูดลงไป แล้วถอยหลัง สองสามก้าว แต่ใจยังไม่ยอม จึงกัดริมฝีปากเรียก
“ท่านย่า”
“หึ คุณหนูรองยังรู้จักเรียกข้าว่าท่านย่า? มิกล้าๆ ทั้งๆ ที่ คุณหนูรองเห็นข้ามา ก็ยังถามออกมาได้ว่า บ่าวคนไหนอวดดี กำลังค่าข้ารี”
เมื่อวานช่วงอากาศเย็นลงกะทันหันและฝนตกไม่หยุด ถงฮูหยินยืนอยู่ในเรือนครึ่งค่อนวัน เช้าวันนี้พอตื่นนอน โรค ข้อเข่าเสื่อมก็กำเริบ ปวดเข่าไปหมด เวลาเดินเหินต้องใช้ไม้ เท้าช่วย ตอนนี้จึงใช้ไม้เท้ากระแทกพื้น เสียงดัง ก๊ก เปี่ยม พลังเป็นอย่างยิ่ง
ยามปกติ ถงฮูหยินจะเรียกหลานของตนว่าหลาน หรือไม่ ก็ชื่อตามด้วยเออร์ วันนี้พอมาถึง กลับเรียกคุณหนูรอง ทิ้ง ระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด
อนหว่านเฟยหน้าเปลี่ยนสี เสียงเริ่มสั่น “ท่านย่า ท่าน เอาอะไรมาพูด เป็นท่านย่าหรือที่บอกให้บ่าวขนสินสอดของ หลานออกมา”
“สินสอด?” ถงฮูหยินแค่นเสียงหัวเราะ “ยังมีหน้ามาพูดอีก ไปเป็นอนุบ้านคนอื่น มีแต่ทำให้ที่บ้านเสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากไม่มีอะไรให้ที่บ้านแล้ว ยังแบมือขอของจากที่บ้านอีก และข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า อนุคนไหนในใต้หล้ามีสินสอด ด้วย!”
“แล้วท่านย่าจะเอาไง” อวิ๋นหว่านเฟยพยายามข่มอารมณ์
นางเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว กับย่าที่ไม่เคยรู้จักกัน มาก่อน ไหนเลยจะมีความผูกพันด้วย ตอนนี้พอรู้ว่าลงฮูหยิน เป็นคนบอกให้บ่าวขนสินสมรสทั้งหมดออกจากห้องตน ก็ อยากด่าใส่นางสักชุด
ถงฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรียวยาวขยับ จากการ พยุงของสะใภ้ใหญ่ นางเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ข้าง หน้าต่างตัวหนึ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะออกเรือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่แม่ เจ้ากลับมีสภาพเช่นนี้ จะดูแลหลังบ้านได้อย่างไร ข้ากับพี่สาว เจ้าจึงต้องช่วยกันดูแลชั่วคราว เช้าวันนี้ ชิ้นเอ๋อร์ได้นำรายการ สินสอดของเจ้ามาให้ข้าดู หลังจากข้าคิดคำนวณสินสมรส แล้ว ก็สะดุ้งตกใจ นี่ถ้าไม่ดู ก็ไม่รู้เลยว่า มันมากจนเกินไป ไม่ เหมาะสม จึงให้บ่าวยกออกมาก่อน รอจนข้าตรวจเสร็จ ค่อย จัดให้เจ้าใหม่ว่า สิ่งไหนควรเอาไป สิ่งไหนไม่ควรเอาไป
“ท่านย่า ทำไมถึงทำเช่นนี้ ท่านแม่เตรียมให้ข้าเรียบร้อย แล้ว…” เนื้อที่เข้าปากอวิ๋นหว่านเฟยแล้ว เหตุผลอะไรที่นาง ต้องคายออกมาอีก หญิงชราผู้นี้ยุ่มย่ามจนเกินไปจริงๆ
ไป๋เสวี่ยฮุยรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเป็นปฏิปักษ์กับถุง หยิน จึงได้แต่อดทนกับความเจ็บปวดขณะลุกจากเตียงแล้ว พยายามยืนหยัดไว้ พลางว่า
“ท่านแม่ ท่านพี่เคยบอกว่า ไม่อนุญาตให้เฟยเอ๋อร์เอา ของไปมากมาย ของส่วนใหญ่จึงเป็นของสะสมส่วนตัวของข้า ในหลายปีมานี้ พวกผ้าผ่อนและเครื่องประดับ ไม่มีของของ ท่านพี่หรอก…
“ตลก” ถึงฮูหยินตัดบท ดวงตาคมกริบดุจใบมีดจ้องมอง จนไปเสงี่ยฮุยเจ็บปวดไปทั้งตัว หลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น “เจ้า เป็นแค่เมีย มีสมบัติส่วนตัวด้วยหรือ มิใช่ลูกชายข้าให้เจ้าใน ทุกๆ วันหรอกหรือ! ยังมีน้ำหน้ามาพูดอีก!
ไปเสวยยกมือแน่น นี่หญิงชรากำลังจะยึดของของตน ไปดื้อๆ แบบนี้หรือ นี่เป็นของที่ตนสะสมจากน้ำพักน้ำแรงมา ร่วมสิบปี เพื่อตนและลูกสาวจะได้ใช้เสวยสุขในวันข้างหน้า หรือตอนนี้ต้องมาเสียไปเปล่าๆ เสียเปรียบให้กับลงฮูหยิน แค้นก็ได้แต่แค้น ตอนนี้ไม่มีแรงโต้ตอบใดๆ จัดการเรื่องอะไร ก็ไม่ได้ ไปเสวี่ยฮุยรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมา ก่อน โดยไม่คาดคิดว่า ยังมีเรื่องอัปยศที่ใหญ่กว่ารอนางอยู่
“เข้ามา….” พอหวงน้าสี่เห็นสายตาที่หญิงชราส่งให้ ก็หัน ไปเรียกคนที่อยู่นอกม่าน
มอมอวัยกลางคนร่างบึกบึนสองคนยกแคร่หามเข้ามา วางไว้ข้างเตียง ต้องการจะหามไปเสวี่ยฮุย
“นี่จะทำอะไรน่ะ…” ไปเสงี่ยฮุยยกมือทั้งสองข้างขึ้น พลาง ถอยหลัง ดวงตาเบิกกว้าง
“เมื่อวานเพราะเกิดเรื่องฉุกละหุก คิดรักษาเด็กในท้อง ของเจ้าไว้ จึงพยุงเจ้ามาที่เรือนหลัก เจ้ายังนึกว่าตัวเองมี คุณสมบัติที่จะอยู่ในเรือนหลักอีกหรือ” ถึงฮูหยินไม่พูดจา อ้อมค้อมอีก
“เมื่อเลือดเจ้าหยุดไหลแล้ว ก็ย้ายไปอยู่ในห้องเล็กข้าง ห้องบูชาบรรพชนก่อนก็แล้วกัน เนื่องจากเจ้ารอง พอเห็นเจ้า อยู่ในเรือนหลัก ก็เข้ามาพักผ่อนไม่ได้ ซึ่งจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ไปเรื่อยๆ ได้ที่ไหนกัน เขาต้องไปทำงานแต่เช้าทุกวัน ถ้าพัก ผ่อนไม่ดี สมองก็ไม่แจ่มใส อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ถ้าไม่ระวังเพียง นิดเดียว ทำให้ทรงพิโรธขึ้นมา ก็ต้องเสียตำแหน่งหน้าที่การ งานไปและไม่ได้เป็นคนโปรดอีก!”
ไปเสวี่ยฮุยสั่นศีรษะพลางพึมพำ “ไม่ ข้าเป็นนายหญิงของ บ้าน เป็นฮูหยินรองเจ้ากรมฝ่ายซ้าย….ข้าเพิ่งแท้งลูก พวกเจ้า จะทำกับข้าอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ไม่ได้…ท่านพี่ ท่านพี่ เรื่องนี้หรือไม่ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่จะปฏิบัติกับข้าเช่นนี้
พูดยังไม่ทันขาดคำ มอมอคนหนึ่งก็ช้อนเข้าที่รักแร้นาง อีกคนก็จับเท้านาง แล้วยกขึ้นวางบนแคร่หาม
แต่เพราะนางดิ้นไม่หยุด มอมอทั้งสองก็ใช่ว่ามีแรงมาก จะบอกว่าวางนางลง มีบอกว่าปล่อย แคร่หามก็ทำขึ้นอย่าง ง่ายๆ เอาปล้องไม้ไผ่มามัดรวมกันเป็นแพ กระทั่งที่นอนยัดนุ่นก็ยังมิได้ปูไว้ให้
เสียง ก๊ก ผู้หญิงแท้งลูกที่แผลยังไม่ปิดสนิทดี ไหนเลย จะทนแรงกระแทกเช่นนี้ไหว โลหิตไหลออกมาอีกกระโปรงแดง ฉานไปหมด นางพลันเจ็บปวดจนสลบไสลไป
“ผู้อาวุโส นี่” มือของมอมอคนหนึ่งเลอะไปด้วยโลหิต เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงหันไปมองลงฮูหยิน
ถึงฮูหยินขมวดคิ้ว “นิดเดียวเอง เมื่อวานเลือดมากขนาด นั้นก็ยังไม่เห็นตายนี่ ดวงแข็งอยู่! หามออกไปเถอะ!
มอมอทั้งสองยกแคร่หามขึ้นอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง หามฮูหยินที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ออกจากเรือน หลักไป
พอไปเสงี่ยฮุยไปแล้ว ถึงฮูหยินก็ออกคำสั่ง “แยกประเภท ลังที่อยู่ตรงชานเรือนออก ลังใหญ่ให้ยกไปไว้ในห้องเก็บของ ข้างเรือนหลัก ส่วนลังเล็กที่ใส่เครื่องประดับ อัญมณี และของ เก่า ให้นำไปไว้ในห้องหนังสือกับห้องนอนของนายท่าน
กลุ่มคนทำตามคำสั่ง เดินยกของเข้าออกไม่หยุด
ของที่เดิมที่เป็นสมบัติส่วนตัวของสองแม่ลูก กลายเป็น สมบัติสาธารณะไปในชั่วพริบตา
อวิ๋นหว่านเฟยยืนจ้องเป็นตอไม้อยู่แต่แรก ย่าท่านนี้ ร้า ยกาจจริงๆ หรือเป็นเพราะอยู่บ้านนอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก ภายนอกมาสิบกว่าปี พอมาถึง ก็ประหัตประหารเสีย ใหญ่โตเสพติดการจัดการผู้คนไปแล้ว
ตอนนางถูกขังอยู่ในห้องนั้น รู้ดีว่ารสชาติของความทุกข์ ทรมานเป็นเช่นไร ไม่รู้กลางวันกลางคืน เพราะท่านพ่อปิดตาย ประตูหน้าต่าง ด้วยเกรงว่าตนจะเอาของทุ่มทลาย อีกทั้งยัง ล่ามโซ่ตนไว้ข้างเตียง…พูดง่ายๆ ก็คือ อเนจอนาถจนดูไม่ได้ อยู่ก็เหมือนตาย แต่อย่างไรนางยังสาว ร่างกายแข็งแรง แต่ สภาพเช่นนี้ของท่านแม่…ไปอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กๆ ข้างห้อง บูชาบรรพชนแบบนั้น จะทนได้สักกี่วันกัน
พออนหว่านเฟยเห็นถึงฮูหยินและกลุ่มคนจัดการทุก อย่างเสร็จสิ้น ก็ตื่นจากความงงงันที่สูญเสียทรัพย์สมบัติไป รีบ ก้าวเข้าจับแขนเสื้อของหญิงชราไว้ “ท่านย่า…
“เสียดายวันแรกที่พบหน้ากัน คุณหนูรองยังโอ้อวดกับทุก คนอยู่เลยว่าเป็นกุลสตรี แล้วตอนนี้เหตุใดถึงลงมือลงไม้กับผู้ อาวุโสท่านย่าเล่า” หวงน้าสี่ใช้แรงที่ไม่หนักไม่เบา ฝีมือของอ วันหว่านเฟยลงไป
อวิ๋นหว่านเฟยอยากจับป้าสะใภ้นางนี้มัดแล้วโยนลง บ่อน้ำแทบไม่ทัน ทว่าก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน นางในตอนนี้ ไม่มีมารดาคอยดูแลแล้ว ถ้าตบตีกันขึ้นมา ย่อมเสียเปรียบ และทำให้คนในเรือนผู้หญิงหัวเราะเยาะอีก จึงกดเสียงให้ต่ำลง พลางพูดเสียงสั่น
“ท่านย่า…ท่านคิดจะทำอย่างไรกับท่านแม่ข้า นางเองก็ เลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านไม่ดูผลงาน ก็ควรดูที่ความทุ่มเทด้วย
“โอ้ ขายังนึกว่าที่คุณหนูรองจับข้าไว้นั้น เพราะคิดขอ สินสอดคืน นึกไม่ถึงว่ายังมีความกตัญญูอยู่บ้าง
อุตส่าห์มาขอร้องให้แม่ตัวเอง แต่เมื่อครู่ทำไมถึงไม่ขอล่ะ ตอนนี้คนก็ไปจนไม่เห็นเงาแล้ว เพิ่งมาร้องขอ นิสัยเหมือนแม่ เจ้าไม่มีผิดจริงๆ ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากไม่ตรงกับใจ
ถึงฮูหยินไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย น้ำเสียงเน้นหนักไปที่ สองประโยคสุดท้ายโดยเฉพาะ ว่าแล้วก็ปัดแขนเสื้อ เดินจาก ไป ปล่อยให้อวิ๋นหว่านเฟยยืนตัวสั่นอยู่กับที่
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ