ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่ 79-2 ท่านสามไล่คน



ตอนที่ 79-2 ท่านสามไล่คน

คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่รัศมีจับมากสุดคนหนึ่ง เมื่อครู่พอเห็นทรง ไม่เดินเข้าไปทักทายคุณหนูผู้นั้น ก็ใช้พัดด้ามทองลายทิวทัศน์ ในมือตีเข้าที่ไหล่ของเขา แล้วว่า

“คุณชายรองรู้จักนางด้วยหรือ ถ้ารู้จักก็อย่าปิดบังพวก เรานา”

มู่หรงไม่ปิดพัดออกอย่างเย็นชา แล้วไม่พูดไม่จา

พอหนุ่มๆ ผู้สูงศักดิ์เห็นว่า อยู่ดีๆ เขาก็หน้าเครียดขึ้นมา จึงหันมามองหน้ากัน

หลิวซื้อจื่อ แห่งจวนลั่วหยางป๋อ ผู้เคยเข้าร่วมงานเลี้ยง แซยิดของฮูหยินท่านโหวอาวุโสเมื่อหลายเดือนก่อน พอเห็น สีหน้าของมู่หรงไก่ ก็พยายามนึกย้อนดู ค่อยกระจ่าง

“ไอ้หยา หรือนางก็คือคุณหนูใหญ่บ้านสกุลอวิ๋น คล้ายกัน หน้าอยู่บ้าง!”

“คุณหนูใหญ่บ้านสกุลอวิ๋น? ที่แต่เดิมเคยหมั้นปากเปล่า

กับคุณชายรอง แล้วถอนหมั้นในเวลาต่อมาน่ะหรือ ใช่คุณหนู จวนรองเจ้ากรมคนนั้น ที่น้องสาวแต่งไปเป็นอนุคนโปรดของ จวนโหวหรือเปล่า”

“ใช่ๆ นั่นล่ะ พอพูดถึงข้าก็นึกขึ้นได้! หึๆ” หนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่ใช้พัดไหล่มแรงไม่พูดหยอกล้อ

“มิน่าเล่าถึงได้หน้าดำ ที่แท้ก็ทำสาวงามหลุดมือไป นั่นเอง! ความรู้สึกแบบนั้นน่ะ ผู้ชายอย่างเราๆ เข้าใจดี แต่ ในเมื่อคุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่เลว ถึงน้องสาวนางจะสวยไม่เท่า ก็ ไม่ถึงกับไม่สวยหรอก เอาเถอะ ใช่ว่าใครๆ มีเมียเยอะแล้วจะ มีความสุข มีคนเดียวก็ไม่เลวแล้วคุณชายรอง!

พอพูดถึงคู่หมั้นเก่า มู่หรงไปก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ “พูดมาก อยู่ได้!”

หลายคนสบตากัน หัวเราะหึๆ แล้วไม่พูดถึงอีก การ หยอกล้อเช่นนี้ ทำให้พวกเขายิ่งสนใจคุณหนูสกุลอวิ๋น จึงไม่มี เวลาพูดมากกับมู่ทรงไท่ ได้แต่จับตามอง

และในตอนนี้เอง หญิงสาวนางหนึ่งท่าทางคล้ายนางใน ได้ก้าวเข้าไปหาอวิ๋นหว่านใน ถอนสายบัว แล้วถาม “คุณหนูอ วันจากบ้านท่านรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ใช่หรือไม่

“รองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้ายอวิ๋นเสวียนนั่งเป็นบิดาข้า เอง” อวิ๋นหวานชื่นตอบ

ดวงตาสดใสร่าเริง โดนใจคนยิ่ง นางในสะท้อนใจ วันนี้ มีคุณหนูมากมายมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่มาถึงแล้วก็มีอยู่ ไม่น้อย แต่บุคลิกของลูกสาวท่านรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายไม่ด้อย ไปกว่าพวกคุณหนูบ้านท่านสมุหนายกอ หรือคุณหนูบ้านท่าน มหาบัณฑิตเลย จึงอดไม่ได้ที่จะมีท่าทีอ่อนโยนด้วย พลางผาย มือนําสายตา
“คุณหนูบ้านท่านขุนนางมากันหลายคนแล้ว กำลังอยู่บน ชั้นสอง อีกสักครู่ชั้นล่างจะมีแต่บุรุษ เกรงว่าคุณหนูอนอาจไม่ สะดวก เชิญตามข้าขึ้นไปชั้นบน

อนหวานชิ้นเดินตามนางในขึ้นไป โดยมีเมี่ยวเอ๋อร์กับอ วันหว่านลงเดินอยู่ด้านหลัง

พอชายหนุ่มชั้นสูงไม่เห็นเงาของสาวงาม ต่างก็ยืนกุมข้อ มือ มองตามขึ้นไปจนถึงทางเลี้ยวที่ชั้นสอง พอไม่เห็นเงาร่าง สาวงามแล้ว ค่อยแยกย้ายกันไป

บนชั้นสอง หญิงสาวชั้นสูงหลายคนยืนกระจัดกระจายกัน

ขณะที่อนหวานชื่นยังไม่เห็นคนคุ้นเคย ก็มีคนก้าวเข้ามาอยู่

จับไหล่นางจากด้านหลังพลางหัวเราะคิกคัก

“ชินเอ๋อร์!”

เสียงนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเงินจื่อหลิง

สกุลเงินแม้ไม่ถือว่าเป็นสกุลสูงศักดิ์ดั้งเดิม แต่เพราะมี สนมเฉิน ตั้งแต่เฉินจื่อหลิงอายุสิบสอง ก็ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง เล็กๆ เช่นนี้ทุกปี อวิ๋นหว่านชิ้นก็รู้อยู่แล้วว่านางต้องมา จึงไม่ แปลกใจ ยิ้มพลางจับมือนางไว้ แล้วทั้งสองก็เดินไปยืนอีกด้าน หนึ่ง

พอเฉินจื่อหลิงเห็นอวิ๋นหว่านชื่นมาร่วมงานเลี้ยง ในวันนี้ด้วย ก็ดีใจมาก โดยทุกปีที่นางมางาน ก็เหมือนมาทำภารกิจ ให้เสร็จๆ ไปมากกว่า เพื่อจะแย่ ปีนี้มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วย ก็รู้สึก สุขใจยิ่ง

อนหวานชิ้นเห็นเงินจื่อหลิงสวมชุดกระโปรงผ้าทอลาย เมฆพื้นน้ำเงิน และแต่งหน้าเข้ม ดูสวยอ่อนโยนกว่าวันธรรมดา มาก น่าจะถูกคนที่บ้านบีบบังคับมา เพียงแต่หน้าตาที่ดูองอาจ กล้าหาญ คิ้วเข้มตาโตของนาง ไม่เข้ากันกับชุดที่สวมใส่ จึง หัวเราะพลางแซวไปสองคำ ขณะเดียวกันนั้น ก็มีคนเดินเข้ามา

อโหรวจวงกับลสัย คนหนึ่งอยู่หน้า อีกคนอยู่หลัง กำลังปลีกตัวจากการถูกห้อมล้อม โดยกลุ่มคนดังในเมืองหลวง ที่มีสถานะต่ำต้อยกว่า แล้วเดินด้วยท่าทีสง่างาม เข้ามาหาอ วินหวานชิ้น

สมกับที่เป็นบุตรของสมุหนายก พอมีชื่อเสียง ก็เสมือน คนของพระสนมหรือฮองเฮาไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ ล้วนเป็นดาวล้อมเดือน ถูกผู้คนห้อมล้อมไว้ตรงกลาง

อนหวานชิ้นสำรวจมองการแต่งกายในวันนี้ของอวี้โหรว จวง นางสวมชุดกระโปรงแดงส้ม เข้ากับชุดเครื่องประดับหยก เลอค่าบนศีรษะ สะดุดตายิ่ง ผมก็มวยได้ซับซ้อนสวยงาม น่า จะใช้ผมปลอมหลายชั้นอยู่

การแต่งหน้าก็แต่งได้อย่างจัดจ้านมีสีสัน คิ้วโค้งปลาย

เป็นธรรมชาติดุจต้นหลิว ริมฝีปากแดงเข้มแวววาว แต่ไม่ ฉูดฉาดจนไร้รสนิยม
โดยสีแดงตัดกับสีเขียว ที่หลายคนรู้สึกว่าไร้รสนิยม แต่

เห็นชัดว่า อวี้โหรวจวงออกงานสังคมเช่นนี้บ่อยตั้งแต่เล็กจน

โต รู้อยู่แล้วว่าต้องแต่งอย่างไรถึงจะเข้ากับตนเอง จึงจัดวาง

ทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ แต่ละก้าวเดินที่เห็น ก็เหมือนฝึกฝน

มาแล้วหลายครั้ง สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ค่อนข้างมีลักษณะของ

ดอกไม้ประจำแคว้นอย่างดอกโบตั๋นอยู่บ้าง

ทุกย่างก้าวของอวี้โหรวจวง แทบจะถูกเหล่าคุณหนูที่อยู่ ด้านหลังชมเชยไม่ขาดปาก โดยยกให้นางเป็นมาตรฐานการ วางตัว เป็นแบบอย่างที่ดี

จากการพูดคุยกันของเหล่าคุณหนู ทำให้รู้ว่าอนหว่าน ชิ้นที่เพิ่งมาถึงเป็นลูกสาวบ้านไหน เมื่อเห็นว่าเป็นคุณหนูบ้าน ขุนนางชั้นสาม ก็ไม่ให้ความสนใจ และไม่คิดว่าจะเข้าไปพูด คุยด้วย แต่พอเห็นอวี้โหรวจวงเข้าไปทักทาย พวกนางก็รู้สึก แปลกใจอยู่บ้าง

คุณหนูบ้านท่านสมุหนายกอสถานะสูงส่ง บรรพชนหญิง ในบ้านหลายคนล้วนได้เป็นฮองเฮาแห่งต้าเซวียน ตัวนางเองก็ ถูกกำหนดให้เป็นสะใภ้จ้าวในอนาคต จากการที่สองสามปีมา นี้ อวี้เหวินยิ่งมีผลงานดีเด่น ในราชสำนักและเป็นที่โปรดปราน ทำให้ความถี่ในการเข้าออกวังหลวงและบารมีตระกูลของอ โหรวจวง มีมากกว่าท่านหญิงทั่วไปเสียอีก เมื่อมีอนาคตที่ กว้างไกลเรื่อยมา จึงมีก็แต่ผู้อื่นเข้ามาห้อมล้อมนาง นางไหน เลยจะเดินเข้าหาผู้อื่นก่อน

คุณหนูแต่ละคนจึงหูผึ่ง อยากได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไรกันคนกล้าขนาดเข้ายืนล้อมกันเลยทีเดียว

พออวี้โหรวจเห็นอวิ๋นหวานชื่นงานเลี้ยงสังสรรค์ ยัง

นึกว่าตนเองตาฝาด จึงเพ่งอีกครั้ง เมื่อว่าเป็นนาง จริงๆ หน้าชา ด้วยพอเดาได้ว่า เหตุใดนางถึงมาได้

และพอเห็นแต่งตัวของนาง อวี้เก็บ ตาไม่เมื่อคิดและโลกแคบ ครั้งกัน แม้ไม่ว่านางเสีย มารยาท แต่บุคลิกภาพกันหลายกับคนเข้าบ่อยอย่างตน ตอนไปแล้ว ทั้งๆ ไม่ค่อยได้โลกกว้าง ดวงตากลับสงบนิ่ง มาก ราวกับชีวิตมาหลายสิบแล้วอย่างไรอย่างนั้น แหงสามารถตกเชื้อพระวงศ์ศักดิ์ได้ ย่อมต้องความ สามารถอยู่บ้าง

อนหวานนี่ทรงไก่ภาคผู้หญิง ถ้ามาหาเรื่องไม่ สบายใจแน่ ถ้าเป็นชาติก่อน ตนถูกฮองเฮาแห่งยุคเกลียดชัง เกรงว่าได้แต่ร้องยอมรับชะตากรรม แต่ชาตินี้ ทุกคนแทบ จะเดินอยู่ด้วยกันเส้นทางนี้ นาง อวี้โหรวจวงอำนาจสูงสุด ตนไม่ใช่ไม้หรือก้อนหินใครจะเหยียบย่ำได้

แล้วอวี้โหรวจวงก็เชิดหน้าพูด “แท้ออื่นได้เข้า ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในนั้นสูงมาก ที่ได้รับเชิญ ถ้าใช่ลูกท่านหลานเธอ เป็นคุณหนูตระกูลชื่อดังเสียอีก

น้ำเสียงฟังดูอ่อนน้อม ไม่เสียมารยาท ทว่าแต่ละคำล้วน เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจและดูหมิ่น

เดี๋ยวเอ๋อร์ยังจำฝังใจ เรื่องที่นางโลมจากเรือสำราญมา ก่อกวนที่จวน แล้วเกือบทำให้คุณหนูเสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้ง ยังถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่นาน จึงรู้สึกโกรธ แต่ก็ท่องเอาไว้ว่า ที่นี่คือวังหลวง จะทำให้คุณหนูขายหน้าไม่ได้ มิเช่นนั้น จาก นิสัยของนาง ต่อให้เป็นคุณหนูบ้านสมุหนายกหรือลูกสาว ขอทาน นางก็ต้องเดินเข้าไปเท้าสะเอวด่าว่าแต่แรกแล้ว ตอนนี้ พอได้ยินคำพูดดูหมิ่นเช่นนี้ จึงพยายามข่มกลั้น ก่อนพูดทีละ ค่า

“คุณหนู คุณหนูของบ่าวเป็นลูกสาวของรองเจ้ากรม กลาโหมฝ่ายซ้าย นายท่านของบ่าวก็เป็นขุนนางที่ได้รับความ ไว้วางใจเป็นอย่างดีจากฝ่าบาทเช่นกัน และถ้านายท่านได้รับ การแต่งตั้งเป็นเจ้ากรม ก็จะได้เป็นขุนนางชั้นสอง ซึ่งไม่ถือว่า เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยอะไร

“นี่ก็ต้องดูว่าเปรียบเทียบกันอย่างไร” อวี้โหรวจวงยิ้ม บางๆ

“ดอกไม้ป่าในทะเลทรายที่แห้งแล้งดอกหนึ่ง ถือว่าสวย โด่เด่อยู่ดอกเดียว แต่พอมาอยู่ในกลุ่มดอกโบตั๋น ดอกไม้ที่มี หญ้าหางสุนัขหนุนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นขุนนางชั้นสูง แค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เมื่อไม่มีสายเลือดของคนชั้นสูง ห่างกันแค่คืบ ก็เหมือนห่างกันพัน อย่างไรก็ไล่ไม่ทันหรอก

ลวี่สุ่ยมองเมี่ยวเอ๋อร์อย่างสะใจ ก่อนรับลูกจากคุณหนู บ้านตนต่อ

“คุณหนูเจ้าคะ มาตรฐานงานเลี้ยงสังสรรค์ในหลายปีที่ ผ่านมา ยิ่งมายิ่งตกต่ำจริงๆ คนอะไรก็เข้ามาได้ทั้งนั้น อย่างไร พองานเลี้ยงครั้งนี้จบลง กลับจวนไปบอกนายท่านสักหน่อยว่า

ปีหน้าเราไม่เข้าร่วมด้วยแล้ว

พอคุณหนูหลายคนที่อยู่รอบๆ ได้ยิน ค่อยรู้ว่า ที่แท้อ โหรวจวงมิได้มาผูกมิตรกับอวิ๋นหวานชื่น แต่คิดว่าอวิ๋นหว่าน ชิ้นคือผู้ที่ฉุดให้งานเลี้ยงเสียระดับไป คิดๆ ดู ที่อโหรวจวง พูดมาก็มีเหตุผล แต่ละคนจึงมองหน้าอนหวานชื่น พลางเพิ่ม การดูหมิ่นเข้าไปด้วย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ