ตอนที่ 71-1
ตอนที่ 71-1 ตกเลือด
ต้นฤดูใบไม้ร่วง กลางวันยาวกว่ากลางคืน
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ ท้องฟ้าจึงมืดไม่สนิท ดวงจันทร์ก็ไม่ ปรากฏให้เห็น
เมฆแดงกองพะเนิน ลอยไปซ้อนทับกันที่ขอบฟ้า สีแดงดำ ปกคลุมไปทั่ว อากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด เป็น สัญญาณบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตก
เรือนภายในจวนรองเจ้ากรม ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ตลอดจนระเบียงทางเดิน สว่างไสวไปด้วยแสงโคมใน อัตราส่วนที่เท่าๆ กัน โดยแสงสีส้มตรงทางเดิน ให้ความรู้สึก เหมือนหิ่งห้อยเริงระบำ
หวงน้าสี่ยืนอยู่หน้าเรือนหลัก ใบหน้าปรากฏความ เคร่งเครียดและกดดัน พอๆ กับสภาพอากาศ มือซ้ายจูงอาเม่า มือขวาจูงอา แต่งตัวเรียบร้อยหมดจด ใส่เสื้อผ้าตัวเดียวกัน กับวันแรกที่มาถึง ข้างเท้ามีห่อผ้าขนาดใหญ่สองพ่อ คล้าย สัมภาระ
นอกประตูวงเดือน เดี๋ยวเอ๋อร์กับซูซย่ายืนเป็นเพื่อนอน หว่านชิ้นในระยะไม่ไกล ทั้งสามกำลังมองดูเหตุการณ์ในเรือนหลัก
ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ เสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกล อากาศอบอ้าว มากขึ้น แต่ฝนกลับยังดื้อดึง ไม่ตกลงมาเสียที ทั่วเรือนจึง อบอวลไปด้วยท่วงทำนองอันตึงเครียดก่อนพายุจะมาถึง
“คุณหนูใหญ่ พี่สะใภ้ฮูหยินจะขอตัวกลับก่อนหรือเจ้าคะ เดี๋ยวเอ๋อร์สงสัย “นางไม่เหมือนคนที่พูดจากันได้ง่ายๆ แบบนี้
“แต่แบบนี้ก็เป็นไปตามเจตนาของฮูหยินมิใช่หรือ” ซูซย่า ขมวดคิ้ว
หวงน้าสีย่อมมิใช่ผู้ที่ชักธงขาวยอมแพ้ง่ายๆ
อนหวานชิ้นแหงนหน้ามองท้องฟ้า ป้าสะใภ้หาฤกษ์ยาม ได้เหมาะเจาะจริงๆ คืนนี้ แม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างนาง บรรยากาศเช่นนี้ สุดยอดแล้ว
คืนนี้ไม่เพียงเป็นโอกาสทองของหวงน้า ยังเป็นโอกาส
ทองของอวิ๋นหวานชื่นด้วย
“เดี๋ยวเอ๋อร์ ครั้งก่อนที่ข้าวานให้ญาติผู้พี่ช่วยหาหลักฐาน เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” อวิ๋นหว่านในหันไปถามเสียงต่ำ
“เจ้าค่ะ เมื่อวานตอนออกไปซื้อของ บ่าวแอบแวะไปที่ บ้านสกุลส คุณชายญาติผู้พี่บอกบ่าวว่าเรียบร้อยแล้ว ทั้ง พยานและหลักฐาน โดยเก็บรักษาไว้ชั่วคราวที่บ้านหลังหนึ่งใน ซอยหอมหมื่นลี้ทางตะวันออก คุณหนูใหญ่ต้องการใช้เมื่อไหร่ก็ไปนำมาได้ทุกเมื่อ เมี่ยวเอ๋อร์ตอบเสียงเบา
มาก
อนหวานชื่นจึงว่า “เดี๋ยวเอ๋อร์ เจ้าปราดเปรียวว่องไว ตอนนี้ไปนำหลักฐานและเชิญพยานมาก่อน
“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัว เกี่ยวเอ๋อร์ทำอะไรรวดเร็ว ทันกาย จากไปในทันที
ในเรือนหลัก อวิ๋นเสวียนนั่งเพิ่งทานมื้อค่ำเสร็จ และกำลัง
พูดคุยอยู่กับไปเสงี่ยฮุย ซึ่งพอนางรู้ว่าพ่อได
ไหลได้ส่งจดหมายไปบอกพี่ใหญ่ที่ไม่โจวตามที่ท่านพี่สั่ง เรียบร้อย ก็พอใจยิ่ง
ระยะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกังวลเรื่องปรนนิบัติแม่สามี หรือ ไม่พอใจในตัวพี่สะใภ้ จึงรู้สึกพะอืดพะอม กินไม่ค่อยลง เหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ แต่เมื่อครู่พอได้ข่าวดี นางก็รู้สึก หิวขึ้นมา กระทั่งทานข้าวเย็นไปสองชาม รอให้หวงน้านั่น ไสหัวไปให้พ้นๆ
ขณะพูดคุย เด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตื่นมาจากนอก เรือน รายงานว่า พี่สะใภ้ฮูหยินเก็บข้าวเก็บของ พาเด็กสอง คนมาบอกลานายท่าน สองสามีภรรยาจึงตะลึงงัน หันมามอง หน้ากัน แล้วรีบออกไปดู
ชานบ้าน อนเสวียนนั่งเห็นพี่สะใภ้หอบหลานสองคนยืน อยู่ด้านใน ข้างๆ มีข้าวของวางกองไว้ เห็นชัดว่าเป็นลักษณะของคนที่กำลังจะเดินทาง จึงสูดหายใจเข้า ด้วยเขายังไม่ได้ บอกพี่สะใภ้เรื่องหลานชายคนโตป่วย แล้วเหตุใด ตอนนี้นาง ถึงคิดจะจากไปเองเล่า
ไม่ถูกต้อง อวิ๋นเสวียนนั่งรีบก้าวลงบันได แล้วพูด ตะกุกตะกัก “พี่ พี่สะใภ้ ท่านกำลังทำอะไรน่ะ
หวงน้ายิ้มเศร้าๆ แล้วว่า
“ไม่มีอะไร พี่ตัดสินใจพาอาเท่ากับอาจกลับไปโจวในวันนี้ จึงมาบอกลาเจ้าเสียหน่อย เดี๋ยวจะถูกคนหาว่าอยู่บ้านเจ้ามา นาน มารยาทสักนิดก็ไม่มี หรือไม่ก็ด่าว่า เป็นพวกบ้านนอก ไม่มีการศึกษา
ไปเสวี่ยฮุยยืนอยู่หลังสามี ผ้าเช็ดหน้า กัดริมฝีปาก ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยิ้มออก ทำไมจู่ๆ หญิงบ้านางนี้ถึงได้อายเป็นละ หายากจริงๆ ก็ไม่รีบบอก ทำให้ตนเสียเวลาคิดหาวิธีไม่อยู่ นานสองนาน
แม้พูดได้ว่า อวิ๋นเสวียนนั่งเห็นด้วยกับการคิดหาวิธีให้พี่ สะใภ้กลับบ้าน แต่ถ้าจะกลับ ก็ต้องเลือกวันที่อากาศดีหน่อย แล้วให้บ่าวขี่รถมาส่งกลับไป ไหนเลยจะให้แขกรีบร้อนกลับไป กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ไม่เหมาะสมยิ่ง ซึ่งถ้าสามแม่ลูกฉวย โอกาสจากไปกลางดึก แล้วถูกใครพบเห็นเข้า แม้เขาไม่ได้ไล่ ก็จะกลายเป็นไล่ในทันที แถมยังถูกพูดต่อๆ กันไปด้วยว่าบ้าน สกุลอวิ๋นข่มเหงรังแกผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอ ไม่เห็นแก่ความ เป็นญาติ อีกทั้งครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นนี้ ขืนสามแม่ลูกเกิดอุบัติเหตุกลางทาง ตนย่อมหนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น คิดๆ แล้ว จึงพูดอย่างเด็ดขาด
“พี่สะใภ้ ฟ้ามืดไปหมดเช่นนี้ ท่านจะไปอย่างไร ประตู เมืองก็ใกล้ปิดแล้ว ไม่น่าจะออกนอกเมืองทัน มีพรุ่งนี้ค่อยว่า กันดีกว่า”
หวงน้ายิ้มเย็นชา พูดเช่นนี้ก็แปลว่าตั้งใจไล่ตนสามแม่ ลูกไปจริงๆ เพราะถ้าไม่คิดไล่ ต้องพูดให้ตนอยู่ต่อแล้ว และถ้า ไม่อยากให้ตนไป ทำไมต้องพูดว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันด้วย แต่ นางก็ไม่แสดงสีหน้าอะไร ตอบสบายๆ
“ไม่เป็นไร พี่ถามจากเด็กรับใช้ในเรือนเจ้าแล้ว ยังเหลือ อีกครึ่งชั่วยามกว่าประตูเมืองจะปิด รีบไปตอนนี้ยังทัน เมื่อ บอกลาเจ้าเสร็จ พี่ก็ไปล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน
“เดี๋ยวก่อน” อวิ๋นเสวียนนั่งร้อนใจ “ที่พี่สะใภ้กับหลาน สองคนจะไป ท่านแม่รู้เรื่องหรือยัง
ถ้ายังไม่รู้ แล้วเขาปล่อยให้พี่สะใภ้หอบหลานกลับไปเช่น นี้ บ้านแตกแน่ ท่านแม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วเรียกคน มาสั่งสอน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าสนุก ตามธรรมเนียมแล้ว วิธีการ สั่งสอนของผู้อาวุโสในบ้าน จะยึดหลักรักวัวให้ผูก รักลูกให้ ซึ่งจนถึงวันนี้ แม้อขึ้นเสวียนนั่งได้เป็นขุนนางชั้นสามแล้ว แต่ก็ ยังเกรงกลัวอยู่ไม่หาย
“เจ้าวางใจ”
หวงน้าค่อยๆ พูดทีละคำทีละประโยค ด้วยน้ำเสียงที่ สงบนิ่ง เป็นคนละคนกับที่ก่อเรื่องเมื่อช่วงกลางวันอย่างสิ้นเชิง พลางคิดในใจ เดี๋ยวพอท่านแม่ได้ข่าว ก็จะรีบรุดมาที่นี่ ตอนนี้ จึงต้องถ่วงเวลาต่ออีกหน่อย
“เนื่องด้วยลูกชายลูกสาวของพี่ทั้งสองคน ทำให้ผู้อาวุโส อย่างท่านแม่ขายหน้า พี่จึงคิดกลับบ้านไปสำนึกผิด กลับตัว กลับใจเสียใหม่ ถ้าอยู่ต่อ ก็รังแต่จะทำให้ท่านแม่กลุ้มใจไป เปล่าๆ คิดว่าท่านแม่ก็น่าจะปล่อยให้พี่กลับไป
หญิงบ้าอย่างหวงน้า ยังไม่ทันข้ามวัน ไฉนจึงเปลี่ยน นิสัยเป็นสะใภ้ที่น่ารักไปได้ รู้จักยอมรับผิด ยอมคนเป็นเหมือน กัน? ไปเสงี่ยฮุยยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง รู้สึกหวานชื่นจนขนลุก ไปทั้งตัว อารมณ์สงบนิ่ง รอยเล็บบนใบหน้าที่ถูกหวงน้า ส่วนก็คล้ายไม่เจ็บแล้ว
คำพูดนี้คลุมเครือยิ่ง ไม่รู้ว่าตกลงท่านแม่เห็นด้วยหรือ เปล่า อวิ๋นเสวียนนั่งจึงไม่กล้าให้พี่สะใภ้จากไป ได้แต่แอบ บอกเด็กรับใช้ให้ไปเชิญท่านแม่มา
เด็กรับใช้รับคำ แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากเรือน ก็เห็นสาว ใช้พยุงถงฮูหยินที่อารมณ์กำลังขุ่นมัวเดินเข้ามา
เมื่อครู่ตอนทานมื้อค่ำ ถงฮูหยินก็ไม่เห็นสะใภ้ใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าสะใภ้ใหญ่คงรู้สึกอับอายที่วันนี้ไป ก่อเรื่องมา เกรงว่าจะถูกตนอบรมขณะทานข้าว จึงไม่กล้านั่ง ร่วมโต๊ะกับตน คิดไม่ถึงว่า พอทานข้าวเสร็จ อาเท่ากับอาจจะถูกสะใภ้ใหญ่เรียกเข้าไปในห้อง จากนั้นสามแม่ลูกก็หายตัว ไป พอตนเข้าไปดูในห้อง ก็เห็นเก็บข้าวของเสียเกลี้ยง พอไม่ เห็นห่อผ้าสัมภาระ ค่อยรู้ว่า ที่แท้นางตัดสินใจกลับบ้านนอก
ถึงฮูหยินจึงยืนงง พอได้ข่าวว่าหวงน้าสี่หอบเด็กสองคน ไปบอกลาเจ้ารอง ก็รีบพาสาวใช้วิ่งตามมา
ถ้าหวงน้าสี่บอกนางสักคำว่าตัดสินใจกลับบ้าน นางก็ไม่ ว่าอะไร แต่ตอนนี้หวงน้าสี่กลับจะจากไปอย่างเงียบๆ โดยแอบ พาเด็กๆ ไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน
พอก้าวเข้ามาในเรือนหลัก ก็เห็นหวงน้าสู่จูงหลานทั้งสอง ไว้ มือถือห่อผ้าขนาดใหญ่สองพ่อ ท่ามกลางความมืด ภายใต้ แสงโคมที่สาดส่อง แผ่นหลังของสะใภ้ใหญ่ดูอ้างว้างเปล่า เปลี่ยวยิ่ง เจ้ารองถามอะไร นางก็ไม่กระด้างกระเดื่องเหมือน เคย เพียงตอบอย่างสงบเสงี่ยม จึงรู้สึกอ่อนไหว ตาแดง ก้าว เข้าไปแล้วว่า
“น้าเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ ทำไมคิดจะไปก็ไปเลยหรือ
“ท่านแม่…” พอเห็นมารดามา อวิ๋นเสวียนนั่งก็รีบบอกให้ บ่าวเข้าไปในเรือน ยกเก้าอี้ทรงกลมมีพนักพิงออกมา แล้วเชิญ มารดานั่ง
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ