Uncategorized

1 วิวาห์ว้าวุ่น (3)



1 วิวาห์ว้าวุ่น (3)

“ยังไม่ตายใช่มั้ย?” ชารำพันเอามือลูบหน้าลูบตาของตนเอง เพื่อตรวจความครบถ้วนของอวัยวะ เมื่อรู้ว่าทุกอย่างยังปกติ เธอ จึงผ่อนลมหายใจออกมายาวแล้วก้มหน้าก้มตาเก็บสมุดหนังสือ ที่หลุดออกจากกระเป๋าทันที

“มัวแต่จู๋จี๋กับแฟนอยู่นั่นล่ะไอ้น้อง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

คนขับรถมาดเซอร์ ผมเผ้ารุงรังสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีตุ่น แขนยาวกับกางเกงเลเหมือนชาวประมงอวดขนหน้าแข้ง ลงมา คุกเข่าเท้าสะเอวถามด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ สีหน้าของเขาดูบึงตึง นัก ซึ่งคนที่นั่งกับพื้นถนนเพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ชะงักมือ ในสิ่งที่ทำ พลางเงยหน้ามองคนถาม

“ยังค่ะ หนูยังไม่ตาย

ความตกใจและเกรงว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องทำให้เธอหลุดปาก ไปเช่นนั้น ทว่าอะไรบางอย่างในดวงตาดำขลับดั่งนิลกาฬคู่นั้น กลับตรึงทําไว้ให้นิ่งสงบ…

ดวงตาของทั้งคู่สบกันนิ่ง ราวห้วงเวลาหยุดหมุนปล่อยทอดทิ้ง เธอและเขาไว้ลำพัง สุดท้ายเป็นทิชาเองที่หน้าร้อนวูบแล้วเบือน หน้าหลบสายตาคู่นั้นก่อน

“ขอโทษค่ะคุณลุง ที่หนูเดินไม่ระวัง” หญิงสาวประนมมือไหว้ อย่างนอบน้อม ก่อนคว้ากระเป๋านักเรียนลุกขึ้นจูงมืออานนท์ที่ยังยืนตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างรวดเร็ว

“ไปเถอะอานนท์” หญิงสาวเร่งเร้าก่อนจูงมือเพื่อนรักวิ่งหนี หายไปในฝูงชน โดยไม่ฟังเสียงเรียกของ “คุณลุง คู่กรณีอีก ซึ่ง การจากไปดื้อ ๆ ของเด็กสาวหน้าตาสะอาดสะอ้านที่ถูกชะตา ตั้งแต่แรกเห็นทำให้ ลายคราม” ถึงกับงวยงง

“คุณลุง… เราแก่ขนาดนี้เลยเหรอ?” ชายหนุ่มวัยเพียงยี่สิบสี่ปี ซึ่งมีหนวดเคราจนถึงโหนกแก้มมาในภาคอ พลางหุบเปลือก ตามองรถปิ๊กอัพสีดำป้ายแดงของตัวเองที่เพิ่งถอยออกมาจาก โชว์รูมสด ๆ ร้อน ๆ

อาการหงุดหงิดหัวเสียอันเกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ อันตรธานหาย เมื่อไม่พบรอยขีดข่วนใด ๆ หน้ารถ แล้วเปลี่ยน เป็นรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อใบหน้าเด๋อด๋ตื่นตระหนกของเด็กสาวเมื่อ ครูเข้ามาในมโนภาพ…

เมื่อแยกทางกับอานนท์แล้วทิชาจึงมุ่งหน้ากลับบ้านของ ตนเองทันที ซึ่งตอนนี้เลยเวลากลับบ้านของเธอมามากพอ สมควร บรรยากาศรอบตัวจึงดูอึมครึมกว่าทุกวัน แมกไม้ในรั้ว บ้านทอดเงาสลัวเป็นรูปร่างประหลาดคราเมื่อแสงไฟริมทางส่ง มา

พอลัดเลาะก้าวผ่านประตูรั้วไม้ระแนงสีขาวหลังบ้านที่หญิง สาวใช้ผ่านเข้าออกได้ เธอต้องชะงักอีกเมื่อเห็นแสงไฟจากนวน บุหรี่และเงาตะคุ่มของใครบางคนนั่งอยู่ในซุ้มไม้ ทิชาเดินเข้ามา ในบ้านใกล้ดวงไฟกว่าเดิม เธอจึงรู้ว่าเจ้าของเงาตะคุ่มในซุ้มไม้หลังงามนั้นเป็นใคร

หิมะคงตกในประเทศไทยเป็นแน่ เมื่อแม่ใหญ่มาเยือน “เรือน หลังเล็ก’ ของเธอด้วยตัวเอง หญิงสาวเก็บความสงสัยไว้ในใจ พร้อมเดินเข้าไปหา เธอวางกระเป๋านักเรียนใบโตลงก่อนประชุม มือไหว้ผู้ปกครองบ้านอย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส หากแต่คนถูก เรียกเพียงปรายหางตามองคล้ายไม่แยแส ริมฝีปากเคลือบ ลิปสติกสีเข้มแบะเล็กน้อยก่อนโยนมวนบุหรี่ในมือทิ้งแล้วใช้เท้า

“ทำไมกลับช้านักล่ะ?” ทิชาคิดว่าตัวเองอาจหูฝาดเมื่อได้ยิน คำถามนี้จากปากแม่ใหญ่

ปกติ ‘แม่ใหญ่ หรือคุณรุ่งอรุณ ภรรยาคนแรกซึ่งจดทะเบียน สมรสถูกต้องตามกฎหมายของคุณทรงศักดิ์ผู้เป็นบิดาของเธอ จะไม่ย่างกรายมาเหยียบพื้นที่ในสวนหลังบ้านซึ่งปลูกสร้างเรือน หลังเล็กไว้สําหรับพักผ่อนหย่อนใจเป็นอันขาด

เพราะพื้นที่ส่วนนี้ได้กลายเป็นอาณาจักรของรวีวรรณมารดา เธอไปตั้งแต่สิบแปดปีที่แล้ว ยิ่งมาธุระเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ ของเธอด้วยละก็… ไม่เคยปรากฏเลยสักครั้ง

แต่วันนี้มารดาเลี้ยงมาแปลก…

“พอดีหนูยื่นคำร้องหมดสิทธิ์สอบให้ยัยธิดา แล้วก็…

“ฉันไม่มีเวลาฟังคำแก้ตัวของเธอหรอกนะทิชา รีบ ๆ ไปอาบน้ำแต่งตัวซะเสี่ยเกษมกับคุณมนเทียรกำลังรอกินข้าวเย็นกับเธอ

อยู่”

แค่ได้ยินชื่อ ‘มนเทียร’ คู่หมั้นที่ไม่สมประกอบใบหน้าสวย ๆ ของทิชากเหยกขึ้นมา ด้วยว่าไม่ต้องการร่วมรับประทานอาหาร กับชายร่างอ้วน ขี้ตาเขรอะ ดั้งจมูกแบนราบแทบไม่มีตั้งให้แว่น ยึดเกาะ ซ้ำยังนั่งน้ำลายยึดตลอดเวลานั้น แค่จินตนาการที่ชา ก็อิ่มแปล้ กลืนอะไรไม่ลงซะแล้ว

“หนูอิ่มมาแล้วค่ะแม่ใหญ่ นนนี่เพิ่งเลี้ยงข้าวเมื่อครู่

“อิ่มได้ก็หิวได้ อย่าดื้อหน่อยเลยน่ายทิชา โต ๆ กันแล้ว ว่า ง่าย ๆ เหมือนยัยธิดาหน่อยสิ ฉันจะได้เอ็นดูเธอมากกว่านี้ รุ่งอรุณขัดขึ้น ไม่รับฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้น

“แต่ว่าหนู

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น” รุ่งอรุณถลึงตาดใส่ “ฟังให้ดีนะ ตอนนี้เธอ เป็นคู่หมั้นของคุณมนเทียรแล้ว ทําตัวให้น่ารักหน่อยสิ คุณมน เทียนจะได้เอ็นดู”

โดนเตือนความจําให้นั่นล่ะทิชาจึงเม้มปากหน้าจ๋อย แต่ในใจ นั้นแต่จะปฏิเสธลูกเดียว

ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด… เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ชายคน นั้นอีกแล้ว ทิชาพยายามคิดหาเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่อยู่ๆ เทพธิดา แห่งความโชคร้ายก็กลั่นแกล้งเธอดื้อ ๆ

“โครก” เป็นเสียงท้องร้องขออาหาร รุ่งอรุณจึงทิ้งสายตาไม่พอใจมาที่เธอทันที

“ไหนว่าอิ่มแล้วไงยัยเด็กเลี้ยงแกะ เสียงท้องของเธอกำลังร้อง หาอาหารอยู่นะ หรือนี่เป็นข้ออ้างที่เธอไม่อยากไปกินข้าวกับคุณ มนเทียร”

ทิชายิ้มแหย ๆ เมื่อถูกจับโกหกได้ แต่เธอก็ไม่ยอมจนมุมง่าย

“หนูอยากไปทานข้าวกับพี่มนเทียรนะคะ แต่ว่า… ตอนนี้หนู ท้องเสียค่ะแม่ใหญ่ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ

หญิงสาวเอามือปิดกั้นตัวเองทำที่ราวกับว่าข้าศึกได้บุกโจมตี ด่านถึงสุดท้าย จากนั้นจึงรีบคว้ากระเป๋านักเรียนวิ่งหายเข้าเรือน หลังเล็กในทันที ซึ่งกิริยาของทิชาทำเอารุ่งอรุณซึ่งมานั่งคอยลูก เลี้ยงกว่าชั่วโมงถึงกับหงุดหงิด

“ทําไมต้องมาท้องเสียเอาวันนี้ด้วยนะ ยัยเด็กบ้า” จอม วางแผนหวังรวบหัวรวบหางเพื่อผลประโยนช์ตนเองพึมพำอย่าง หงุดหงิดอารมณ์


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ