บทที่ 4
การได้รู้จักกับผิงเอ๋อร์ทำให้ชีวิตภายในแคว้นเปียไม่ เงียบเหงาอย่างที่คิด นางผู้นั้นรับใช้อย่างใกล้ชิดและเป็นเด็กที่ ว่านอนสอนง่าย จางลี่จึงรักและเอ็นดูได้อย่างง่ายดาย สองวัน แล้วที่เว่ยอ๋องไม่ยอมย่างกรายมาหาแม้จะอยู่ภายในพระตำหนัก เดียวกัน นางเห็นเขาเดินผ่านไปมาอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่ กล้าเข้าไปทักทาย เมื่อเริ่มคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่แล้วจึงกล้าเข้าไป ยังพื้นที่ส่วนตัวของเว่ยอ๋อง
จางลี่เดินนำหน้าตรงไปยังห้องหนังสือที่เว่ยอ๋องมักจะไปนั่ง วาดภาพและเขียนกลอนในยามว่าง เดินไปจะถึงประตูทางเข้า อยู่แล้ว หากทว่ามีเด็กหนุ่มรูปงามเดินมาขวางทางเอาไว้ กาง แขนกั้นนําหน้าไม่เป็นมิตร
“ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด!”
“เจ้าบังอาจเกินไปแล้วนะหลิวจิง นี่พระชายานะ” ผิงเอ๋อร์รีบ เข้าไปต่อว่าทันทีเมื่อผู้เป็นเจ้านายของตนนั้นถูกกระทำอย่างไม่ ไว้หน้า
“นี่คือคําสั่งของท่านอ๋อง ห้ามพระชายาเข้าโดยเด็ดขาด”
“แต่พระชายานาชามาถวายท่านอ๋องนะ เจ้าหลีกไป
“ข้าไม่หลีก!”
“แต่ไม่ควรมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของท่านอ๋อง กับพระชายา”
“ข้าไม่สนใจ เพราะนี่คือคำสั่งของท่านอ๋อง
ดูเหมือนว่าเด็กรับใช้คนโปรดของเว่ยอ๋องจะไม่ยอมง่าย ๆ เห็นอย่างนั้นจางก็เข้าใจ ยิ้มให้เด็กหนุ่มผู้นั้นราวกับไม่รู้สึก โกรธใด ๆ เลย
“ข้าเข้าใจแล้ว เรากลับกันเถอะผิงเอ๋อร์” กำลังจะก้าวเท้า เดินกลับไป ทว่าผิงเอ๋อร์ได้นำถาดชามา ให้ถือไว้ แล้วเดินเข้าไป กระชากแขนหลิวจึงดึงให้พ้นจากหน้าประตู
“พระชายารีบเข้าไปเพคะ ทางนี้หม่อมฉันจัดการเอง”
“ปล่อยขาเดี๋ยวนี้นะผิงเอ๋อร์
“ไม่ปล่อย ไปกับขาเดี๋ยวนี้เลย”
เห็นอย่างนั้นจางก็มีอารมณ์ขัน ไม่รู้ว่าผิงเอ๋อร์เอาเรี่ยวแรง มาจากไหนลากตัวหลิวจิงซึ่งเป็นชายได้อย่างง่ายดาย เมื่อทาง สะดวกแล้วจางลี่จึงหันไปมองหน้าประตูทางเข้า นางกำลังตัดสิน ใจว่าจะเอาอย่างไรดี หากเข้าไปแล้วรู้ดีว่าจะต้องโดนอะไรบ้าง แต่หากไม่เข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ เท้าน้อย ๆ ก้าว ไปข้างหน้าพร้อมกับมือเรียวที่ออกแรงผลักประตู
“มีอะไรงั้นหรือหลิวจิง เสียงดังเอะอะโวยวายเชียว”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเว่ยอ๋องจึงขมวดคิ้วแล้วเงยขึ้นจาก แผ่นกระดาษตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงตกใจเล็กน้อย สีหน้าที่เคยเรียบเฉยฉายความเกรี้ยวกราดออกมาทันที
“เข้ามาทำไม ข้าสั่งไม่ให้เจ้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับข้า “หม่อมฉันนําชาร้อน ๆ มาถวายเพคะ”
“ข้าไม่ต้องการ เอากลับไปซะ ขากำลังทำงานไม่อยากให้ ใครเข้ามากวนใจ โดยเฉพาะเจ้า”
“ชานหม่อมฉันนำมาจากแคว้นซน หากเสวยแล้วจะช่วย
ให้ร่างกายแข็งแรงและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ทรงเสวยสักหน่อย
เถิดเพคะ”
“เอาวางไว้ตรงนั้นแล้วออกไปซะ” หากไม่ยอมนางคงไม่ ออกไป จึงยอมรับความหวังดีนั้นอย่างเสียมิได้
“เพคะ”
จางลี่ยมเล็กน้อยเมื่อเอาชนะได้ จากนั้นจึงนำถาดชาไปวาง ไว้บนโต๊ะซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เมื่อวางไว้แล้วแทนที่จะกลับออกไป ตามคำสั่ง หากทว่านางได้เดินตรงมายังโต๊ะทรงงานอีกครั้ง ยืน เอ้อระเหยรอให้อีกฝ่ายนั้นเงยขึ้นมา
“ยังไม่ไปอีก!”
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขออนุญาตเพคะ”
“เรื่อง?”
“หม่อมฉันได้ยินข่าวว่าตอนนี้กำลังมีโรคระบาด มีชาวบ้าน เดือดร้อนมากมายนัก จึงอยากจะออกไปช่วยรักษาชาวบ้าน เพคะ”
“ช่วยรักษา อย่างเจ้าเนี่ยนะจะรักษาคนได้ หากเก่งกาจเช่น นั้นแล้วเหตุใดจึงไม่รักษาใบหน้าเจ้าให้กลายเป็นคนปกติเล่า” คนพูดแค่นยิ้มราวกับมันเป็นเรื่องขำขัน ก้มหน้าลงไปตวัดปลาย พู่กันเขียนอักษรต่อไป
แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่โดนหยามเกียรติเช่นนี้ หากทว่าจางลี่ยัง คงยืนนิ่งพยายามปรับสภาพจิตใจให้เป็นปกติ ไม่อยากจะเอามา ใส่ใจให้รู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้ จุดมุ่งหมายของนางคือขอ อนุญาตออกไปนอกพระตำหนัก และจะต้องทำให้อีกฝ่ายยอมให้ ได้
“เรื่องใบหน้าของหม่อมฉันมันเป็นมาตั้งแต่กำเนิดจึงมิอาจ รักษาได้ แต่โรคที่ชาวบ้านกำลังเผชิญกันอยู่นั้นอาจจะรักษาให้ หายได้หากเรารู้สาเหตุและรักษาได้ตรงจุด หม่อมฉันพอมีความรู้ เรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรจึงอยากจะลองเข้าไปช่วย เผื่อว่าจะ ช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอ๋องได้บ้างเพคะ”
“เจ้าคิดว่าเก่งมาจากไหน ขนาดหมอหลวงของข้าที่ว่า เก่งกาจนักหนายังไม่สามารถรักษาหายได้ แล้วเหตุใดข้าจะต้อง เชื่อเจ้าด้วย เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนจัดการเองเจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งวุ่นวาย หากไม่ออกไปตอนนี้ข้าจะสั่งให้คนมาลากตัวเจ้าออกไป
“เพคะ หม่อมฉันจะออกไป แต่หม่อมฉันไม่มีทางยอมแพ้ แน่นอน ถึงอย่างไรก็จะต้องออกไปช่วยรักษาชาวบ้านให้ได้
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ