หัวใจอสุเรศ

ตอนที่77 การจากลา



ตอนที่77 การจากลา

ในค่ำคืนที่แสนสนุกทุกคนต่างก็คร่ำเคร่งอยู่ในนั้นและต่าง ก็เต้นรำไปไม่มีใครมาสังเกตตรงสุดมุมของตลาดนี้พวกเขา เกิดอะไรขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกที่โล่หวินหลานสังเกตเห็นว่าโม่ฉีหมิงมี เสน่ห์มากขนาดนี้หลังจากที่เขาสวมใส่หน้ากากความหล่อ เหลาของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกน่าทึ่ง

นางเหมือนกำลังจะแสดงอำนาจของตนเองนางจับผ้าสี แดงขึ้นก้มหน้าลงเอาผ้าคล้องใส่ลำคอของเขาความเรียว ยาวของนิ้วมือกำลังผูกหูกระต่ายให้เขาอย่างสวยงาม

“ข้าบอกว่าห้ามดึงออกก็อย่าดึงออก”นางตั้งใจพูดด้วย ความทรงอำนาจและตั้งใจแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้า หญิงผู้นั้น

“ไม่ดึง”โม่ฉีหมิงพูดด้วยความโปรดปรานรักใคร่

สายตาของทั้งสองไม่ได้จับจ้องหญิงผู้นั้นอีกแต่กลับมอง ความวุ่นวายของตลาดซึ่งคนพลุกพล่าน ความสัมพันธ์ของ ทั้งสองคนสนิทและใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นทำให้หญิงสาวผู้ นั้นยิ่งโมโห

มือของนางก็เป็นหมัดแน่นๆนางกัดริมฝีปากด้านล่างไว้ นางกวาดสายตาที่เย็นชามามองเขาทั้งสองสีหน้าที่อยาก เข้าไปจับเขาทั้งสองแยกออกจากกันแต่ก็มิกล้าทำเยี่ยงนั้น
นางกลัวสายตาอันเฉยชาของชายผู้นั้นถึงแม้เขาจะดูหล่อ เหลาไม่มีฐิติแต่แววตาของเขาก็ทำให้นางหวาดกลัวเหมือน

แววตายอันเปล่งประกายของโล่หวินหลานจู่ๆก็มองไปยัง หญิงผู้นั้นหญิงผู้นั้นกำลังจ้องมองนางเหมือนกำลังจะกลืน กินนางไปสีหน้าให้เห็นถึงความเกลียดที่มีต่อนางและความ รักใคร่ที่มีต่อโม่ฉีหมิง

เป็นหญิงสาวผู้ที่มีรักข้างเดียวอีกแล้วหรือโล่หวินหลาน ก้มหน้าลงมองใบหน้าที่เย็นชาของโม่ฉีหมิงทำไมมาพัก ผ่อนหย่อนใจยังต้องเจอเรื่องแบบนี้?หรือนี่เกิดเรื่องจาก ใบหน้าที่เจ้ามีมันไม่เหมือนใคร ?

“สาวน้อยเอ๋ยฟ้ามืดลงแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านกลับช่อง บิดาเจ้าไม่เป็นห่วงหรือไง?”โล่หวินหลานขมวดคิ้วขึ้นและ พูดถึงอยากให้นางอย่ามาร้องห่มร้องไห้แถวนี้อีก

“ที่นี่เป็นเมืองอูข้าจะกลับบ้านหรือไม่กลับบ้านมันเกี่ยว อะไรกับเข้า? ”หญิงผู้นั้นใช้น้ำเสียงไม่ดีในการตอบกลับ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและกำลังเดินจากไป

หญิงผู้สวมใส่เสื้อสีแดงคร่ำเคร่งเข้าไปในท่ามกลางเสียง ที่วุ่นวายที่เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาทันใดนั้นหญิงผู้สวม ใส่เสื้อสีแดงก็หายไปในพริบตาโล่หวินหลานจ้องมองไปสัก พักแบบสติหลด พอสติกลับมาอีกทีก็สังเกตเห็นเย่หวินกับ ฉินหยิ่นกลับมาแล้ว
เย่หวินทำสีหน้าเขินอายมองลงบนพื้นและฉินหมิ่นด้วย เช่นกันโล่หวินหลานเห็นว่าทั้งสองเหมือนจะไม่ปกติทำไม ออกไปเล่นครู่เดียวกลับมาก็หน้าแดงขนาดนี้?

หรือว่าพวกเขา…….

จู่ๆโล่หวินหลานก็เข้าใจขึ้นทันทีลืมเรื่องที่หญิงผู้นั้นมาส ร้างเรื่องกวนใจนางดึงเสื้อของเย่หวินและยิ้มใส่นางอย่างมี เล่ห์สนัย

“เย่หวินเกิดอะไรขึ้น?ทำไมถึงต้องหน้าแดง?ฉินหยื่นรัง แกเจ้าหรือป่าว? “โล่หวินหลันจับมือของเย่หวินไว้ถามขึ้น ด้วยสีหน้าเหมือนกังวลและมุมปากกระตุกขึ้นสื่อให้เห็นถึง รอยยิ้มที่หลบไว้ไม่ได้

“ไม่ไม่มีเจ้าค่ะ”เย่หวินก้มหน้ายิ้มแฉ่งสีหน้าของเหมือน หญิงสาวที่กำลังมีความรัก

โล่หวินหลานทำหน้านิ่วและเขมันตามองฉินหมิ่นเขาถูก นางมองจนรู้สึกอายและหันหลังไปมองท้องฟ้าข้างนอกจู่ๆก็ พูดขึ้น“ดาวบนท้องฟ้าเยอะมากเลย!”

ทุกคนต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำหน้าที่ง ทักษะการเปลี่ยนเรื่องคุยของเจ้าก็แย่ไปนะค่ำคืนนี้ไม่มีดาว แม้แต่ดวงเดียว

เทศกาลระบำผีของค่ำคืนนี้ก็ปิดท้ายไปด้วยเรื่องที่วุ่นวาย จากเกิดจากหญิงสาวผู้นั้นตอนที่พวกเขากลับไปตอนโล่หวินหลานขึ้นรถนางไม่คิดเหลียวมองโม่ฉีหมิงเลยและ ระหว่างทางกลับไปก็ตั้งใจไม่พูดไม่จากับเขา

บรรยากาศบนรถเต็มไปด้วยความอึดอัดโล่หวินหลาน หลับตาลงพยายามทำให้ตัวเองหลับแต่หัวสมองของนาง คิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้จนทำให้นางนอนไม่หลับสักที

ผ่านไปสักครู่หูของนางเหมือนมีมือใหญ่ๆของโม่ฉีหมิ งมาสัมผัสผ่านมือของเขาค่อยๆจับแก้มของนางนิ้วของเขา ค่อยๆจับแก้มของนางอย่างเบาๆทำให้หน้านางเริ่มร้อน

“ข้าไม่รู้จักนางส่วนเรื่องที่นางเอาผ้ามาถวายให้ข้า ข้าก็ ไม่รู้เหมือนกันผ้าที่ข้าชอบยังไงก็ผืนนี้ผืนเดียว”โทนเสียง แหบๆของโม่ฉีหมิงมีความอ่อนโยนปะปนอยู่คำอธิบายของ เขาทำให้นางรู้แล้วว่าเขาใส่ใจนาง

นางแกล้งหลับไหลและพลิกตัวไปหน้าหันหลังทิศทางที่ กำลังกลับขนตาอันหนายาวของนางสั่นขึ้นลงไปตามทาง ที่รถม้าวิ่งและรู้สึกไม่พอใจในการกระทำของหญิงสาวเมื่อ ก็ถ้าเขาไม่ได้ถอดหน้ากากให้เห็นถึงใบหน้าที่หล่อเหลา หญิงผู้นั้นจะถวายผ้าผืนนั้นให้เขาอย่างเยี่ยงไร?

โม่ฉีหมิงเห็นการกระทำที่ดูเหมือนเด็กของนางเลยยื่นมือ ไปกุมมือนางเพื่อดึงนางเข้ามาใกล้ตัวเองนางจับมือตัวเอง แน่นๆไม่ให้เขาดึงเขาจึงค่อยๆปล่อยมือนางเขาใช้โอกาสที่ นางเผลอจับมือนางแล้วดึงนางเข้าไปใกล้โดยทันที

“หวินหลานห้ามเจ้าโกรธ โม่ หมิงจ้องตานางไว้ริมฝีปาบางๆของเขาขยับไปตามคำพูดน้ำเสียงของเขาเหมือน

คําสั่งนา

ทันใดนั้นถือโอกาสที่โล่หวั่นหลานยังไม่ได้เอ่ยปากพูด เขาประกบริมฝีปากของเขาลงไปริมฝีปากของนางอย่างรุน แรงโล่หวั่นหลานรู้สึกกับจูบที่นางไม่ได้เตรียมตัวและตอบ จูบเขาไปแบบงงๆเวลาผ่านไปสักพักเขาค่อยๆถอนจูบออก จากริมฝีปากของนาง

ริมฝีปากที่ผ่านการจูบของเขาบวมแดงและเหมือนหนังจะ ดอกนางได้กลิ่นคาวจากเลือดออกจากริมฝีปากตัวเองนาง แลบลิ้นออกมาเสียมีกลิ่นคาวเต็มปากเลยนางจ้องไปยังโม่ หญิงสายตาของนางเหมือนกำลังจะด่าเขาชุดใหญ่

โมหมิงรู้ว่าตัวเองป่าเถื่อนไปหน่อยแต่เขาก็ไม่สามารถ ควบคุมตัวเองได้ทุกอย่างที่จูบริมฝีปากของนางเหมือนมี อะไรบางอย่างฉุดรั้งเขาไว้จนไม่อาจถอนตัว

“หวินหลานเจ้าเป็นของข้าเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่ หลังแสดงความเป็นเจ้าของอย่างบ้าอำนาจและเหมือนคำ พูดของเขาจะทรงอำนาจมากในค่ำคืนที่เงียบสงบ

โล่หวั่นหลานถูกเขากอดไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นๆโดยไม่ สามารถต้านทานได้ร่างกายที่แข็งแรงของเขาติดกับตัวของ นางมากจนถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันได้และไม่ยอมแยก ออกจากกันนางยื่นมือไปจับร่างเขาไว้เขาทั้งสองหันหน้า เข้าหากัน
นางรู้ว่าโม่ฉีหมิงไม่มีใจให้หญิงอื่นใดอย่างแน่นอนแต่ว่า แค่มีใครมาสารภาพรักโม่ฉีหมิงก็ไม่ได้ในใจนางเหมือนรู้สึก ว่าจะโดนคนอื่นแย่งของรักของหวงไป

นางยื่นมือตัวเองไปประกบไว้ตรงแผงหน้าอกของเขา อย่างแรงๆเหมือนจะระบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงอ้อมกอด เขา

พวกเขาเที่ยวสถานที่ที่ควรไปและของที่ควรเล่นในเมืองอู จนหมดแล้วโม่ฉีหมิงพาโล่หวินหลานเที่ยวรอบเมืองเมืองอู จนหมดที่ๆเล่นได้ที่ๆไปได้พวกเขาก็มักจะทิ้งรอยเท้าไว้

ตั้งแต่คืนนั้นที่มีเรื่องมาขัดขวางพวกเขาที่ๆโล่หวินหลาน และโม่ฉีหมิงไปนางมักจะสำรวจก่อนว่ามีสาวสวยไหม เหมือนมันทำให้นางเป็นโรคขี้กังวลกลัวสาวสวยเจอเขา แลัวสารภาพรักกับเขา

นึกไม่ถึงว่าสมัยคนสมัยก่อนมันเปิดเผยขนาดนี้ถ้าเดินอยู่ ในตลาดเจอคนหน้าตาสวยครบสมบูรณ์แบบบอกว่าจะแต่งก็ แต่งเลยทักษะการจีบเพศตรงข้ามถือว่าเก่งกว่าสมัยนี้เยอะ

โล่หวินหลานนั่งอยู่บนชิงช้าแล้วนึกถึงเรื่องที่มาเที่ยว เมืองอสองสามวันนี้พวกเขาหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายและการ แย่งชิงกันในวังอยู่ที่นี่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตเป็นสงบสุข ได้ค่อยๆหยุดคิดเรื่องพวกนั้นเหมือนรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

ความคิดของนางร่องรอยอย่างไม่แน่นอนนางไม่รู้ว่าทำไม ฟ้าลิขิตให้นางข้ามภพมาอย่างนี้แต่ยังไงนางไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็อยากมีชีวิตที่สงบสุขถ้าโม่ฉีหมิงยอมอยู่กับเขาแบบ สงบและพอเพียงทั้งสองคนรักใคร่ซึ่งกันและกันคงไม่ต้อง สนอะไรเยอะแยะ……

“หวินหลานหวินหลาน……..ไม่ฉีหมิงใช้เสียงที่เย็นชาของ นางดึงนางกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงนางรีบกลับหันหน้า ไปมองตาของเขาเขาจับแก้มนางไว้”กำลังคิดอะไรอยู่?

โล่หวินหลานอมยิ้มเบาๆทำเหมือนไม่ได้คิดอะไร”ป่าวไม่ ได้คิดอะไรแค่เหม่อ

นางไม่อยากให้โม่ฉีหมิงรู้ความในใจของนางเพราะยังไง นางเคยสัญญากับเขาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปถ้ามีวันหนึ่ง เขาสองคนเบื่อชีวิตแบบนี้แล้วนางอย่างลากเขาไปด้วยแบบ ไม่ลังเล

“มีความในใจก็พูดอย่าเก็บไว้คนเดียวไม่ฉีหมิงเห็นนาง ทำหน้าตาจริงจังขนาดนี้เขาเลยใช้มือของเขาไปกดหน้า ผากและโซนคิ้วของนางคิ้วที่ขมวดไว้ของนางก็ค่อยๆคลาย ลง

โล่หวินหลานพยักหน้าดูตัวเองในกระจกและลูบเครื่อง ประดับที่อยู่บนผมไม่ได้จับโดนปิ่นหยกของตัวเองทันใดนั้น นางรู้สึกเจ็บหัวเบาๆปิ่นหยกอันนั้นก็เสียเข้ามาในผมของ นางโดนทันที

“ไปกับเถอะไปกินมื้อเช้ากันตอนค่ำมีเรื่องต้องทำ”โม้ฉีห มิงจับมือนางไว้และใช้มืออีกครั้งหมุนล้อรถเข็นเดินออกไปถึงหน้าประตู

มีเรื่องต้องทำ?หรือว่าจุดมุ่งหมายที่พวกเขามาที่นี่ไม่ใช่มา เที่ยวแต่มาทําธุระ

โล่หวินหลานทำหน้าสงสัยเรื่องอะไร?”

“เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าตอนค่ำๆ”โม่ฉีหมิงตอบกลับแบบไร้คำ

ตอบ

หลังจากที่ทั้งสองกินมื้อเช้าเสร็จโม่ฉีหมิงและฉินหยิ่นก็ หายไปเลยสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขามาเมืองอูคือมาสัมผัสและ เรียนรู้จุดเด่นของที่นี่นางควรซื้อของอะไรกลับไปเล่นสัก หน่อย

โล่หวินหลานรู้ว่าไม่ฉีหมิงคิดอะไรอยู่มาสัมผัสถึงสิ่งที่เป็น จุดเด่นของที่นี่มาซื้อของฝากอะไรพวกนี้ล้วนเป็นข้ออ้าง ของเขาหมดถ้าบอกว่าพาฉินหยื่นมาทำธุระนางถึงจะเชื่อ

แต่นางก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนเช้าโม่ฉีหมิงมีธุระคงจะไป

จัดการอะไรบางอย่าง

นางพักอยู่ที่ตำหนักซันสวยแห่งนี้มานานขนาดนี้ยังไม่เคย เดินเที่ยวในนี้เลยโล่หวินหลานจึงลากเย่หวินไปรอบๆสวน นึกไม่ถึงว่ามันจะใหญ่ขนาดนี่นางรู้สึกน่าทึ่ง

พระชายาเจ้าค่ะมาดูที่นี่เจ้าคะที่นี่มันชิงช้าเจ้าคะ”เย่หวิน “ เรียกนาง
โล่หวินหลานเดินไปดูทิศเหนือของสวนมีกำแพงตรงมุม กำแพงมีชิงช้าที่สร้างด้วยโซ่เหล็กเพื่อความสวยงามของ ชิงช้าบนโซ่ยังประดับไปด้วยใบไม้และดอกไม้สดตรงพื้นมี แผ่นไม้ปูไว้ดูๆแล้วเหมือนจะสนุก

นางยื่นมือไปปัดๆแผ่นไม้และนั่งลงไปเย่หวินยืนอยู่ข้าง คอยผลักนางเบาๆมีลมอันแผ่วเบาพัดผ่านหูของนางไปนาง หลับตาลงและค่อยๆสัมผัสเสียงลมที่ยิ่งอยู่ยิ่งแรงเหมือนตัว เองกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า

ถ้าเป็นอย่างนี้ไปตลอดก็คงดีชีวิตไม่มีความกังวลใดๆ

ในตำหนักซันสวยแห่งนี้สิ่งที่นางชอบที่สุดก็คือชิงช้าเย่ห วินเอาเสื้อคลุมออกมาคลุมไว้บนตัวนางพวกเขาใช้เวลาทั้ง วันนั่งอยู่ที่นี่

“เย่หวินเจ้าเคยมาที่นี่กับหมิงอ๋องไหม?”โล่หวินหลานมอง ไปยังเย่หวินที่นั่งอยู่ข้างๆ

เย่หวินนั่งคิดไปสักพักแล้วตอบกลับ“นี่เป็นครั้งแรกหมิวอ๋ องขาไม่ค่อยดีเลยไม่สะดวกออกมาข้างนอกบ่อยๆเจ้าค่ะ”

โล่หวินหลานพยักหน้าถ้าเป็นแบบนี้ตำหนักซันส่วยแห่งนี้ และตำหนักซันส่วยที่เราไปครั้งก่อนเขาให้คนอื่นช่วยซื้อน หรือ?”

แสงแดดจากทิศตะวันตกค่อยๆสอดส่องกระทบมาทั่วพื้นที่ เป็นแสงสีแดงสวยงามของยามเย็นแสงสีแดงค่อยๆเลือนหายไปจากท้องฟ้าโล่หวินหลานค่อยๆแกว่งชิงช้าไปชาย แรงเย่อปรากฏตรงหลังนางทันทีทันใดและผลักนางแกว่ง ขึ้นอย่างรุนแรง

เสียงลมแรงพัดผ่านข้างหูของนางอย่างรุนแรงเหมือน ตัวเองกำลังลอยไปกับลมนางจับโซ่เหล็กสองข้างไว้แน่นๆ ทันใดนั้นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาและหันหน้ากลับไปมองที่แท้ คือโม่ฉีหมิงนี่เองเหมือนจิตใจของนางกลับมาสงบอีกครั้ง และเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นสวนที่ไม่ค่อยใหญ่มาก ขนาดนั้น

“ฮ่าๆๆสูงขึ้นอีกหน่อย!”โล่หวินหลานหัวเราะอย่าง สนุกสนาน

มุมปากโม่ฉีหมิงกระตุกขึ้นเหมือนเขากำลังเผยยิ้มออกมา เล็กน้อยผลักให้นางแกว่งสูงมากยิ่งขึ้นและมองผมของนาง ที่กำลังพริ้วไหวบนท้องฟ้ารู้สึกเหมือนทุกอย่างดีไปหมด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ