หัวใจอสุเรศ

ตอนที่ 48 สงครามเย็น



ตอนที่ 48 สงครามเย็น

นี่เป็นครั้งแรกที่โล่หวินหลานเห็นโม่ฉีหมิงโกรธขนาดนี้ นางตามเขาจนถึงจวนหมิงอ๋อง เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำ เดียว

เขาเหมือนน้ำในช่วงหน้าหนาว ที่มีไอเย็นกระจายตัวออก มาตลอดเวลา

โล่หวินหลานร้อนใจมาก นางกับโม่ฉีซิวไม่ได้มีอะไรกัน สักหน่อย แต่พอเขาเห็นแบบนั้นก็อธิบายไม่ถูก ทำไมเขาถึง ได้มาได้จังหวะขนาดนั้น

เย่วหวินกับฉินหยื่นมองหน้ากัน ปกติพระชายากับท่าน อ๋องรักกันจะตายไป ทำไมวันนี้ถึงได้ทะเลาะกันแบบนี้ล่ะ?

“หมิง ข้ากับรัชทายาทไม่ได้มีอะไรกัน ที่เจ้าเห็นเมื่อกี้มัน ไม่ใช่เรื่องจริง” โล่หวินหลานตามเขาเข้าไปถึงห้องหนังสือ นางรีบอธิบายให้เขาเข้าใจ

“ไม่มีอะไร? ไม่ใช่เรื่องจริง?” โม่ฉีหมิงหยุดแล้วมองไปที่ นาง นางเล่นละครเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่?

เขาจับไปที่ข้อมือของนางอย่างแรง แล้วถามว่า “ที่ข้าเห็น เมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องจริงงั้นหรอ? ถ้างั้นเจ้าบอกข้ามาสิว่า กำไลนี่ มันมาจากไหน?”

เรื่องที่เขากลัวที่สุดมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ นางสวยจนใครๆก็จับจ้อง แล้วคนๆนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน เป็นพี่ชายของเขา

เอง

กําไลหยกมีความหมายยังไงคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ว่าเขา นั้นรู้ดี ไม่งั้น เขาคงไม่มีทางโกรธมากขนาดนี้ ไม่เพียงโกรธ โล่หวินหลาน เขายังโกรธตัวเองด้วย

“ข้าจะเอาไปคืนเขา ข้าไม่เคยคิดจะอยากได้ของๆเขา เลย” โล่หวินหลานพูด แล้วยื่นมือจะไปถอดกำไลออก แต่ว่า กําไลนี่มันดันไม่ยอมออก สายตาของนางดูเจ็บปวด

ทำไมนางจะต้องเอาใจเขาด้วยล่ะ? ทำไมนางถึงทำตามที่ นางคิดไม่ได้ล่ะ?

ที่ข้อมือของโล่หวินหลานเริ่มมีรอยแดงเกิดขึ้น นางค่อยๆ ปล่อยมือ กําไลชิ้นนี้ยังไงนางก็ต้องถอด แต่ว่าจะไม่ถอดต่อ หน้าเขาเด็ดขาด

นางกับโม่ฉีซิวบริสุทธิ์ใจกัน ทำไมต้องอธิบายมากมาย

ด้วย?

นางนั่งงตัวตรง เรื่องที่ไม่มีอะไรนางก็ไม่อยากจะพูดอะไร มากมาย ในเมื่อสองคนรักกัน ก็ต้องเชื่อใจอีกฝ่ายสิ

“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ข้ากับรัชทายาทไม่ได้มีอะไรกัน เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” นางจับไปที่หน้าของตัวเอง ยังดี น้ำตาไม่ไหล
พูดจบ นางก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป ยัง เดินไม่พ้นประตู ก็ได้ยินเสียงดัง “เพล้ง” ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เกิดอะไรขึ้น โล่หวินหลานตะลึงไป แต่ก็จะอดทนที่จะไม่หัน กลับไปมอง จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงล้อเลื่อนก็ดังมาจากด้านหลัง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียง “เจ้าจะไปไหน? กลับมาเดี๋ยวนี้ นะ”

โล่หวินหลานเลียนแบบความเย็นชาแบบเขา “ข้าจะไป ไหนสำคัญด้วยหรอ? พูดไปเจ้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีจริงไหม?”

“เจ้าจะรีบไปหาคนรักของเจ้าใช่ไหม?” คำพูดประชด ประชันออกมาจากปากโม่ฉีหมิง

ไม่ว่าเมื่อกี้ไม่ฉีหมิงจะสงสัยนางยังไง นางก็ทนไหว แต่ ว่าคำพูดของเขาตอนนี้ มันเหมือนลากนางจากสวรรค์มาลง

นรกเลย

นางกัดฟันแล้วตอบว่า “ใช่แล้วยังไง?”

โม่ฉีหมิงปิดตา เขาจับเก้าอี้รถเข็นเอาไว้แน่น เขาข่มความ คิดที่จะทำร้ายนางเอาไว้

“ท่านอ๋อง” ฉินหมิ่นเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็เลยรีบกล่อมว่า “พระชายาแค่โมโห ก็เลยพูดแบบนั้นออกมา

เย่หวินรีบไปดึงแขนของโล่หวินหลานไว้ ในตอนนี้พวกเขาอยากให้ทั้งคู่กลับมาคืนดีกันให้เร็วที่สุด

พวกเขาคอยติดตามโล่หวินหลานอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่ เกิดขึ้นที่หน้าประตูจวนหลินอ๋อง พวกเขาเห็นทุกอย่าง รู้ว่า โล่หวินหลานกับโม่ฉีซิวนั้นไม่ได้มีอะไรกัน

โล่หวินหลานกระพริบตา ดวงตาของนางแดงก่ำ มือทั้ง สองข้างกำหมัดแน่น

นางกำลังจะเดินไป โม่ฉีหมิงก็ตะคอกมาว่า “หยุดนะ ถ้าข้า ไม่อนุญาต เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

นางตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไม? ข้าเป็นสัตว์ เลี้ยงของเจ้าหรอ ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย?”

“ก็เพราะเจ้าเป็นพระชายาหมิงอ๋อง เป็นชายาของข้าไป เจ้าก็ต้องฟังข้า” โม่ฉีหมิงพูดด้วยความดุ เขาเลื่อนเก้าอี้ รถเข็นมาตรงหน้านาง แล้วจับมือของนางข้างหนึ่งไว้ แล้ว เลื่อนรถไป

เขาไม่สนใจที่นางดิ้นหรือว่าด่าทอเขา โม่ฉีหมิงไม่พูด อะไร แล้วพานางไปที่ห้องเก็บของทางเรือนตะวันตกหลัง หนึ่ง เขาให้บ่าวไพร่เอากุญแจมาไข แล้วก็พานางเข้าไปถึง ปล่อยมือนาง

ที่นี่คือห้องเก็บของห้องหนึ่งของจวนหมิงอ๋ฮง ก่อนหน้านี้ โล่หวินหลานเคยมากับเขาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้เขาพา นางมาที่นี่ทำไม?
ไฟในห้องเก็บของทุกจุดสว่างขึ้น บ่าวไพร่ปิดประตูแล้วก็ ออกไป โม่ฉีหมิงเหลือบมองไปที่โล่หวินหลาน สายตาแบบ นี้มันทำให้นางรู้สึกว่าเขาเหมือนคนแปลกหน้า

ภายในห้องมีลังไม้แกะสลักสวยงามอยู่หลายใบ โม่ฉีหมิง เปิดลังไม้ออกทีละใบ ด้านในมีไข่มุกหยกต่างๆมากมาย

ที่แท้ที่นี่ก็เป็นที่ที่ของคนรวยสมัยก่อนนี่เอง ใช้ลังไม้ มาเก็บสมบัติ แล้วก็ให้คนล็อกประตูแล้วให้คนเฝ้าไว้ ไม่ เหมือนธนาคารในยุคปัจจุบัน เงินยัดไว้ตรงไหนไม่มีใครเห็น

“เลือก” โม่ฉีหมิงชี้ไปที่ลังไม้

โล่หวินหลานอึ้งไป จากนั้นนางก็หัวเราะอย่างไม่พอใจ ว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็มีแค่ของพวกนี้เองหรอ? เทียบไม่ได้กับ กำไลสวยๆชิ้นนี้เลยนะ

นางเกลียดคนที่ใช้เงินซื้อใจที่สุด นี่เป็นครั้งแรกที่นางโก หกโม่ หมิง

นางไม่ได้ชอบกำไลในมือเลย แต่ว่านางแค่อยากจะประ ชดโม่ฉีหมิงเท่านั้น

“งั้นหรอ?” สายตาของโม่ฉีหมิงเย็นชามาก

เขาเลื่อนรถเข็นมาตรงหน้าโล่หวินหลาน จากนั้นก็ดึงข้อ มือของนางมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าสอดเข้าไปในกำไล แล้วถอด

มันออกมา
ขณะที่ใส่หนหลานกำลังตกใจที่ถูกจับข้อมือ กำไล สุดทางเอาไว้ที่โต๊ะแล้ว จากนั้นเขาก็หยิบหินหยกขึ้นมาหนึ่ง ขึ้นแล้วทนไลหยกนั้นจนแตก

ถ้าได้แตกละเอียด

ไม่มีหนังหัวเราะแห้งแล้วโยนหินหยกทิ้งไป จากนั้นก็ แม้วนรสเข็นออกไป

จนค่อยๆพัดผ่านเข้ามาในห้องเก็บของ แต่ว่าแสงเทียน กลับไม่มีลดลงเลย

ใส่หนหลานกระพริบตา มือข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ก้ม

หน้าของกำไลหยกที่แตกอยู่ ทันใดนั้นเองเหมือนนางจะ เข้าใจอะไรขึ้นมา นอกตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลสวมชุดเขียวถือชามรังนก

มาถ่ายหนึ่ง กำลังยืนลังเลอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้าไปข้างใน

นางกำนัลชุดเขียวอีกคนเดินออกมาจากในตำหนัก เห็น นางลับๆล่อๆอยู่ข้างนอก ก็เดินไปตบไหล่ “เจ้ามาทำ อะไรอยู่ตรงนี้?”

นาง กำนัลหันหลังมา พูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “พี่วี่จือ ขากำลังจะเข้าถึงนกไปถวายฮองเฮา แต่ว่าเหมือนพระนาง อยู่ ก็เลยก็เลย……..

นางกำนัลคนนี้คือรู้จัก นางเป็นคนที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ ทำอะไรก็ไม่ค่อยคล่อง ยังดีที่ชื่อ ไม่มี ลูกไม้อะไร

วี่จือขมวดคิ้วแล้วมองไปที่นาง แล้วพูดว่า “ไปเถอะ เดี๋ยว ขายกไปให้ฮองเฮาเอง”

ยังไม่ทันได้เคาะประตู ด้านในก็มีเสียงถ้วยชามแตกเป็น

ระนาว

วันนี้ฮองเฮาอารมณ์ไม่ดี มิน่าถึงไม่มีกล้ามาปรนนิบัติเลย

วี่จือเปิดประตูเข้าไป เห็นแก้วแตกเต็มพื้นไปหมด นาง เดินข้ามเศษแก้วไป แล้ววางรังนกไว้บนโต๊ะ แล้วพูดว่า “ฮองเฮาอย่าทรงกริ้วเลยนะเพคะ กินรังนกสักหน่อยดีกว่า”

เย่ฮองเฮาโบกพัดในมือ แล้วเหลือบไปที่รังนกอย่างไม่ พอใจ แล้วพูดว่า “ยกออกไปทิ้งซะ ข้าไม่กิน

แค่คิดถึงเรื่องที่เมื่อกลางวันไปเจอมาที่จวนหลินอ๋อง นาง ก็แทบจะโกรธจนควันออกหู

“พระนางเพคะ ต่อให้จะทรงกริ้วยังไงก็ตามก็ต้องดูแลพระ วรกายด้วยสิเพคะ ท่านไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เย็นแล้ว นะเพคะ” วี่จือพูด

“ข้ากินไม่ลง คิดไม่ถึงเลยว่าโล่หวินหลานนางจะมีปัญญา มากขนาดนี้ ทำให้ซิวเอ๋อออกหน้าพูดแทนนางได้ ข้าเสียใจ จริงๆ” เย่ฮองเฮาถอนหายใจ
วี่จือรีบพูดขึ้นมาว่า “รัชทายาททรงกตัญญูมาก ไม่มีทาง ย้อนกลับมาทำอะไรพระนางหรอกเพคะ แต่เป็นเพราะว่า พระชายาหมิงอ๋องเคยช่วยชีวิตรัชทายาทไว้ เขาก็แค่อยาก ตอบแทนไปบ้าง ข้าน้อยเห็นว่า รัชทายาทยังทรงดีกับ พระนางอยู่นะเพคะ”

คนในวังหลวงมากมายขนาดนี้ คงมีแค่จือคนเดียวเท่านั้น แหละที่สามารถออกความเห็นต่อหน้าเย่ฮองเฮาได้

เย่ฮองเฮาพูดว่า “นางแพศยานั่น คิดว่าตัวเองเคยช่วยซิว เอ๋อไว้ ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาจริงๆ นี่จะขึ้นมาเหยียบหัว ข้าอยู่แล้ว”

คนที่ทำให้โม่ฉีซิวช่วยพูดให้มีไม่มาก แต่โล่หวินหลาน กลับเป็นหนึ่งในนั้น นางไม่เพียงได้รับความรักจากโม่ฉีหมิง แต่ยังคิดจะไปอยู่ในใจของโม่ฉีซิวด้วย?

“พระนาง นางไม่กล้าหรอกเพคะ ท่านเป็นถึงมารดาของ แผ่นดิน อยู่เหนือคนนับหมื่นนับแสน นางก็แค่ใช้รัชทายาท ให้ช่วยนางเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอกเพคะ” วี่จื่อพูด

เย่ฮองเฮาถอนหายใจ “ซิวเอ๋อเลอะเลือนจริงๆ นางเป็นชา ยาของหมิงอ๋อง ไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรไปยุ่งกับนาง

“พระนาง กินรังนกก่อนเถอะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันช่วยท่าน คิดเอง” วี่จือก้มหน้ายกรังนกมาให้

เย่ฮองเฮาหันไปมองนาง มีเด็กคนนี้นี่ดีจริงๆ ไม่เพียงเจ้าวางแผน ยังซื่อสัตย์ด้วย ทำเพื่อนางได้ตลอด

หลังจากกินรังนกไป วี่จื่อก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาให้

หลังจากนั้นนางก็กระซิบอะไรไม่รู้ข้างหู

แต่หลังจากเย่ฮองเฮาฟังแล้ว ก็ยิ้มมุมปาก แล้วพยักหน้า

หลังจากที่วี่จือพูดจบแล้ว นางก็นั่งตัวตรง แล้วยิ้ม “วี่จือ เจ้าอยากให้ข้าตบรางวัลอะไรให้เจ้าดี?”

วี่จือได้ยินดังนั้น ก็คุกเข่าโขกศีรษะหลายครั้งแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไหนเลยจะกล้ารับรางวัลจากพระนาง คำชมของ พระนางก็ถือเป็นรางวัลใหญ่ของหม่อมฉันแล้ว”

เมื่อฟังวี่จือพูดจบ เย่ฮองเฮาก็ยิ้มหน้าบานไม่หุบ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ