หัวใจอสุเรศ

ตอนที่68เต้นรำ



ตอนที่68เต้นรำ

พระตำหนักซินเห่อด้านบนถูกห้อยด้วยโคมไฟเต็มพื้นที่แสง จากโคมไฟเป็นจุดๆดั่งทะเลนางในทั้งหลายต่างรีบจัดเตรียม งานอย่างเร่งรีบยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปภายในพระตำหนักก็ได้ ยินเสียงเครื่องดนตรีต่างๆเพราะเสนาะหูดังมาจากไกลๆ

พลางเข็นรถเข็นของโม่ฉีหมิงสิ่งแรกที่เข้ามาแล้วเห็น ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือเวทีขนาดใหญ่คิดว่าน่าจะใช้ทำการ แสดงร้องเต้นสองข้างเวทีใหญ่ถูกจัดวางเรียงด้วยดอกไม้สด สวยมากมายมีทั้งดอกลิลลี่กุหลาบพันปีดอกบัวตั๋นและอื่นๆที่ ผลัดกันออกมาให้คนได้เชยชมความสวยงามและความหอม หวลทำให้ทั้งเวทีดูมีชีวิตชีวาขึ้น

เป็นครั้งแรกที่โล่หวินหลานได้เห็นเวทีที่ประดับประดา สวยงามขนาดนี้ถึงแม้ว่าโลกที่นางอยู่นางชอบไปดูการแสดง งิ้วเป็นประจำแต่ก็เทียบอะไรกับที่นี่ไม่ได้เลย

หากโลกอดีตมีกล้องถ่ายรูปที่สามารถถ่ายบรรยากาศที่นี่ เก็บไว้ได้น่าจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนเข้ามาศึกษาได้เลย แหละ

พอถึงที่นั่งบนเวทีก็ได้มีการจัดการแสดงขึ้นสีหน้าของโล่ห วินหลานมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมากมือข้างหนึ่งก็คอยตัก เต้าทึงเข้าปากไม่หยุดเหมือนกับว่าจะลืมสนใจคนรอบข้าง ข้างหลังของนางคือโม่ฉีหานมองด้วยสายตาปกติ

ฮ่องเต้เปิดตัวฮ่องเต้”จ้าวเจิ้งใช้เสียงที่สูงที่สุดของตัวเอง ตะโกนจนสุดเสียงทำให้ลอดผ่านเข้ามาในหูของทุกคน

คนที่อยู่เบื้องล่างก็ค่อยๆทยอยลุกขึ้นทําความเคารพแล้วก็ นั่งดูการแสดงต่อเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นี่เป็นแค่การรวมตัวของญาติพี่น้องทักคนไม่ต้องมี พิธีรีตองมากมายหรอก”เจียเฉิงตี้นั่งลงอย่างน่าเกรงขาม เสียงดังฟังชัดดังเข้ามาในหูของทุกคน

ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นทั้งขอบคุณพอฮ่องเต้สั่งให้นั่งลงได้ทุก คนก็ทยอยกันนั่งลง

“พักนี้เย่กึ่งกงสบายดีนะ?”เจียเฉิงตี้หันไปถามสารทุกข์สุข ดิบกับเย่สิงคือพยายามทำให้ท่าทางของตัวเองอ่อนน้อมที่สุด

จุดประสงค์หลักของวันนี้คือครอบครัวของจวนเย้ที่ทำอย่าง นั้นเพราะเจียเฉิงตี้อยากกระชับไมตรีกับสกุลเย้ทำให้ทั้งสอง สกุลใกล้ชิดกันมากที่สุด

เพราะได้อาศัยบารมีจากฮ่องเต้ทำให้หม่อมฉันสุขสบายดี “ มาตลอดแต่ลูกสาวหม่อมฉันนิสัยดื้อรั้นหนีออกจากบ้านไป เยี่ยนเหมินเพียงลำพังทำให้เป็นอ๋องต้องลำบากพากลับมา ส่ง”เย้สิงจือลุกขึ้นยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเพื่อขอโทษแทน ลูกสาว

ที่แท้คนๆนี้ก็คือเย้กั๋วกงเย้สิงจือโล่หวินหลานได้แต่ สังเกตการณ์อย่างเงียบๆขนคิ้วสีดำเรียงสวยขมวดขึ้นเบาๆ แววตาส่องประกายแวววาวสุกใสดูแล้วสายตาของนาง สามารถกุมทั้งโลกไว้ในมือได้

“เย้ถั่วกงท่านเกรงใจเกินไปแล้วพวกเราต่างคือครอบครัว เดียวกันไม่ต้องพูดห่างเหินกันขนาดนี้หรอกดูเหมือนเซียว โหลจะอายุครบสิบหกปีแล้วสินะ?เคยพบเจอรัชทายาท ยัง?”ชางสิงเจียงหัวเราะขึ้นพลางพูดถึงเรื่องเกี่ยวดองกัน

ฮ่องเต้สามารถเอ่ยถึงลูกสาวของตัวเองได้นี่เป็นโอกาสที่ ยากจะพบเจอเย้สิงคือหันไปมองลูกสาวคนที่สามที่นั่งข้าง กายของตัวเองจึงตอบ เซียวโหลปีนี้ครบสิบหกปีแล้วพ่ะย่ะ ค่ะเคยพบรัชทายาทไม่กี่ครั้ง”

สกุลเย้รุ่นนี้มีบูกทั้งหมดห้าคนลูกชายสามคนลูกสาวสองคน คนหนึ่งคือเย้เซียวโหลที่กำลังอยู่ในวัยบานสะพรั่งยังมี ลูกสาวอีกคนที่อายุยังน้อยยังไม่ครบสิบขวบทางเลือกเพียง หนึ่งเดียวก็เลยตกเป็นเย้เซียวโหลที่ต้องแต่งงานกับ รัชทายาท

เย้เซียวโหลที่กำลังฟังคนทั้งสองที่คุยกันเรื่องการแต่งงาน ของตัวเองรู้สึกว่ารีบร้อนกันเกินไปนางเคยพบเจอหน้ากับ รัชทายาทเพียงไม่กี่ครั้งทั้งสองต่างไม่ค่อยได้คุยกันหรือรู้จัก กันนักสิ่งที่สำคัญที่สุด นางกับรัชทายาทไม่ได้รู้สึกอะไรต่อ กันเลยสักนิดทำไมต้องทำตามการนัดหมายบ้าๆอะไรนี่ด้วย แต่งกับรัชทายาท

นางหันซ้ายขวามองไปรอบๆมือเท้าคางมองไปรอบๆอย่าง เบื่อหน่ายสายตาดันไปสะดุดกับสีหน้าเรียบเฉยของ รัชทายาทพอดีเลยจ้องมองอยู่สักพัก เขาน่าจะรู้อยู่แล้วรู้เรื่องที่ทั้งสองคนต้องแต่งดองกันแล้วมั้ง ทำไมถึงทำท่าใจเย็นอย่างนั้นแถมยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไร เกิดขึ้นได้ล่ะ?

นางรีบซ่อนสายตาอย่างรู้นั่นแววตาสับสับสนวุ่นวายถูกเก็บ ซ่อนไว้สายตาก็หันไปเห็นโม่ฉีหานพอดีมือหนึ่งของเขาถือ จอกเหล้าไว้ดวงตาลึกสุขุมไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่เขามองตา สายตาของเขาไปก็พบกับโล่หวินหลานพอดี

ที่แท้ก็กำลังมองโล่หวินหลานนั่นเองนางก็แค่หญิงที่น่า สงสารแต่งกับคนพิการคนหนึ่งนอกจากปากที่จัดไปหน่อย นอกนั้นก็มองไม่เห็นจริงๆว่ามีตรงไหนน่าสนใจ

“โหลเอ่อโหลเอ่อ …เสียงหนานุ่มของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ดึงสติให้นางกลับมาพบกับโลกความเป็นจริงพอนางหันหน้า ไปทางอื่นเย้ผู้เป็นบิดาก็ขมวดคิ้วมองหน้านางอยู่พัก หนึ่ง”ดูอะไรอยู่น่ะ?ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวฮ่องเต้กำลังเรียก เจ้าเนี่ย! ”

เย้เซียวโหลก็ไม่กลัวรีบหันหน้ากลับเอ่ยด้วยเสียงรู้สึก ผิด“ลูกกำลังดูการแสดงดูเพลินไปหน่อยฮ่องเต้อย่าถือโทษ โกรธนะเพคะ”

เจียเฉิงตี้หาได้โกรธไม่การเลี้ยงฉลองวันนี้ก็เพื่อกระชับ สัมพันธ์กันของทั้งสองบ้านหัวเราะน้อยๆผ่านไป“การร้องรำก็ น่าชมจริงๆนั่นแหละแต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าฝึกร้องรำเต้นมา ตั้งแต่เด็กน่าจะเต้นได้ไม่ด้อยกว่าพวกเขานะไม่อย่างงั้นให้ พวกเราได้ดูชมกันหน่อยเป็นไรชมๆการระบำของเจ้า? ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากแล้วมีหรือคนข้างล่างจะปฏิเสธได้เย้กั่วสิง รู้ว่าเขาต้องการให้เย้เซียวโหลเต้นเพื่อให้รับทายาทหันมาให้ ความสนใจให้ทั้งสองกระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น

ไม่พูดให้มากความเขารีบดันนางออกไปโหลเอ่อฮ่องเต้ก็ เอ่ยปากแล้วรีบไปสิ

นอกจากเรื่องนี้แล้วเย้เซียวโหลก็ทำอะไรไม่เป็นการระบำ เต้นเก่งเพราะมีวิชาติดตัวอยู่แล้วสกุลเย้มักจะให้ลูกสาวของ ตัวเองร่ำเรียนวิชาการร้องเต้นรำและการเย็บปักถักร้อยนาง เลือกเรียนเต้นแต่น้องสาวของนางเลือกเรียนผีผา

การเต้นอ่อนหัดของนางในเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของ นางได้โอกาสพอดีนางจะได้แสดงฝีมือการเต้นระบำของนาง ให้ทุกคนได้ประจักษ์?

ลุกขึ้นยืนเดินขึ้นไปอย่างอกผายไปขอเปลี่ยนเพลงหนึ่ง เพลงแล้วจึงไปเปลี่ยนชุดหลังเวทียืนบนเวทีด้วยท่วงท่าสง่า งาม

ท่วงทำนองแสนหวานของเพลงฉางนิ้วค่อยๆบรรเลงขึ้นบน เวทีดั่งผีเสื้อสวยที่โบยบินสยายปีกเริงระบำอยู่เย่เซียวโหล ค่อยๆมัดผ้ารัดเอวให้แน่นกระชับเอวผ้ายาวพลิ้วบนเอว อ้อนแอ้นเคลื่อนไหวตามท่วงท่าร่ายรำของนางผมดำยาว สลวยพริ้วไหวตามทุกย่างก้าวไปตามแรงลมสะบัดบนเวทีช่าง เย้ายวนใจยิ่งนัก

ท่วงท่าเย้ายวนใจบนเวทีของนางให้ความรู้สึกหลายอย่าง เหมือนเปลี่ยนบทบาทราวกับจะหว่านเสน่ห์คนข้างล่างให้ คล้อยตามนาง

โล่หวินหลานแสยะยิ้มมุมปากมองไปที่โม่ฉีหมิงที่อยู่ข้าง กาย เขาสวมหน้ากากอันเย็นชาทำให้ดูสีหน้าอารมณ์ของเขา ไม่ออก แต่เขากลับบีบมือนางอย่างปลอบประโลมตอนที่นาง มองเขา

นางไม่สนใจอยู่แล้วถึงยังไงเย้เซียวโหลก็แค่เจอนางที่สวน แล้วถกเถียงกันนิดหน่อยนอกนั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสัก นิดความจริงการเต้นของเย้เซียวโหลจะสวยงามขนาดไหนก็ ไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิด

นางหันไปมองโม่ฉีซิวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีหน้าของเขามี ความตะลึงพรึงเพริดแต่ไม่ได้รู้สึกเป็นอื่นมีแค่เพียงความ ตะลึงตกใจเพียงเท่านั้น

แต่โม่ฉีหานที่อยู่ข้างกายเขากลับมีสายตาที่เปลี่ยนไป ท่าทางมือลูบคางดูแล้วเหมือนกับตาแก่บ้ากามไม่มีผิดดูแล้ว โม่ฉีหานน่าจะคิดไม่ซื่อต่อเย้เซียวโหล

แต่ว่าเย้เซียวโหลเป็นคนของโม่ฉีซิวว่าสี่ไท่จีเฟยเรื่องนี้ชัก น่าสนุกแล้วสิ

แค่การรำหนึ่งบทก็ทำให้คนข้างล่างตบมือชื่นชมอย่างไม่ ขาดสาย

เย้เชียวโหลค่อยๆถอยไปข้างหลังเวทีเปลี่ยนชุดเสร็จก็ กลับมานั่งประจำที่เหมือนเดิมมุมปากแสยะยิ้มขึ้นบนใบหน้ามี ความรู้สึกได้ใจกับการแสดงเมื่อครู่ของตัวเองดูแล้วเหมือน กับสตรีเรียบร้อยเขินอายนางหนึ่ง

“ช่างระบำได้ดียิ่งนักข้าขอชื่นชม”ชางสิงเจียงชื่นชมไม่ ขาดปากตอนพูดชื่นชมกลับไม่มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า

“หม่อมฉันทำได้ไม่ดีเลย”เย้เซียวโหลรีบก้มหน้าไม่กล้า สบตาพูดอย่างเหนียมอาย

การถ่อมเนื้อถ่อมตัวของนางยิ่งทำให้เขาชอบนักยังไม่ทัน เปิดปากพระชายาเย้ที่อยู่ด้านข้างก็เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้น ปิดปากหัวเราเบาๆ”ฮ่องเต้โหลเอ่อร่ำเรียนร้องเต้นมาตั้งแต่ เยาว์วัยอาจารย์ที่สอนนางต่างชมนางเป็นการใหญ่ว่าท่วงท่า ของนางสง่างามเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเลิศ

เสียงของพระชายาเย้เพิ่งกล่าวจบ เฟยจี้ข้างๆนางก็พูด เสริม ฮ่องเต้เพคะได้ข่าวมาว่าหมิงหวังเฟยก็ระบำได้ไม่ด้อย กว่าใครเลยสามารถเทียบกับระบำของคุณหนูสามตระกูลเย้ ได้ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเราได้เชยชมหมิงหวังเฟยร่ายรำสัก หนึ่งบทเพลง?”

ประโยคที่พึ่งพูดจบออกมาจากเจินเฟยที่พึ่งได้เลื่อน ตำแหน่งอาศัยที่ตัวเองได้รับความเอ็นดูที่สุดในบรรดานางใน จึงใช้คำพูดเสียดสีคนอื่นได้ขนาดนี้

แต่ว่าตอนนี้เจียเฉิงตี้ยังสนใจนางมากอยู่พอควรไม่ได้พูด อะไรกับนางมากมายขอเพียงแค่นางมีความสุขก็ตามใจนาง ทุกอย่าง

มาวันนี้ขอแค่ปากบางเอ่ยมีหรือที่ชางสิงเจียงจะไม่ให้ความ ร่วมมือ

“งั้นก็ให้จวนหมิงอ๋องร่ายรำให้พวกเราได้ชื่นชมหน่อย เป็นไร”เสียงอันทรงพลังของเจียเฉิงตี้พึ่งพูดจบทุกคนก็มุ่ง สายตาไปที่โล่หวินหลาน

โล่หวินหลานพอถูกพูดถึงก็ทุกคนมองอย่างอึดอัดให้นาง เต้นหรอ?ทำไมไม่ให้นางกระโดดแม่น้ำเสียละนางทำเป็นแค่ รักษาคนร่ายรำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเสียหน่อย!ครั้งนี้ต้องทำให้ นางขายขี้หน้าอย่างแน่นอน

นางหันหน้าไปมองโม่ฉีหมิงสายตาของเขาค่อยๆเย็นชาลง เรื่อยๆเขารู้ดีว่าโล่หวินหลานร่ายรำไม่เป็นเห็นสายตาขอร้อง ขอความช่วยเหลือเขาก็รู้แล้วแต่มาวันนี้ฮ่องเต้เอ่ยปากด้วย ตัวเองหากไม่ขึ้นไปก็เท่ากับขัดคำสั่ง!

โม่ฉีหมิงหมุนล้อรถเข็นขึ้นไปนิดหน่อยเสียงเยียบเย็นของ ทุกคนดังเข้ามาในหูของนาง “ท่านพ่อหวินหลานร่ายรำไม่เป็น ไม่ต้องให้นางเต้นดีกว่านะขอรับอย่าทำให้นางขึ้นไปอับอาย คนอื่นเถอะ”

อาจเป็นเพราะการปฏิเสธตรงๆทำให้เจียเฉิงตี๋ใบหน้าเริ่ม เปลี่ยนสีเมื่อกี้เฟยจ์ที่นางรักใคร่เอ็นดูบอกว่าหมิงหวังเฟย ร่ายรำเก่งกาจเพราะเหตุใดพอเอ่ยออกมาจากปากของหมิงอ๋ องจึงกลายเป็นเรื่องตลกไป? ไม่เพียงแต่เขารวมไปถึงพระชายาเย้ก็ทำตัวไม่ถูกคิดไม่ ถึงว่าเขาจะกล้าออกมาปฏิเสธคำขอจากฮ่องเต้

“ร่ายรำไม่เป็นเป็นไปได้อย่างไร?”คำรามขึ้นอย่าง โกรธเกรี้ยวทันใดนั้นใบหน้าเขาก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ

คนบนเวทีต่างหันไปมองโล่หวินหลานเป็นสายตาเดียวแต่ ไหนมาก็เป็นสถานการณ์ที่วุ่นวายอยู่แล้วน่าเสียดายเงินเฟย ยังไปราดน้ำมันเพิ่มในกองไฟไปอีก “หมิงหวังเฟยเจ้าร่ายรำ ไม่เป็นจริงๆหรือจริงๆแล้วไม่อยากเต้นกันแน่?

โล่หวินหรี่ตามองไปที่สตรีที่หยิ่งยโสทั้งสองตาเจินเฟยใช่ ไหม?ข้าจะจำเจ้าไว้

สายตามังกรพิโรธถึงตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจบลงได้ โล่หวินหลานเลียริมฝีที่แห้งผากเบาๆนางไม่อยากให้โม่ฉีหมิง ผิดใจกับฮ่องเต้เพราะนาง

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เต้นเป็นหรือไม่เป็นแล้วแต่เป็นการที่นางควร ขึ้นไปโล่หวินหลานหนักใจตันไปหมดทันใดนั้นก็คิดออกอยู่ หนึ่งวิธีรีบแย่งโม่ฉีหมิงพูดทันทีฮ่องเต้เพคะไม่ใช่หม่อมไม่ อยากเต้นแต่เป็นเพราะหลายวันก่อนหม่อมฉันเดินไม่ระวัง หกล้มทำให้ขาพลิกแพลงไม่อย่างงั้นให้หม่อมฉันร้องหนึ่ง บทเพลงได้ไหมเพคะ?

ร่ายรำไม่เป็นร้องเพลงก็จบ?ตอนที่อยู่ในโลกอนาคตถึงแม้ เขาจะวันๆจับแต่มีดผ่าตัดอยู่ในโรงพยาบาลแต่ว่านางก็มักจะ หาเวลาพักผ่อนผ่อนคลายให้ตัวเองอยู่บ้างนัดเพื่อนร่วมงาน สองสามคนไปร้องเพลงด้วยกันนางชื่นชอบเพลงของเติ้งลี่ จวนเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ได้ฟังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นางร้องได้เสียงเหมือนมากมีเสียงที่เพราะเหมือนกันมาวันนี้ ร้องสักเพลงจะเป็นไรไป

ชางสิงเจียงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้านบนสีหน้าเริ่มดีขึ้นนิด หน่อยพยักหน้าด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน“ร้องสิ

วินาทีที่นางกำลังจะขึ้นร้องเพลงโม่ฉีหมิงจับมือนางเบาๆพูด เสียงต่ำข้างหูนางเบาๆ “ร้องไม่เป็นก็ไม่ต้องร้อง

โล่หวินหลานค่อยๆแกะมือโม่ฉีหมิงออกนางไม่ร้องตอนนี้ คนที่ต้องโดนทําโทษก็เป็นเขา

เดินอย่างอกผายไหล่ผึ่งขึ้นไปบนเวทีแสงไฟทุกดวงต่าง ส่องแสงไปที่นางยังไม่รู้สึกไม่ค่อยชินอยู่นิดหน่อย แต่นางก็ รีบกลับสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุดแววตาของนางก็รู้สึกสบาย ขึ้นเยอะ

ค่อยๆลืมตาขึ้นกวาดตาไปมองข้างล่างเวทีหาโม่ฉีหมิง สายตาเย็นชาของเขากำลังมองนางหน้าของนางก็เริ่มแดงระ เรื่อค่อยๆเผยรอยยิ้มสดใสขึ้นมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ