หัวใจอสุเรศ

ตอนที่63ฝึกปรือ



ตอนที่63ฝึกปรือ

ตื่นเช้าขึ้นมานางอยู่ในอ้อมกอดของโม่ฉีหมิง

หลังจากผ่านหลักสูตรความรักที่เขาสอนให้โล่หวินหลานถึง คำนึงถึงอันตรายของเขายื่นมือไปจับปากตัวเองเบาๆที่ตอนนี้ บวมแดงเจ่อยังมีบางส่วนที่ถูกกัดดูดจนเป็นแผลกว่าจะสงบ ลงได้เลือดคลั่งที่ปากเป็นที่เรียบร้อย

แสงแรกยามเช้าจากดวงตะวันสาดส่องลอดผ่านหน้าต่าง เข้ามาในห้องที่อบอวลไปด้วยความรักทำให้คนที่หลับไหลอยู่ บนเตียงถึงกับปิดตาหยีที่ไม่ได้หลับมาทั้งคืนโล่หวินหลานตื่น นานแล้วเท้าคางมองไปที่เขาที่ลงโทษนางทั้งคืน

แม้กระทั่งตอนหลับใบหน้าของเขาก็ยังคงสวยงามอย่างนี้ ปกติมักขี้เก๊กเงียบอย่างดีไม่ดีรึไง?

นางยื่นมือไปลูบคิ้วของเขาเบาๆขนตาสีดำเรียงสวยมีบ้างที่ ลมพัดมาแล้วขนตาพลิ้วไหวน้อยๆนางยื่นมือจับให้หยุดนิ่งนิ้ว มือลูบไปที่คิ้วของเขากวาดตาลงที่ตาจมูกสุดท้ายมองไปที่ ปากของเขาความเยือกเย็นที่พัดมาทำให้มือนางอุ่นร้อนขึ้น

โม่ฉีหมิงรีบจับมือนางไว้ว่งไว้ที่มุมปากแล้วก็จูบเบาๆ

“เจ้าตื่นแล้วหรอ?”โล่หวินหลานรีบชักมือกลับใบหน้าหวาน เริ่มแดงซ่านขึ้นเรื่อยๆ

ท่าทางที่ลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างหลงใหลเหมือนเขาจะรู้ หมด?

เหมือนกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่โม่หมิงหัวเราะเสียง “ข้านอนไม่เคยหลับลึก

หมายความว่ายังไง?เหมือนจะบอกให้นางรู้กลายๆว่าเขารู้ ว่าตอนที่เขาหลับนางทำอะไรกับหน้าเขาบ้าง?

โล่หวินหลานอายจนอยากม้วนตัวเข้าถ้ำไปทำไมถึงไม่ได้ เรื่องอย่างนี้!

เงยหน้าขึ้นอีกครั้งโม่ฉีหมิงก็ลุกขึ้นเตรียมใส่เสื้อผ้าแล้วโล่ หวินหลานตบหน้าตัวเองเบาๆแล้วลุกขึ้นตามเย่หวินเตรียมกำ ละมังล้างหน้าเขามาแต่งเนื้อแต่งตัวให้นาง

ขณะที่ล้างหน้ามองไปที่ปากของตัวเองที่มีแผลขมวดคิ้ว เข้มจ้องมองอยู่ต่ตรงนั้นมีความตกใจเรียก“วะหวังเฟยริม ฝีปากท่านไปโดนอะไรมา?โดนตัวอะไรกัดมา?”

โม่ฉีหมิงหันหน้าไปช้าๆมองไปที่เย่หวินแล้วก็หันหน้ากลับ ไปอย่างรวดเร็ว

เห็นโม่ฉีหมิงมองอย่างนั้นไม่ช่วยนางแก้ตัวหน้านางก็เริ่ม แดงขึ้นไม่อธิบายอะไรรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที“ตื่นขึ้นมาอีกที ก็เป็นอย่างนี้แล้วนี่เย่หวินเช้าวันนี้มีอะไรกินบ้าง? เต้าฮวย ไหม?”

เย่หวินรีบตอบกลับทันที”มีเพคะท่านอ๋องรู้ว่าท่านชอบกิน สั่งให้ในครัวเตรียมให้ท่านทุกวันเลย!”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบแต่งตัวเถอะข้าหิวจะตายอยู่แล้วเอ่อจริง ด้วยสิคราวหลังจำไว้ว่าเวลาแต่งตัวให้ข้าอย่าพูดมากทำอย่าง นี้มันไม่ดี”โล่หวินหลานตักเตือน

เมื่อก่อนตอนแต่งตัวให้นางคุยไปด้วยไม่เห็นจะเป็นอะไร เลยทำไมมาวันนี้ไม่ให้นางพูดแล้วล่ะ?เย่หวินทำเหมือนเข้าใจ พยักหน้าตอบกลับแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีกเลยรีบ แต่งตัวให้นางแล้วหวีถักเปียผมให้สวยงามที่สุด

ขาของโม่ฉีหมิงฟื้นตัวได้ไม่เลววันนี้ก็เริ่มหัดเดินได้แล้วพอ กินข้าวเช้าเสร็จโล่หวินหลานก็เข็นเขาไปที่ที่จัดเตรียมให้เขา เหมือนศูนย์กายภาพบำบัดไม้ค้ำสองอันทำขึ้นอย่างง่ายๆบน พื้นปูพรมกันลื่นไว้สองข้างมีไม้ค้ำช่วยพยุง

โม่ฉีหมิงทำตัวไม่ถูกของพวกนี้จัดเตรียมขึ้นไว้ให้เขาหัด

เดิน

“หมิงหลังจากนี้ก็ใช้ที่นี่แหละหัดเดินข้าสอนให้เจ้าก่อนว่า เดินยังไงมาพร้อมกันสิ”โล่หวินหลานพยุงแขนเขาค่อยๆลาก ขาขึ้นเดินตามมา

ขาสองข้างของเขายังยืนได้ไม่ค่อยตรงแค่โล่หวินหลาน คลายมือเบาๆเขาก็ตัวอ่อนพับลงมาพื้นแล้วนางพึ่งสังเกตว่า ตัวเองไม่สามารถพยุงเขาคนเดียวได้จึงรีบเรียกฉินหมิ่นเข้า มาช่วยฉินหยิ่นได้ยินจึงรีบเข้ามาพยุงแขนเขาอีกข้าง ใต้แรงของสองคนที่ช่วยกันโหมิงค่อยๆก้าวเท้าเดินถึง แม้ว่าเขาจะใช้แรงไม่มากแต่ว่าอาศัยใช้แรงของทั้งคู่ช่วย พยุงก็ถือว่าช่วยให้เขาเดินไปถึงเสาทั้งสองต้น

“ขารู้สึกยังไงบ้าง?ถ้าเจ็บก็ให้พูดออกมาโล่หวินหลานเห็น เขาเหงื่อซึมเต็มหน้ารู้สึกเจ็บแทนจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาซับ เหงื่อ

โม่ฉีหมิงกัดฟันส่ายหน้าสองมือจับไปที่เสาสองต้นแน่น อาศัยใช้เสาทั้งสองต้นพยุงตัวเองขึ้นมาแต่เดินไปไม่ถึงสอง ก้าวคนทั้งคนก็ล้มลงพื้นโล่หวินหลานยังไม่ทันได้แตะมือเขา เขาก็ล้มลงอยู่ข้างเสาอย่างแรง

“ท่านอ๋อง……

“หมิง…….

ทั้งสองรีบวิ่งไปพยุงเขาขึ้นมาแต่โม่ฉีหมิงกลับโบกปัดมือ เหงื่อซึมเต็มหน้าหยาดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก เขาใช้ แรงเป็นอย่างมากในการยื่นขึ้นมา ยังจะต้องฝึกฝนอีกเยอะ

หมิงหากเจ้าไม่ไหวแล้วก็พักเถอะพรุ่งนี้ค่อยฝึกถึงยังไงนี่ก็ ไม่ใช่เรื่องที่วันเดียวจะเสร็จสมบูรณ์ได้”โล่หวินหลานอดที่จะ เตือนเขาไม่ได้เห็นเขาเจ็บอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่ดีตามไปด้วย

“ข้ายังไหวข้าจะไม่ยอมแพ้”โม่ฉีหมิงส่งยิ้มให้นางวางใจตัว เองก็ลองลุกขึ้นอีกครั้งเดินไปที่เสา โล่หวินหลานน้ำตารื้นคลอเบาๆ “ขาไม่ต้องก้าวยาวมากขา ต้องยืนให้มั่นเทน้ำหนักลงไปที่ขาข้างหน้า

คอยฟังโล่หวินหลานสั่งการโม่ฉีหมิงกัดฟันอดทนขาของ เขาก้าวยังไม่ค่อยมั่นคงถ้าไม่ใช่ว่าเขาร่างกายแข็งแรงอยู่ แล้วเดินอย่างนี้คนเดียวจะทำให้บาดเจ็บยิ่งขึ้น

ฉินหมิ่นอ้าปากกว้างพอจะกลืนไข่เข้าไปทั้งใบได้ท่านอ๋อง ตอนนี้เดินได้แล้วตอนนี้เดินได้แล้วจริงๆ!ถึงแม้จะเดิรได้ไม่ ค่อยดีแต่ถ้าฝึกอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ก็ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

มีเสียงเคาะประตูดังออกมาจากด้านนอกโม่ฉีหมิงอนุญาต ให้เข้ามาได้พลางเห็นสวินโม่ที่เข้ามาอย่างแตกตื่น

“ท่านอ๋อง……….ท่านอ๋องขาท่านหายดีแล้ว?”หน้าตาของสวน โม่เหมือนฉินหมิ่นไม่มีผิดต่างตกใจไม่แพ้กัน

ถึงในสมองจะเคยคิดภาพตอนโม่ฉีหมิงยืนขึ้นได้แล้วแต่ก็ ตกใจที่วันนี้ได้เห็นกับตาแล้ว

ขาเรียวยาวของเขายืนขึ้นตรงอยู่ที่ระหว่างเสาสองต้นมี ความหล่อเหลาเหมือนกันแต่มีความโก่งตัวเล็กน้อยสองมือจับ เสาแน่นทำให้ทุกคนหันเหสายตาไปมองที่ขาเขาหมด

“ใช่แล้ว”โล่หวินหลานพยักหน้าสั่งเขาให้ฝึกต่อ

“ช่างมหัศจรรย์นักไม่เคยไม่เคยเจอไม่เคยเจอการแพทย์ อย่างนี้! “สวินโม่ตกตะลึงในประโยคมีแต่ความอัศจรรย์ใจ

มองเขาอย่างไม่ละสายตาในท่าเดินของโมฉีหมิงไม่ทันรู้สึก ตัวก็ตกอยู่ในภวังค์นั้น

โล่หวินหลานรู้สึกได้ว่าสวินโม่มองอย่างไม่วางตาแล้วก็ ทำงานในมือต่อการกายภาพบำบัดที่ธรรมดาๆจะทำให้คน สมัยโบราณแปลกตาไม่รู้ว่าถ้าพวกเขาเห็นการแพทย์แรกเริ่ม จะไม่ยิ่งตกใจกว่านี้หรอ

โม่ฉีหมิงกัดฟันเดินต่ออีกครึ่งชั่วยามโล่หวินหลานเดินไป หยุดที่เสาไปดักหน้าเขาไว้พลางพูด“วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนพรุ่งนี้ ก็ทำเหมือนเดิมหัดเดินวันละหนึ่งก้านธูป”

ฉินหยิ่นรีบเข็นรถเข็นมาให้เขานั่งโล่หวินหลานก็หยิบผ้า เช็ดมือมาซับเหงื่อให้เขานางรู้ดีว่าในใจเขาอย่างรีบยืนให้ได้ เร็วที่สุดแต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้แล้วเสร็จภายในวันเดียวยัง ต้องใช้เวลา

“หวังเฟยถ้าใกอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆอีกนานไหมกว่าจะเดินได้ เอง?”สวินโม่ถามขึ้นอย่างสงสัย

มองดูโม่ฉีหมิงฝึกเดินวันนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยคล่องตัวแต่ถ้า พัฒนาฝึกฝนไปเรื่อยๆ รอแค่วันเวลาเท่านั้น

“น่าจะใช้เวลาประมาณสามเดือนแต่ว่าถ้าหากฝึกการเดิน ได้ดีน่าจะใช้ไม่ค้าในการเดินได้”โล่หวินหลานตอบประโยคนี้ ก็ตั้งใจพูดให้โม่ฉีหมิงได้ยินให้เขารู้ว่าขาเขาต้องหายให้ได้ “ท่านอ๋องท่านได้ยินไหม?ต่อไปนี้ท่านจะเดินเองได้แล้ว!ต่อ ไปนี้ก็จะไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องขาของท่านอีก”ฉินหยื่นดีใจ จนออกนอกหน้าในใจรู้สึกดีใจจริงๆ

แต่โล่หวินหลานก็พูดปลอบใจเขาในประโยคสุดท้ายมอง อย่างสงสัยไปที่ฉินหยื่นมีบางครั้งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คน อื่นจะพูดเรื่องความพิการของเราไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เพราะว่าคนล้วนต่างนินทากันทั้งนั้นยิ่งศัตรูที่รายล้อมยิ่งไม่ ต้องพูดถึง

นางมองไปที่ฉินหยื่นตอบอย่างไร้สีหน้าอารมณ์“ฉินหมิ่น ประโยคที่เจ้าพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง?อะไรคือนำเรื่องของ ขาที่บาดเจ็บของท่านอ๋องมาเป็นประเด็น?”

ฉินหมิ่นพึ่งรู้สึกตัวว่าพูดผิดไปรีบปิดปากสนิทมองไปที่โม่ ฉีหมิงนัยน์ตาของเขาดุจดั่งหิมะที่ทับถมกันมาพันปีแล้วไม่ ละลายสัก เย็นยะเยือกเหมือนอยู่ท่ามกลางหิมะเขารีบเข็น รถเข็นออกไปอย่างไม่กล้าพูดอะไรอีก

ฉินหยิ่นรีบก้าวตามออกไปทันที

โล่หวินหลานมองไปที่สวินโม่ด้วยความงงงวยเขาเกาหัว เบาๆให้รู้ว่าเขาก็จนปัญญาจริงๆแล้วเดินตามออกไปจากห้อง

ลับ

ร่วมกันปิดนางอีกคน!

โล่หวินหลานเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์พลางเห็นสวิน โม่เดินเข้าห้องหนังสือกับโม่ฉีหมิงพอทั้งสองเข้าไปในห้อง หนังสือก็มีเรื่องคุยกัน

นางมองทั้งสองอย่างใช้ความคิดถึงแม้นางจะตามโฟนีหมิง เข้าไปในห้องหนังสือนางก็ไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกกลับ อาจจะถูกสองคนนั้นกวนประสาทก็ได้สู้ไปลงมือกับฉินหยื่นดี กว่าถ้าไม่ไหวจริงๆก็ไปเค้นความจริงจากเย่หวิน

ณห้องหนังสือบรรยากาศดูไม่ค่อยสบายนักสาวใช้รินน้ำชา แล้วก็ถอยออกจากห้อง

โม่ฉีหมิงมือไขว่หลังมองไปที่ชั้นวางของโบราณข้างบนมี แจกันโบราณสีสันสวยงามยิ่งนักดอกไม้หลากสีสันรายรอบ แจกันทั้งใบเขาจ้องมองอยู่สักพักถามเสียงเย็น ตอนนี้ สถานการณ์เป็นยังไง?”

สวินโม่ตอบกลับเสียงขรึม ท่านอ๋องอีกไม่กี่วันเวินอ๋องก็จะ กลับจิงเฉิงแล้วได้ข่าวว่าขณะที่เป็นอ๋องอยู่เบี้ยนเหมินได้ช่วย ชีวิตสตรีนางหนึ่งไว้ผู้หญิงคนนี้ที่มาไม่ธรรมดาหลังจากที่ รายงานเบื้องบนเสร็จฮ่องเต้ก็เรียกเขาพาผู้หญิงคนนี้กลับจึง เฉิงด้วย”

โม่ฉีหมิวไม่พูดอยู่นานนำแจกันดอกไม้จากชั้นวางโบราณ ลงมาลูบมองอย่างละเอียดไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่สีหน้า ท่าทางของเขายังคงนิ่งสงบเหมือนผืนน้ำถึงจะเกิดเรื่องใหญ่ ขนาดไหนก็ตามก็ไม่สามารถทำให้เขาขมวดคิ้วได้

“กลับมาก็ดี เขาวางแจกันดอกไม้ลงน้ำเสียงเยือกเย็นมี ลักษณะเย็นชาแฝงออกมา

สวินโม่เดาไม่ถูกกลับมาแล้วดียังไง?คนที่อยู่เบี้ยนเหมิน ไม่ใช่ที่ทีดีอะไรเลย

ท่านอ๋องกลับมาแล้วดี?”สวินโม่ยังคงไม่คลายความสงสัย “

สถานที่แบบเยี่ยนเหมินไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้กลับ จะลืมเขาได้อย่างง่ายดายแต่ที่แบบนั้นก็ง่ายต่อการรวบรวม อำนาจของตัวเองดั่งนั้นเขาก็ได้แต่จุดใต้ตำตอเรื่องที่เขาทำ อยู่ดูแค่ชั่วพริบตาก็รู้ได้เลยว่าเขากำลังจะทำอะไร

นี่ก็คือข้อดีของการกลับมาของเขาโม่ฉีหมิงแสยะยิ้มมุม ปากเรื่องของเจ้าเมืองหงเฉิงเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว

โม่ฉีหมิงม้วนตัวกลับมาถามเสียงขรึม ของเอาได้รึยัง?”

สวินโม่ถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มาทำอะไรนำตำราหนาเล่มนึง ออกมาจากอกเสื้อยื่นให้โม่ฉีหมิง ท่านอ๋องของข้าเอามาให้ หมดแล้ว”

แสงแดดส่องสะท้อนมาที่ตำราเล่มสีน้ำเงินทำให้เห็นถึง ความเปล่งปลั่งของตำราเล่มนั้นโม่ฉีหมิงตำราพวกนั้นมาดูยื่น มือพลิกไปมาชื่อข้างในประทับแน่นิ่งอยู่บนนั้น

นัยน์ตาสีดำสนิทดั่งหมึกเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกสอง มือกำตำราในมือแน่นจนตำราจะถูกเขาฉีกขาดเขาถึงค่อยๆ คลายมือ สวินโม่กลั้นหายใจไม่กล้าพูดอะไรจนกระทั่งโม่หมิวยอม คลายมือออกเขาถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ”ไม่หมิงกล่าวอย่างเงียบสงบสวินโป รีบถอยออกไปทันที

ภายในห้องเงียบลงโม่ฉีหมิงโยนตำราวางไว้ข้างๆเขารู้แล้ว ว่าทำไมคนๆนั้นถึงลอบสังหารเจ้าเมืองหงเฉิงฉินเจี้ยนแต่ไม่ ชิงข้อมูลพวกนี้ไป

เขาแสยะยิ้มมุมปากขึ้นสายตาดุจดั่งปีศาจที่เงียบขรึมรอวัน

ปะทุ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ