หัวใจอสุเรศ

ตอนที่69ขับร้อง



ตอนที่69ขับร้อง

โล่หวินหลานหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะมองไปที่โม่หมิง นางรู้สึกเตรียมตัวเตรียมใจรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นต่อจากนี้

หายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งตอนนี้ในหัวค่อยๆคิดทำนองเนื้อ ร้องออกมาค่อยๆเปิดปาก“เรื่องราวมากมายในเมืองเล็กๆเต็ม ไปด้วยความสุขสันต์เริงรื่นหากคุณมาถึงเมืองเล็กๆแห่งนี้ ย่อมได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆมากมายฟังเสียงเปรียบเสมือนเพ ลงๆหนึ่งมองไปดุจภาพเขียนใบหนึ่ง…….

ไพเราะเพลงที่ร้องคือเพลงของเติ้งลี่จวนชื่อเพลง “เซี่ยวเฉิง หู้ซื้อโต”เสียงร้อนหวานใสที่ออกมาจากปากบางจากเดิมที่ นางสวยอยู่ยิ่งเปล่งเสียงร้องออกมายิ่งเพิ่มให้นางสวยสง่าขึ้น ไปอีกทำให้ความหมายของบทเพลงยิ่งมีความหมายลึกซึ้งขึ้น นางซาบซึ้งเคลิ้มไปสู่บทเพลงของเติ้งลี่จวนเสมือนกับนางถูก ดูดเข้าไปอยู่กับในเพลงอย่างถอนตัวไม่ได้

คนข้างล่างต่างหลับตาใช้หูสำผัสเสียงอันไพเราะนี้แสงไฟ ส่องสว่างสาดกระทบกับใบหน้าของนางชุดสีเขียวอ่อนที่นาง สวมใส่อยู่ไม่เหมือนสีเขียวทั่วไปแต่ให้ความรู้สึกที่เป็นสีเขียว ที่มีชีวิตชีวาเหมือนกำลังเริงระบำอยู่บนเวทีที่พริ้วไหวอยู่

โม่ฉีหมิงกำลังชื่นชมการแสดงบนเวทีของโล่หวินหลานเขา พลันรู้สึกว่านางเป็นไม่เหมือนคนที่เขาเคยรู้จักในตัวนางมี หลายอย่างมากที่ไม่รู้เกี่ยวกับนาง นางดูเหมือนทำไรไม่เป็น เลยแต่ความจริงแล้วนางทำเป็นทุกอย่างแม้แต่ร้องเพลงยัง ร้องได้ไพเราะเสนาะหูขนาดนี้ ลึกๆแล้วเขารู้สึกเหมือนเขายังคว้าขวานางไม่แน่นพอในครั้ง

แรก

นางไปจากเขาไม่ได้เด็ดขาด!

เขารู้ว่าหลังจากเพลงนี้ไปต้องมีคนมากมายคลั่งไคล้นางแต่ ไม่ว่าจะเป็นใครแย่งนางไปจากเขาไม่ได้เด็ดขาด

บทเพลงๆหนึ่งนางเก็บแก้วเสียงกังวานของนางหมุนตัวกลับ ลงจากเวทีแต่ขณะลงจากเวทีไม่มีใครปรบมือให้นางสักคน นางกำลังสงสัยแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือเกรียวกราวดัง สนั่นไปทั่ว

“ร้องได้ดีมากร้องได้ดีมาก!

เจียเฉิงตี้ฟังบทเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าวิญญาณได้ถูกสูบออกไป ค่อยๆเปิดปากพูดออกไป”หมิงหวังเฟยเจ้าร้องเพลงอะไร ทําไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

หาท่านเคยได้ยินสิถึงแปลก

โล่หวินหลานพูดขึ้นอย่างถ่อมตัว “ตอบฮ่องเต้หม่อมฉันแค่ เคยได้อ่านจากตำราเล่มหนึ่งมาเลยคิดแก้ทำนองนิดหน่อยให้ สอดคล้องกับเนื้อเพลงเพราะฉะนั้นถึงได้มีบทเพลงนี้ขึ้นมา ชื่อเพลง เซียวเฉิงกู้ชื่อ’เพคะ”

“เซี่ยวเฉิงกู้ชื่อเซี่ยวเฉิงกู้ชื่อ…………..ข้าจะมองรางวัล ให้นางๆๆ! “เจียเฉิงตี้พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นประโยคเดิม ถึงสามครั้ง

ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ยังมีคนข้างกายพระชายาเย้และต้วน กุ้ยเฟยต่างพ่ายแพ้ยอมรับเสียงของนางอย่างราบคาบแต่อีก ด้านหนี่ยสีหน้าของเงินเฟยเปลี่ยนไปมองไปที่โล่หวินหลาน ด้วยความเคียดแค้นทั้งๆที่นางอยากทำให้โล่หวินหลาน อับอายขายขี้หน้าแต่ใครจะไปคิดว่านางจะแย่งความสนใจ จากเย้เซียวโหลได้

สีหน้าของนางมองไปที่พระชายาเย้เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วย ความอึดอัดพระชายาเย้พลางตบมือพลางหันหน้าจ้องตา เขม็งใส่นาง นางรู้ดีอยู่แก่ใจเรื่องที่ตัวเองทำผิดรีบก้มหน้าไม่ กล้าสบตา

เจินเฟยเพลงของหมิงหวังเฟยเพราะไหม?”เจียเฉิงตี้หัน กลับไปเจินเฟย

ในเวลานั้นเจินเฟยทำอะไรไม่ถูก รีบพยักหน้า“ไพเราะ ไพเราะเพคะ”

จ้าวกงๆรีบไปคลังสมบัติหยิบไข่มุกออกมาส่งมอบให้โล่ห วินหลานเขาทำงานให้กับเจียเฉิงตี้มาเนิ่นนานทุกครั้งขอให้ เจียฉิงตี้เอ่ยปากออกมาเขาก็สามารถรู้ได้ว่าต้องให้ของอะไร แก่ใครย่อมไม่ทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังอยู่แล้ว

พอรับของกำนัลจากพระราชทานมาแล้วโล่หวินหลานก็หัน ไปขอบคุณช่องเต้เป็นการใหญ่ วันนี้ได้ฟังเพลงสบายหูหนึ่งบทเพลงไม่เพียงแค่ได้เข้าไปนั่ง ในหูของหลายคนยังเข้าไปอยู่ในของผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย

คนสกุลเยีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายสีหน้าไม่ค่อยดีนักทุกคนเหมือน ลืมการร่ายรําเมื่อสักครู่ของเย้เซียวโหลไปถนัดตาสายตา ของทุกคนกลับตราตรึงแต่บทเพลงไพเราะของโล่หวินหลาน โดยเฉพาะเย้เซียวโหลนัยน์ตากลมโตเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า

ท่านพ่อ! “เย้เซียวเรียกอย่างไม่พอใจหันหน้ามองไปทางเย้ กั๋วกงหวังว่าเขาจะช่วยนางทวงความยุติธรรมช่วยนางพูด หน่อย

เย้กั๋วกงมองไปที่นางเพียงครูให้นางเก็บอารมณ์ไว้หันหน้า กลับไปเตรียมพูดกับเจียเฉิงตี้ต่อ “หมิงหวังเฟยไม่ผิดที่มีชื่อ เสียงนอกจากเป็นหมอเทวดาแล้วคิดไม่ถึงว่าเสียงจะเพราะ ขนาดนี้โหลเอ่อช่างเทียบกับท่านไม่ติดจริงๆ!

ถึงคำพูดของเขาจะเหมือนการชื่นชมนางแต่ก็ยังไม่แคล้ว เอ่ยถึงเย้เซียวโหลเข้าในบทสนทนาให้ทุกคนเห็นหัวนางด้วย

การร่ายรำของเซียวโหลก็สวยงามมิมีใครเปรียบ”เจียเฉิงตี้ หันไปมองกั๋วกงอยู่ชั่วครู่แล้วจึงรีบหันหน้ากลับอย่างเร็วไม่ มองเขาอีก

เย้กั๋วกงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยถูกเจียเฉิงตี้พูดจาเสียดสี อย่างนี้ยิ่งทำให้เขาพูดอะไรไม่ค่อยสะดวกนั่งลงดื่มเหล้าต่อ หน้าชานั่งเพลิดเพลินกับการแสดงด้านบนต่อ แต่เย้เชียวโหลนั่งข้างเขาอย่างไม่สบอารมณ์คิ้วสวยขมวด แน่นดวงตาหรี่ลงอย่างหมายหัวมองไปที่โล่หวินหลานดูทะลุ ผ่านเสื้อผ้าเหล่านางในยิ่งรู้สึกกับแค้นชิง หน้านางมากขึ้น สายตาขุ่นมัวยิ่งนัก

ต่อมาเจียเฉิงตี้ก็ให้บรรดานางในฟ้อนรำแสดงต่ออีกเพราะ การแสดงข้างหน้าของโล่หวินหลานกับเย้เซียวโหล การ แสดงข้างหลังจึงไม่ค่อยสนุกไม่มีความน่าสนใจ

โหลหวินหลานวางรางวัลที่ฮ่องเต้ประทานให้เย่หวินถือไว้จึง หันกลับมาอีกรอบแก้วข้างหน้าของนางถูกเติมเหล้าจนเต็ม แก้ว บนจอกแก้วลวดลายสลักสวยงามตระการตายิ่งนักนาง ยิ้มน้อยๆรู้สึกกระหายน้ำอยู่พอดี

“ช้าๆหน่อย”โม่ฉีหมิงนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากให้นาง เบาๆตำหนิเสียงอ่อนอย่างเอ็นดู

โล่หวินหลานยิ้มอ่อนๆให้เขาแววตาของช่างอ่อนโยนเหลือ เกินดั่งแสงทองสาดส่องมาที่นางม่านตาดั่งคลื่นซัดสาด เหมือนนางจะถูกนัยน์ตาของเขาดูดกลืนเข้าไป

พวกเขาจู๋จี๋กันสองคนความรักที่มีให้กันของทั้งคู่ล้วนอยู่ใน สายตาของผู้ที่ประจักษ์พบเห็นแต่ก็ทำให้ทำร้ายจิตใจคนไป หลายคน

โม่ฉีหานค่อยๆหรี่ตาสายตายิ้มขำหัวเราะไปทางท่าทางของ นางอย่างเย้ยหยันแก้วแล้วแก้วเล่าถูกไหลลงคออย่างต่อ เนื่องนานอยู่พอควรกว่าเขาจะผละสายตาไปทางอื่น โม่ฉีซิวที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกเจ็บใจไม่แพ้กันเมื่อกี้สายตาของ เขาจ้องไปที่โล่หวินหลานอยู่ตลอดปิ่นหยกบนหัวของนางช่าง บานลึกจิตใจเขายิ่งนักเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสียงของนางจะ ไพเราะสะกดใจคนที่ได้ฟังขนาดนี้เพราะกังวานใสดั่งเสียง ของนกไป๋หลิงกำลังร้อง

ในเวลาเดียวกันนางก็นั่งอย่างสงบข้างกายโม่ฉีหมิงใบหน้า เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ทันใดนั้นเองท่ามกลางความวุ่นวายก็มีเสียงหวานใสเสียง หนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนค่อยๆเงียบเสียงลงทุกคนในที่นั้นต่าง พากันหันไปมองที่เย้เซียวโหลเป็นสายตาเดียวเย้เซียวโหล กำลังยกจอกเหล้าขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม“หมิงหวังเฟย ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”

เสียงของนางตัดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายอย่างคาดไม่ถึง เย้กั๋วกงขมวดคิ้วขึ้นรู้ว่านางรู้สึกไม่พอใจแต่เขาเริ่มโกรธนาง ดึงแขนเสื้อนางให้นั่งลงเสียงเข้มกล่าวขึ้น“โหลเอ่อเจ้าจะทำ อะไร?”

เย้เซียวโหลไม่เคยสนใจเย้สิงฉือแกะมือของเขาออกค่อยๆ เกินกลับไปนั่งประจำที่อย่างช้าๆแววตาจ้องมองโล่หวินหลาน ยังไม่คาดสายตาเหมือนอยากกลืนนางเข้าไปทั้งตัว

แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยถูกแย่งซีนมาก่อนตั้งแต่เล็กจน โตนางก็ถูกพ่อแม่รวมถึงพี่ชายทั้งสามโอบอ้อมมาโดยตลอด ถึงจะเป็นคนนอกพอได้ยินชื่อสกุลเย้ต่างก็ต้องหลบให้ไกล แต่โล่หวินหลานกลับกล้าแย่งซีนนางยังทำให้ทุกคนมองไปที่ นาง

เย้เชียวโหลไม่เคยเสียเปรียบใครมาก่อนแต่ตอนนี้นางจะ ค่อยๆเอาคืนนางทีละอย่าง

ถือจอกเหล้าค่อยๆก้าวไปหานางอย่างเชื่องยาชุดที่นางสวม ใส่อยู่ทำให้นางตกอยู่ในท่ามกลางความหลงกับหลงระเริงกับ แสงสีดั่งดอกบัวตั๋นที่บานสะพรั่งสวยสดแต่ว่าตอนที่นางเดิน ไปถึงข้างหน้าของโล่หวินหลานสีสันต่างๆในโลกใบนี้เปลี่ยน เป็นดอกบัวที่ไม่โดนดินโคลนเลยแม้แต่น้อย

“หมิงหวังเฟยสียงเพลงของท่านช่างไพเราะนักข้าไม่อาจ เทียบท่านได้เลยดังนั้นจอกนี้ข้าขอดื่มให้ท่าน”เย้เซียวโหล จ้องสตรีข้างหน้าไม่วางตาอย่างโล่หวินหลานดื่มจนหมดแก้ว

โล่หวินหลานยิ้มอ่อนตั้งแต่ต้นมือวางอยู่บนโต๊ะอยู่ตลอดริน เหล้าลงในจอกลุกขึ้นดื่มเหมือนนางจนหมดจอก

นางจะคอยดูต่อหน้าเชื้อพระวงศ์และสกุลเย้เยอะขนาดนี้เย้ เซียวโหลจะเอาอะไรจากนางอีก

ดื่มเหล้าลงไปแล้วมองเย้เซียวโหลด้วยใบหน้าเรียบเฉย แสยะยิ้มมุมปากขึ้น

เย้เซียวโหลจึงรินเหล้าลงจอกอีกแก้วครั้งนี้อาศัยความ มอมเมาก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างรวนเรแบบนี้ถึงจะเกิดอะไร ขึ้นก็สามารถหาข้อแก้ตัวได้ว่านางมึนเมาถึงทำอย่างนี้ลงไป หมิงหวังเหยรูปโฉมสวยงามขนาดนี้อีกทั้งยังมีเสียงไพเราะ “ ขนาดนี้ทำไมถึงแต่งกับหมิงอ๋องได้?หมิงอ๋องใบหน้าเสียโฉม ขาแข้งยังเดินไม่ได้เทียบอะไรไม่ได้กับรัชทายาทกับเงินอ๋ อง!”เย้เซียวโหลตะโกนสุดเสียงอย่างบ้าคลั่งไม่สนใจผู้คนที่ นั่งอยู่ข้างล่างเลยสักนิดทำให้ทุกต่างตกใจกันไม่น้อย

ไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าฮ่องเต้กับบรรดาราชวงศ์ ขนาดนี้มาก่อนคำพูดของเย้เซียวโหลไม่เพียงพูดถึงใบหน้าที่ เสียโฉมยังไปเปรียบเทียบกับรัชทายาทกับเงินอ๋องนางทำให้ องค์ชายทั้งสามถูกพูดถึงภายในชั่วพริบตาหากนางไม่ใช่คุณ หนูสามตระกูลเย้ไม่รู้ว่าต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง

พึ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงคำรามจากข้างบน เซียวโหล!เจ้า กำลังพูดจาเลอะเลือนอะไรอยู่?ยังไม่รีบขอโทษฮ่องเต้หมิง หวังอีก!”

โล่หวินหลานเดินเซไปเซมาก้มหน้ามองไปที่โม่ฉีหมิงใบหน้า ที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากทำให้ไม่อาจรู้ได้เลยว่านางรู้สึก อะไรอยู่มีเพียงปากบางที่เม้มแน่นสองมือกำแน่นไปที่รถเข็น สรีระเห็นได้อย่างชัดเจนนัยน์เยือกเย็นดุจดั่งหิมะท่ามกลาง ฤดูหนาวดวงตาคู่นั้นคมกริบทำให้ผู้พบเห็นต่างทำตัวไม่ถูก

โล่หวินหลานรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองถูกบีบคั้นแน่นจน แทบอย่างจะพุ่งเข้าไปบีบคอนางแต่ใบหน้าของนางยังคงยิ้ม อยู่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณหนูสามสกุลเย้ยังไม่ได้ แต่งงานแน่นอนว่าไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกนี้ได้ไม่ห้าม ให้ท่านกลับไปถามพ่อแม่ท่านน่าจะดีกว่าอีกอย่างใบหน้าของ หมิงอ๋องหายดีหมดแล้วความหล่อเหลาของเขาไม่แพ้รัชทา ยาทกับเงินอ๋องอย่างแน่นอน”

คําพูดของนางพุ่งตรงไปที่สกุลเข้หาให้สกุลเข้รู้สึกขาย หน้า

พูดพลางนางเปลี่ยนไปยื่นมือจับหน้ากากของโม่ฉีหมิง ใบหน้าสมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้ภายใต้ความหล่อเหลา ยังมีความเย็นชาปรากฏอยู่บนใบหน้าประจักษ์แก่สายตาคน ทุกผู้ที่อยู่ ณที่นั้นทุกคนต่างตกตะลึงตกใจกับใบหน้าของโม่ ฉีหมิง

เย้เซียวโหลที่อยู่ข้างหน้ายิ่งตกตะลึงเข้าไปกันใหญ่อ้าปาก ค้างเหมือนจะสามารถกลืนไข่เข้าไปได้ทั้งใบนางเข้าใจแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้นายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ทั้งๆที่หน้าของเขาถูกไฟไหม้ตั้งแต่เด็กรักษามากี่ปีก็ไม่ดีขึ้น ทำไมมาวันนี้กลับหายอย่างน่าอัศจรรย์อย่างนี้ล่ะ?

เจียเฉิงตี้ลุกขึ้นยืนอย่างเสียอาการดวงตาที่มีรอยตีนกาเป็น ริ้วๆพูดอย่างตะกุกตะกัก“นี่นี่หมิงหวังเฟยใบหน้าของหมิงอ๋อง เจ้าเป็นคนรักษาหายรึ?

โล่หวินหลานหัวเราะอย่างมั่นใจ“ตอบฮ่องเต้หม่อมฉันเป็น

คนรักษาเองเพคะ”

หลายปีมานี้….หลายปีมานี้………

บาดแผลบนตัวของโม่ฉีหมิงเปรียบดั่งโรคทางใจของเขามา โดยตลอดเขารู้สึกว่าความบกพร่องต่างๆบนร่างกายของโม่ ฉีหมิงเป็นเพราะเขาดูแลไม่ดีจึงทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเขารู้สึก ผิดต่อเฉินเฟยแต่มาวันนี้โรงทางใจหลายปีมานี้ถูกรักษาให้ หายแล้ว

ถ้าอย่างนั้นขาของหมิงอ๋องเดินได้หรือยัง?”เจียเฉิงตี้มอง “ ไปที่รถเข็นที่มีโม่ฉีหมิงนั่งอยู่

โล่หวินหลานเม้มปากบางกล่าวอย่างถ่อมตัว”หม่อมฉันกำลัง พยายามรักษายังสุดความสามารถไม่นานหมิงอ๋องต้องกลับ มาเดินได้อีกครั้งอย่างแน่นอน”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ