หัวใจอสุเรศ

ตอนที่ 45 ผิดใจกัน



ตอนที่ 45 ผิดใจกัน

แต่ทว่าทางฝั่งฮองเฮานั้นกลับกริ้วมาก

“อะไรนะ? เหล่าหมอหลวงลาป่วยลากิจกันหมดเลยหรอ? หลินอ๋องไข้ลดแล้วหรอ? เป็นไปได้ยังไง? โล่หวินหลาน ทำไมถึงได้รักษาฝีดาษได้?” คำถามติดๆกันของฮองเฮา ทำให้นางเกือบหายใจไม่ทัน นางนั่งลงกับเก้าอี้

จือรีบเข้ามาบีบนวดขาของนาง เห็นสีหน้าของนาง ซีดเซียว ก็รู้ทันทีว่าแผนที่ให้หมอหลวงไปรบกวนการรักษา โม่ฉีม่ไม่ได้ผลแล้ว

นางนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ปลอบว่า “ฮ่องเฮาเพคะ พระชายา หมิงอ๋องทําไมถึงได้รักษาอาการของโรคฝีดาษได้ล่ะเพคะ? อาจจะแค่โชคดีใช้ยาได้ถูก วิชาที่นางแอบเรียนมาจะเอามา รักษาได้จริงได้ยังไงเพคะ? ถ้าไม่ใช่พระสนมไม่มีใคร นางก็ คงไม่เรียกพระชายาหรอกเพคะ”

ถึงแม้ที่วี่จือพูดจะไม่ผิด แต่ว่ายังไงนางก็ไม่วางใจอยู่ดี คนที่จวนหมิงอ๋องสายไหนไม่มีบ้าง หากว่าโล่หวินหลาน รักษาโม่ฉีม่หายจริงๆ งั้นแผนของนางก็ไม่มีความหมายน่ะสิ

“ไม่ว่าโล่หวินหลานจะเป็นเทวดาหรือฮัวโต๋กลับชาติมาก เกิด ก็ไม่มีทางรักษาฝีดาษของหลินอ๋องให้หายได้ เห้อ ข้า เองไม่ได้ออกนอกวังหลวงมานานแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องออก ไปบ้างแล้ว ” เย่ฮองเฮาพูด
วี่จือเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่นางพูด จึงรีบถามนางว่า “พระนางจะไปที่จวนหลินอ๋องหรอเพคะ?”

“หากข้ายังไม่ไปอีก จวนหลินอ๋องคงวุ่นวายกว่านี้แน่ หาก ไม่ทำให้โล่หวินหลานรู้อะไรบ้าง นางคงจะช่วยหลินอ๋องจน หายแน่ๆ”

วี่จือค่อยๆบีบนวดขาของนาง จากนั้นก็คิด แล้วพูดว่า “พระนางทรงปรีชา พระชายาหมิงอ๋องทรงเห็นพระนาง เกรงว่าคงไม่มีความกล้าจะทำอะไรแล้วเพคะ เราต้องไปดู ให้เห็นกับตาว่าที่ชาวบ้านพูดกันมันจริงแค่ไหน”

หึ ก็แค่ข่าวลือเท่านั้น พระชายาหมิงอ๋องตัวเล็กๆจะมาทำ แบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ

ถึงเวลาที่ต้องไปเข้าเฝ้าแล้ว ฮองเฮาลกขึ้น แล้วก็เปลี่ยน เสื้อผ้าใหม่ จากนั้นก็ตรงไปยังห้องทรงอักษร

สวินโม่เดินตรงเข้าจวนหมิงอ๋องโดยที่ไม่มีใครขวาง เขา เดินตรงเข้าไปมันไม่มีคนเลย เขาตรงไปยังห้องหนังสือ ของโม่ หมิง

“คำนับท่านอ๋อง” สวินโม่ทำความเคารพ เขาเดินเข้าไป แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็ดื่มชาแล้วก็พูดว่า “ชา ของจวนท่านอ๋อง ช่วงนี้ข้าเอาแต่คิดปรุงยา ไม่ได้ออกไป ไหนเลย ไกลจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว ”

โม่ฉีหมิงมองมาที่สวินโม่ แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อ เหมือนเขาจะไม่ได้สนใจว่าเขาจะกลายเป็นผีดิบหรือเปล่า

เจ้ากำลังคิดค้นยาอะไร? เกี่ยวกับฝีดาษหรือเปล่า?” โม่ “ ฉีหมิงพูดอะไรก็เป็นฝีดาษไปหมด สองวันนี้พระชายาหมิงอ๋ องรักษาฝีดาษให้หลินอ๋องใครก็รู้กันไปทั่ว สวินโม่เองก็รู้

เขาเคยเห็นความรู้การแพทย์ของโล่หวินหลานมาแล้ว แต่ ว่าเรื่องที่นางรักษาฝีดาษนั้นเขายังไม่ค่อยแน่ใจ ฝีดาษเป็น โรคที่เขาไม่คิดจะเข้าไปสัมผัสมันง่าย เขานับถือที่โล่หวิน หลานกล้ามากขนาดนี้

อีกทั้งหมิงอ๋องเองก็เคยมีปัญหากับหลินอ๋องมาก่อน ไม่ ว่าจะความกล้าหรือความใจกว้าง สวินโม่ก็นับถืออย่างไม่มี เงื่อนไข

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ใช่ เป็นยาลดอาการเจ็บ ปวดน่ะ”

พูดจบ โม่ฉีหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้มหน้าทำงานต่อไป

สวินโม่รู้สึกว่าวันนี้โม่ฉีหมิงนิ่งผิดปกติ ปกติจะพูดจานิ่งๆ แต่วันนี้เขาก็เหมือนน้ำแข็งก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเลย

เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก บรรยากาศในห้องหนังสือ มันแปลกๆ เขายกน้ำชาขึ้นมาดื่ม สุดท้ายก็อดไม่ได้พูดว่า “ท่านอ๋อง จริงๆแล้วยานี่มันก็เกี่ยวกับฝีดาษอยู่บ้าง มันเป็น ยาที่คนที่ติดโรคฝีดาษใช้ลดความเจ็บปวด …..…….
“อืม ……” โม่ฉีหมิงตอบรับ แล้วพูดต่อว่า “เจ้าช่วยข้าไป สืบเรื่องของคนๆหนึ่งทีสิ ที่จวนหลินอ๋องมีสาวใช้อยู่คนหนึ่ง ดูแลรับใช้หลินอ๋องกินข้าวใส่เสื้อผ้า แต่ว่าหลังจากหลิน อ๋องติดโรคฝีดาษนางก็ตายไป เจ้าไปสืบทีสิว่าใครเป็นคน ส่งนางมา”

“อืม” สวินโม่ยกมือขึ้นคำนับ

เขาผ่อนคลายตัวลง แล้วนั่งจิบชาต่อไป ถึงแม้หมิงอ๋องจะ เป็นคนเย็นชา แต่ว่าชาของจวนหมิงอ๋องไม่เลวจริงๆ

“ท่านอ๋อง ได้ยินมาว่าพระชายาไปรักษาโรคฝีดาษให้กับ หลินอ๋อง โรคฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง จะต้องระวังให้

ดี”

สวินโม่พูดจบก็ถูกโม่ฉีหมิงจ้อง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง ผู้หญิงดังขึ้นมา “ขอบคุณคุณชายสวินที่เป็นห่วง ข้าระวัง

ตัวดีอยู่แล้ว”

ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีเหลืองลายห่าน บนผมปักปั่นหยก ลายดอกไม้อ่อน กับเครื่องประดับเล็กน้อย แต่ว่านางแต่งตัว แบบนี้แล้วราวกับดอกบัว

นางค่อยๆเดินเข้ามา นางดูสบายตาราวกับบทกลอนที่ว่า ดอกบัวบนสายน้า ราวกับของเกาะสลักบนท้องฟ้า

โม่ฉีหมิงเห็นนางสายตาที่เย็นชาก็หายไป มันแปรเปลี่ยน ไปเป็นสายตาที่อ่อนโยน
“เห็นพระชายาปลอดภัยกลับมา ข้าก็รู้ว่าวิชาแพทย์ของ ท่านสูงส่งแค่ไหน ถือว่าข้ากังวลมากเกินไป ข้านึกขึ้นได้ว่า ตากยาทิ้งไว้ที่จวน ข้าขอตัวก่อน” สวินโม่พูดจบ ก็รีบออก จากห้องหนังสือไป

เหมือนวันนี้คนในจวนหมิงอ๋องจะไม่ค่อยอยากเจอเขาเท่า ไหร่ เขารีบไปดีกว่า

โล่หวินหลานเห็นเขาออกไป ก็หัวเราะ รอยยิ้มแบบนี้ไม่ ฉีหมิงเห็นอยู่ในสายตา

“เขาเป็นอะไรไป? ทำไมวิ่งไปเร็วแบบนั้นล่ะ?” โล่หวิน หลานยิ้มให้กับโม่ฉีหมิง

เขารู้ว่ารอยยิ้มนี้มันไม่ได้ยิ้มเพื่อเขา ในสายตาของนาง มีคนอื่นอยู่ได้ ตัวเขาไม่ใช่คนเดียวในสายตาเขาอีกต่อไป

แล้ว

เขาถูกความคิดแบบนี้ทำให้หวาดกลัว ไม่ได้ ในสายตา ของนางจะต้องมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

แต่ว่าผู้ชายที่โผล่มาวันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เขา อยากจะมัดตัวนางเอาไว้ไม่ให้นางห่างตัวแม้แต่ก้าวเดียว

เขาจับพู่กันไว้แน่น จากนั้นก็ค่อยๆไปตรงหน้าของโล่หวิน หลาน เขาจับไปที่ใบหน้าของนาง ท่าทางของเขาอ่อนโยน มาก
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” โม่ฉีหมิงพูดด้วยท่าทางที่ไม่ เปลี่ยน

โล่หวินหลานจับมือของเขาที่กำลังจับที่ใบหน้าของนาง แล้วส่ายหน้า “ไม่มี ทุกอย่างดีหมด หลินอ๋องอาการดีขึ้น มากแล้ว”

“หรอ?” โม่ฉีหมิงยิ้ม จากนั้นก็ดึงมือออก รอยยิ้มบนใบหน้า ของนางยังคงทิ่มแทงในตาเขา “ตอนที่เจ้าออกมาจากจวน หลินอ๋องเจ้าเจอใครบ้างหรือเปล่า?”

โล่หวินหลานขมวดคิ้ว แต่ว่ารอยยิ้มบนหน้ายังไม่หายไป ไม่รู้ว่าเขาถามแบบนี้หมายความว่าอะไร แต่ว่านางก็ยังตอบ ความจริงไปว่า “ไม่มีนี่นา ทำไมถามแบบนี้ล่ะ?”

เมื่อนางพูดมาแบบนี้ โม่ฉีหมิงก็เก็บสายตาที่มองนางกลับ มา จากนั้นก็ยิ้มแห้งๆ โม่ฉีซิวไม่ได้ไปหานางหรอ? แล้วเขา

ไปรออยู่ที่หน้าจวนหลินอ๋องเพื่ออะไร?

หรือว่า นางกำลังโกหกเขาอยู่?

โม่ฉีหมิงรู้สึกอึดอัดมาก เขาพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆ

หิวหรือยัง? เราไปกินข้าวกันเถอะ

พูดจบ เขาก็เลื่อนรถเข็นออกจากห้องหนังสือไป รอยยิ้ม ของโล่หวินหลานหุบลง แล้วเดินตามไปเข็นรถเข็นให้เขา ไปกินข้าว
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” โม่ฉีหมิงพูดด้วยท่าทางที่ไม่ เปลี่ยน

โล่หวินหลานจับมือของเขาที่กำลังจับที่ใบหน้าของนาง แล้วส่ายหน้า “ไม่มี ทุกอย่างดีหมด หลินอ๋องอาการดีขึ้น มากแล้ว”

“หรอ?” โม่ฉีหมิงยิ้ม จากนั้นก็ดึงมือออก รอยยิ้มบนใบหน้า ของนางยังคงทิ่มแทงในตาเขา “ตอนที่เจ้าออกมาจากจวน หลินอ๋องเจ้าเจอใครบ้างหรือเปล่า?”

โล่หวินหลานขมวดคิ้ว แต่ว่ารอยยิ้มบนหน้ายังไม่หายไป ไม่รู้ว่าเขาถามแบบนี้หมายความว่าอะไร แต่ว่านางก็ยังตอบ ความจริงไปว่า “ไม่มีนี่นา ทำไมถามแบบนี้ล่ะ?”

เมื่อนางพูดมาแบบนี้ โม่ฉีหมิงก็เก็บสายตาที่มองนางกลับ มา จากนั้นก็ยิ้มแห้งๆ โม่ฉีซิวไม่ได้ไปหานางหรอ? แล้วเขา

ไปรออยู่ที่หน้าจวนหลินอ๋องเพื่ออะไร?

หรือว่า นางกำลังโกหกเขาอยู่?

โม่ฉีหมิงรู้สึกอึดอัดมาก เขาพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆ

หิวหรือยัง? เราไปกินข้าวกันเถอะ

พูดจบ เขาก็เลื่อนรถเข็นออกจากห้องหนังสือไป รอยยิ้ม ของโล่หวินหลานหุบลง แล้วเดินตามไปเข็นรถเข็นให้เขา ไปกินข้าว
โล่หวินหลานเบะปาก นางฟุบลงกับโต๊ะ ไม่ให้นางกินตอน นี้แล้วจะรีบให้ยกมาทำไม? ตั้งใจเอามายั่วนางชัดๆ

“ข้าหิวมาก ต้องกินมันก่อนถึงจะกินข้าวลง” โล่หวินหลาน พูดอย่างไม่พอใจ

โม่ฉีหมิงเห็นนางเป็นอย่างนี้ก็เลยคีบขนมหนึ่งชิ้นวางไปที่ จานเล็กๆข้าง ทุกครั้งที่เห็นนางกินของที่นางชอบ เขาก็อด ดีใจไม่ได้

กินข้าวเสร็จ สาวใช้ก็เก็บโต๊ะ โล่หวินหลานเข็นเขาออก จากห้องไป แล้วไปนั่งชมดาวที่เต็มท้องฟ้าอยู่ด้านนอก

“วันนี้พระจันทร์สวยจังเลย วันนี้สิบหก หรอ” โล่หวิน หลานมองไปที่พระจันทร์บนท้องฟ้า

“วันนี้ยี่สิบสองค่ำ ไม่ใช่คืนสิบห้าค่ำ อีกอย่างคืนสิบห้าค่ำ มันวันไหว้พระจันทร์” โม่ฉีหมิงพูดอย่างจริงจัง

“ พระจันทร์คืนสิบห้ามันจะเต็มดวงตอนคืนสิบหกนะ ท่านห มิงอ๋อง” โล่หวินหลานยิ้ม

รออยู่นานไม่เห็นโม่ฉีหมิงพูดอะไร โล่หวินหลานกำลังคิด อยู่ว่าจะพูดอะไร ก็ได้ยินเขาพูดว่า “ยิ่งดึกทางเดินยาก กลับ เถอะ”

พูดจบ เขาก็เลื่อนรถเข็นกลับไป โล่หวินหลานตามเขาไป แต่ว่าเดินไปไม่เท่าไหร่ นางก็เดินสะดุดหินอ่อนที่พื้น เกือบจะล้ม แต่ทันใดนั้นเองก็มีมือใหญ่ๆมาจับมือของนางแล้ว พยุงนางเอาไว้

โล่หวินหลานพยายามยืนให้มั่น เมื่อกี้สะดุดตกใจมาก ยัง ดีที่จับมือของโม่ฉีหมิงเอาไว้

“ดูทางด้วยสิ” โม่ฉีหมิงพูดอย่างเรียบๆ แล้วก็เข็นรถเข็น

ไป

“ดึกแล้วทางเดินยาก เห็นไม่ชัดก็เป็นเรื่องปกติ” โล่หวิน หลานรีบเดินตามเขาไป พูดหยอกเขาด้วย

“ต่อไปยังเป็นอย่างนี้อีก ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้ว หันหน้ากลับไปมองนาง ” โม่ฉีหมิงไม่

เขายังคงเข็นรถเข็นไป เสื้อสีดำของเขามันกลืนไปกับ ความมืด โล่หวินหลานเห็นเขาเข็นรถไป ก็รีบเดินตามไป เข็นให้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ