หัวใจอสุเรศ

ตอนที่66เข้าวัง



ตอนที่66เข้าวัง

สิ่งประดิษฐ์ทดลองบัวรดน้ำให้กี่ตอบรับดีมากจากสาวใช้ พวกนางมองบัวรดน้ำในมือแย่งกันนำไปทดลองใช้ใส่น้ำให้ เต็มแค่ค่อยๆเอียงนำก็ไหลออกมาจากรูเล็กๆไม่ขาดสายแถม ยังรดโดนดอกไม้ทุกดอกด้วย

พอรู้เรื่องความสะดวกจากบัวรดน้ำแล้วโล่หวินหลานก็ให้คน ไปจัดทำเพิ่มอีกสิบกว่าถังถือเป็นบัวรดน้ำที่มีใช้แค่ในจวน เท่านั้น

ดูของในจวนที่มีพัฒนาอย่างก้าวกระโดดโล่หวินหลาน ภูมิใจในตัวเองมากหากพัฒนาปรับปรุงให้ที่นี่มีสิ่งอำนวย ความสะดวกเหมือนโลกอนาคตถ้าอย่างงั้นชีวิตประจำวันของ พวกเขาก็จะสะดวกขึ้น

วันงานเฉลิมฉลองใกล้เข้ามาเต็มที่ในใจของโล่หวินหลาน นิ่งสงบเหมือนสายน้ำไม่มีแม้แต่เสี้ยวของคลื่นน้ำเลยสักนิด

เย่หวินที่กำลังเต็มเรียกนางลุกขึ้นมาบอกว่าจะถักเปียทำผม ให้นางแล้วก็เลือกชุดรีบเร่งวันที่ใกล้เข้ามาถึงแม้งานจะเริ่ม ตอนคอต่ก็ต้องรีบเข้าวังตอนเช้าเพื่อไปกราบไหว้เข้าพบ เหล่าบรรดาเหนียงๆนี่เป็นขนบธรรมเนียมของในวังหลวง

ช่างเป็นขนบธรรมเนียมที่น่ารำคาญยิ่งนัก!

โล่หวินหลานยังไม่ตื่นเต็มตาหลับตาง่วงหาวนอนบิดขี้เกียจ ตั้งแต่ถูกปลุกขึ้นมาจากเตียงก็มีคนช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้า แล้วตอนที่สลึมสลือไม่รู้เปลี่ยนไปกี่ชุดต่อกี่ชุดแล้วหลังจาก ล้างหน้าเสร็จถึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง

“เย่หวินอันนี้ใช้ทำอะไร?”โล่หวินหลานมองที่กระจกเห็นมือ นับไม่ถ้วนทาๆๆอยู่ตรงใบหน้านางถามอย่างสงสัย

หวังเฟยนี่คือการผัดหน้าเพื่อเข้าวังหลวงยังมีเครื่องประดับ ต่างเป็นสิ่งที่ต้องสวมใส่เมื่อเข้าวัง”เย่หวินค่อยๆอธิบายทีละ

อย่าง

เห็นขวดน้ำยาทาสีเล็บนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้าโล่หวินหลาน ก็รู้สึกปวดหัวถึงจะเป็นโลกอนาคตนางก็ไม่เคยต้องแต่งหน้า หนาขนาดนี้ดูหน้ากระจกที่สะท้อนเห็นหน้าเหมือนตูดลิงนาง ก็รู้สึกรับไม่ได้

“เย่หวินไม่ต้องแต่งแล้วช่วยข้าล้างออกเถอะใช้การแต่ง หน้ากับแต่งตัวในชีวิตประจำวันเข้าวังก็พอแล้ว”โล่หวินหลาน เท้าคางยักคิ้วที่พึ่งว่าเสร็จขึ้น

เย่หวินนึกว่าตัวเองได้ยินผิดไปร้องอ้าดังมากนิ่งไปครู่แล้ว จึงพูดต่อ”หวังเฟยท่านจะทำอย่างนี้จริงๆหรอ? แต่………..

โล่หวินหลานพูดอย่างเบื่อหน่าย ไม่มีแต่ว่าทำตามนี้ละกัน”

พูดพลางหยิบสิ่งที่เสียบอยู่บนหัวออกมาหยกเอยไข่มุกเอย เยอะแยะมากมายถูกหยิบออกจากหัววางไว้บนโต๊ะเครื่อง แป้งบนหัวเหลือเพียงปิ่นหยกและที่หูก็มีหยกเข้าชุดกันห้อย

อยู่ เย่หวินเห็นอย่างนั้นตัวเองก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้โบกมือเรียก ให้สาวใช้ทั้งหลายถอยไปก่อนตักน้ำมาหนึ่งกะละมังช่วยนาง ล้างหน้าออก

หลังจากล้างหน้าก็รู้สึกสะอาดหมดจดรู้สึกสบายหน้าขึ้นโล่ หวินหลานบิดขี้เกียจเบาๆเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ให้เย่หวั่นนำมา เปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตมองไปแล้วเหมือนหยกนำสีสวย สว่างไสวทั้งตัว

อย่างนี้สิถึงดูดีกว่าเมื่อครู่เยอะเลยแต่ว่าถ้าหากเข้าวังไปทั้ง อย่างนี้ผู้คนจะครหาเอาได้ว่าคนในจวนหมิงอ๋องไม่สัมมา

คารวะ

แต่ว่านางเป็นเพียงคนรับใช้ไม่สมควรที่จะมาวิพากษ์ วิจารณ์คิดแทนเจ้านายประตูข้างนอกมีเสียงสุขุมดังลอดเข้า มา”หวินหลาน”

โม่ฉีหมิงหมุนล้อรถเข็นเข้ามาอยู่ต่อหน้านางบนหน้ามีหน้า กากสวมใส่อยู่กลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนมีแต่สายตาเรียวแหลม ดังเหยี่ยวของเข่เปลี่ยนไปวันนี้เข้าก็เปลี่ยนเป็นชุดทางการ สีน้ำเงินทั้งตัวแขนเสื้อมีการปักด้วยด้ายทองบนตัวมีการปัก รูปมังกรสวยสง่าดูไปแล้วช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก

โล่หวินหลานที่หันหลังไปรู้สึกอึ้งตะลึงงันอยู่กับที่ตอนนี้นาง เห็นเขากลับไปสวมใส่หน้ากากเหมือนเดิมแต่ความรู้สึกกลับ เปลี่ยนไปแวบหนึ่งสามารถเห็นถึงสีหน้าอารมณ์ท่าทางของ เขาที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากาก ทำไมถึงแต่งตัวเรียบง่ายแบบนี้?”เขาขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ ” ดวงตาเรียวยาวมองอย่างสงสัย

หรือเขาอาจต้องแต่งตัวแบบนางหรือ?

แบบนี้ไม่ดีหรอ?”น้ำเสียงของโล่หวินหลานมีความไม่พอใจ “ เล็กน้อยก้มหน้าเม้มปากเบาๆ

โม่ฉีหมิงเขยิบเข้าใกล้นางอีกหน่อยจัดทรงกระโปรงของ นางให้เข้าที่น้ำเสียงเอ็นดูกล่าวขึ้น “ดีเจ้าใส่อะไรก็สวยหมด แหละพวกเราไปกันเถอะ”

ปากบางของโล่หวินหลานยกยิ้มขึ้นอย่างดีใจมีเขาคอย จูงมือนางออกจากห้องไปสีท้องฟ้าข้างนอกพึ่งสว่างขึ้นรำไร รอบๆสว่างสลัวๆดอกไม้ใบหญ้าในสวนต่างมีน้ำค้างเกาะกลุ่ม เป็นแม่คะนิ้งใสๆ

ภายในห้องมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงให้ความสว่างสีแดง สดไหวๆดุจดั่งลำธารที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

พอทั้งสองทานข้าวเช้าเสร็จก็นั่งรถม้ามุ่งสู่ทางไปวังหลวง

โล่หวินหลานไม่ใช่ไม่เคยเข้าวังแม้แต่ในคุกหลวงยังไปมา แล้วเลยแต่ไม่มีครั้งไหนที่นางจะรู้สึกกดดันขนาดนี้เลย

รถม้าค่อยๆแล่นเข้าสู่วังแสงจากท้องฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยน เป็นสีส้มอ่อนค่อยๆสาดส่องไปที่พื้นหญ้าและพื้นดิน เข้ามาในวังโล่หวินหลานค่อยๆเข็นรถเข็นของโม่หมิง เข้าไปในพระตำหนักเฉินฉุยข้างนอกประตูด้านนอกมีองค์ ชายต่างๆที่รอเข้าเฝ้าโม่หมิงที่หล่อเหลารูปงามรออยู่ตรง ประตูด้านนอกดุจดั่งต้นสนที่ตั้งตระหง่านโม่ฉีมู่ที่หลายวัน ก่อนป่วยเป็นไข้ทรพิษและกินยาที่โล่หวินหลานให้ไว้ติดหนี้ บุญคุณนางพอเห็นนางก็ไม่กล้าพูดอะไร

โม่ฉีหานที่มองทั้งคู่โดยไม่เข้าตาอย่างชัดเจนบนตัวใส่ชุด ทางการนอกจากสีสันที่ใส่ไม่เหมือนกับโม่ฉีหมิงแล้วลายปัก ต่างๆก็ไม่มีใครวามแตกต่างกันแต่เขากลับดูเหมือนนักเลงหัว ไม้โม่ฉีหมิงกลับดูสง่า

สายตาอันคมกริบของเขาแฝงไปด้วยความอันตรายแวบ หนึ่งเขาหรี่ตาลงเบาๆมุมปากแสยะยิ้มขึ้นเสมือนยิ้มแต่ไม่ใช่ การยิ้มอย่างยินดีแน่นอน

ไม่เจอมานานคิดไม่ถึงว่านางจะสะโอดสะองขึ้น

บนตัวก็ไม่เห็นสิ่งที่หวังเฟยควรใส่กันเข้าวังแต่กลับใส่ เสื้อผ้าที่ดูเรียบง่ายบนหัวก็มีเพียงปิ่นปักผมหยกอันเดียว ขนตางอนยาวหน้าผากยังมีปอยผมหลุดลุ่ยตกลงมานางยื่น มือทัดข้างหูเบาๆทําให้เห็นคอขาวผ่องที่เผยออกมา

สายตาของนางมีแต่โม่ฉีหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเวลาที่เห็น เขาสายตาก็จะเต็มด้วยความอบอุ่นแววตาของโม่ฉีหมิงยิ่ง สุขุมนุ่มลึกขึ้น

เวลาที่นางเข้าใกล้ไปฉี ยิ่งเขยิบเข้าใกล้นางอีกตั้งใจจะ ผ่านโดนตัวนางและกระซิบข้างโม่ฉีหมิง “น้องสี่ไม่เจอกันนาน สุขภาพเจ้ายังดีอยู่หรือไม่?

ที่เขาถามอย่างนี้ชัดเจนแล้วว่าตั้งใจต้องการให้โม่ฉีหมิงดู ด้อยไปทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้วว่าใบหน้าที่โดนไฟไหม้และขาที่หัก ไม่สามารถรักษาได้ยังตั้งใจถามคำถามแบบนี้อีก

โล่หวินหลานเลิกคิ้วเขม่นเขาตาโตรอบข้างมีองค์ชายและ บรรดาหวังเฟยยืนอยู่ก็เลยไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยืนขึ้นและ ไปยืนเคียงข้างโม่ฉีหมิง

โม่ฉีหมิงเห็นการกระทำของนางทุกอย่างมือที่อยู่ในแขน เสื้อดึงมือนางไว้หากไม่ใช่ว่าใส่หน้ากากอยู่คาดว่ารอบๆคงด้ เห็นสีหน้าที่มีรังสีอำมหิตแผ่อยู่ทั่วมีเพียงความเย็นชาของเขา ที่เผยให้เห็นถึงร่างกายที่พยายามสะกดอารมณ์ของตัวเอง ด้วยการหนุดนิ่ง

“ไม่ลําบากให้เจ้าเป็นห่วงดีกว่า”น้ำเสียงแข็งกระด้างของโม่ ฉีหมิงเอ่ยขึ้นสายตามุ่งตรงไปที่พระตำหนักเฉินฮุยไม่มองที่ อื่นอีก

ใบหน้าของเขามักมีรอยยิ้มเสมออย่างนี้สิถึงสามารถยั่วโม่ โหโล่หวินหลานได้

รอจนกระทั่งขันทีเจ้าเจิ้งประกาศว่าสามารถเข้าพบได้ทุก คนต่างทยอยกันเข้าพบ

ฮ่องเต้สวมใส่เสื้อสีเหลืองทอมีลายปักมังกรเด่นสง่าทั้งเนื้อ ทั้งตัวรู้สึกได้ถึงความมีอำนาจเกรงขามดูไปแล้วช่างน่าเคารพ ยิ่งนัก

เคารพท่านเสร็จแล้วเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบเปิด อภิปรายถึงการบ้านการเมืองที่แต่ละคนดูแลอยู่แต่โล่หวิน หลานที่ส่งทุกคนเสร็จก็ออกไปที่สวนดอกไม้ในวัง

โล่หวินหลานรู้สึกเบื่อหน่ายมากนอกจากดอกไม้แล้วก็เดิน ไปนั่งที่ศาลาพูดคุยกับเย่หวิน

ยังไงในวังก็ดีที่สุดในศาลาที่มักพบเจอแต่ผลหมากรากไม้ และของกินเล่นขนมวางอยู่เสมอวางไว้ให้คนได้กินอยู่ตลอด

พอดีกับที่เต้าทึงที่โล่หวินหลานชอบนางแทบอดใจไม่ไหว รีบตักขึ้นมาชิมหนึ่งคำรีบกลืนเข้าไปอย่างเร่งรีบพลางฟังสิ่งที่ เย่หวินพูด“หวังเฟยที่นี่คือวังหลวงท่านต้องสำรวมตัวให้มาก หม่อมฉันเข้าวังเพียงไม่กี่ครั้ง”

กลัวอะไร?พวกเราจะกินอะไรยังไงมันไม่เกี่ยวกับใครสัก หน่อย?”โล่หวินหลานขมวดคิ้วอย่างสงสัย

เย่หวินที่อยากจะเตือนนางอีกข้างหลังก็มีเสียงหอมหวานใส ของสตรีดังขึ้นแต่น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นกลับมาพร้อมกับ ความอิจฉาริษยาไม่เป็นมิตร “เอ๊ะผู้หญิงบ้านนอกคนนี้มาจาก ไหนกันทําไมกินอะไรไม่ระวังไม่มีมารยาทขนาดนี้กันล่ะ?”

ทั้งสองหันหลังกลับไปมองศาลาข้างนอกก็มีสตรีนางหนึ่ง สวมชุดสีม่วงไว้สําหรับเข้าวังเดินเข้ามาอย่างอ้อนแอ้นบนหัว นังมีปิ่นปักผมหยกปักเต็มหัวไปหมดทุกย่างก้าวที่นางเดินมัก พูดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ผู้หญิงคนนี้แค่อยากเดินในสวนแต่รู้สึกกระหายขึ้นมาแค่ อยากมาพักที่ศาลาพักร้อนสักครู่แต่ยังไม่ทันได้นั่งลงที่ศาลา สายตาก็หันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวเรียบง่ายกำลังตัก กินของว่างคำใหญ่เข้าปากเกิดมาพร้อมกับความหยิ่งยโส และความรู้สึกที่เหนือกว่าผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะเข้ามาตำหนิโล่ห วินหลาน

นางไม่ได้ตั้งใจพูดอะไรแค่ต้องการพูดผ่านๆเปรยๆแต่คิด ไม่ถึงว่าโล่หวินหลานจะหันกลับมาดั่งเสมือนกับภาพวาดอัน วิจิตรสวยงามสง่าดั่งนางฟ้านางสวรรค์ใบหน้าจิ้มลิ้มรูปไข่ ทำให้นางรู้สึกสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมก็เลยตั้งใจจะทำให้นาง อับอาย

“ในวังหลวงแห่งนี้ไม่ใช่ใครจะเข้าออกก็ได้เจ้าเข้ามาได้ยัง ไงกันแน่?”ผู้หญิงมองด้วยสายตาเหยียดขณะที่เข้าใกล้โล่ห วินหลานก็พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกเหมือนกับตัวนางมีกลิ่น เหม็นไม่น่าเข้าใกล้

โล่หวินหลานใช้สายตาเรียบเฉยมองไปที่ผู้หญิงที่โผล่เข้า มาอย่างกะทันหันดูนางแล้วเหมือนเหมือนเป็นญาติกับ ข้าหลวงนางใช้น้ำเสียงหัวเราะเยียบเย็น“แน่นอนว่าวังหลวง แห่งนี้ไม่ปล่อยแมลงวันบินเข้ามาแน่นอนว่าเข้าต้องเข้ามา จากประตูข้างหน้าหากเจ้ามีปัญหาอะไรก็ไปถามฮ่องเต้สิจริง การกินของข้าไม่สง่าถ้าไม่อย่างนั้นเจ้ากินให้ข้าดูสิข้าจะได้ เรียนรู้กับเจ้า” คำพูดเจื้อยแจ้วของนางดังชัดเข้ามาในหูของนางทุกคำ เห็นเพียงใบที่เดี่ยว เดี๋ยวเขียวของนาง เขียวจนม่วงใบหน้า เปลี่ยนสีสลับกันไปมา สุดท้ายก็ได้แต่กระทืบเท้าจ้องมองตา แทบหลุด ช่างเป็นหญิงป่าบ้านนอกจริงๆแม้แต่คำพูดยังไร้ การศึกษาขนาดนี้คุณหนูอย่างข้าลดตัวคุยกับเจ้าช่างเป็น เสนียดยิ่งนัก”

พูดพลางมองด้วยสายตามีชัยไปที่โล่หวินหลานได้แต่ยืนรอ ให้นางโกรธ

แต่รอยยิ้มบนหน้าของโล่หวินหลานยิ่งอยู่ยิ่งลึกนางกอดอก ขึ้นสายตาจงใจมองตั้งแต่หัวจรดเท้าวิเคราะห์ด้วยสองตา ใบหน้ามีการแสยะยิ้ม คนๆหนึ่งจะดูการขาดการอบรมเลี้ยงดู จากคำพูดแล้วหากมองจากภายนอกต่อให้ดูสูงส่งขนาดไหน นางก็จะอาจจะเทียบอะไรไม่ได้กับสตรีบ้านนอกก็เป็นได้”

พูดพลางจูงมือโล่หวินหลานหมุนตัวกลับยิ้มอย่าง เรียบๆ เย่หวินพบเจอผู้หญิงที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นคุณหนู สกุลใหญ่ในสวนช่างน่าขำนักพวกเราไปบอกทุกคนดีกว่าให้ พวกเขาช่วยเราสองคนจํา

โล่หวินหลานทําให้คนอื่นโกรธโมโหอย่างไม่กลัวตายคำพูด พวกนี้เป็นการดูถูกผู้หญิงความสามารถในการหมุนตัวยัง ไม่ทันที่จะเดินออกมาก็ถูกมือหนึ่งขว้าเสื้อไว้

“จะไปไหนกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! “


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ