บัลลังก์หมอยาเซียน

บทที่ 19 ไท่ซางหวงอยากเสวยโจ๊กข้าว



บทที่ 19 ไท่ซางหวงอยากเสวยโจ๊กข้าว

นางลากร่างที่ชาติกของตัวเองไปยังเตียงที่หมู่เหวินเท่านอน เมื่อครู่ ล้มตัวลงนอน พยายามทำใจให้สงบ แต่ก็ยังรู้สึกว่าสั่นไป หมดทั้งเนื้อทั้งตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ต่อให้นางใช้เซลล์สมองทั้งหมดที่มีมาคิด วิเคราะห์ ก็ยังไม่สามารถคิดหาคำตอบออกมาได้เลยแม้แต่ข้อ เดียว

การพัฒนาสมองยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่กลับมุ่งมาทาง ด้านสิ่งแปลกประหลาด เหนือธรรมชาติแทน

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า วิทยาศาสตร์กับเทววิทยาแม้จะเป็นวิชาที่ แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็มีบทสรุปเดียวกันได้

เมื่อสมองได้รับการพัฒนาขึ้นไปจนถึงระดับหนึ่ง มันจะ สามารถหยิบจับสิ่งของได้โดยผ่านกระแสจิต สามารถเดินทาง ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ สมองจะสามารถอ่านและรับข้อมูล ทุกประเภทได้โดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับเทพเจ้าที่คนในโลกทาง นี้เคารพบูชาเลยทีเดียว

นางยกมือขึ้นด้วยอาการสั่นเทา คิดจะลองสัมผัสกล่องยาที่ ซ่อนอยู่ในกระเป๋าแขนเสื้อ เพื่อจะได้รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่มัน เป็นความจริง แต่แขนเสื้อเลื่อนลงเผยให้เห็นข้อมือขาวเนียน แต่ กลับมีรอยแผลเล็ก ๆ ที่เกิดเป็นรอยแดงอยู่บนข้อมือ อีกทั้งแผล ที่ว่านี้ ยังเป็นแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เสียด้วย
นางผงะไปเยือกหนึ่งรอยแผลนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือจะ เป็นตอนที่สู้พัวพันอยู่กับหมู่เหวินเท้าเมื่อครู่นี้อย่างนั้นหรือ?

ไม่ใช่นี่ เลือดที่ขอบปากแผลนั้นแข็งตัวไปแล้ว อีกทั้งที่แขน เสื้อก็มีรอยเปื้อนเลือดด้วย บาดแผลนี้ จะต้องเกิดขึ้นเมื่อราวๆ ครึ่งชั่วโมงที่แล้วเป็นอย่างต่

ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว?

หยวนชิงหลิงหยีตาอย่างใช้ความคิด จนนึกขึ้นมาได้ว่า ตอน ที่มารอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก นางถูกหยู่เหวินเท้าสะบัดทิ้ง แล้ว หมิงชัยก็เข้ามาช่วยพยุงนาง

เป็นไปได้ไหมว่า นางไม่ได้มีเจตนาจะช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจ ตั้งแต่แรกแล้ว?

นางจำได้ว่าตอนที่หมิงซุยถอยกลับไปยืนข้างอ่อง สายตา

ของนางคล้ายจะฉายแววประหลาดใจออกมาวูบหนึ่ง

ทันใดนั้น หยวนชิงหลิงก็พลันเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมา ทันที

หมิงชุ่ยมีเจตนาจะทำร้ายนางให้ได้รับบาดเจ็บ แต่เป็น เพราะนางไม่รู้ว่า นางได้ดื่มน้ำจือจิน จนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นหยวนชิงหลิงคนเดิมในอดีตล่ะก็ นางคงจะ เกรี้ยวกราด โวยวาย ร้องค่าสาปแช่งตั้งแต่ตรงนั้นอย่างแน่นอน ในงานพิธีการที่ต้องเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้ แม้ว่านางอาจจะไม่ถูก ลงโทษร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็มีสิทธิ์ถูกจับขังคุก หรือไม่ก็อาจถูก หย่าร้างได้ในภายหลัง
หยวนชิงหลิงรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว ไม่สามารถจินตนาการ ได้เลยว่าจิตใจของคนเราจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้

เดิมทีนางเคยมองว่าหมิงชุ่ยนั้นเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว คนอื่น ๆ ต่างใช้สายตาแบบนั้นมองตนเอง มีแต่นางทักทาย ปราศรัยกับตนอย่างเป็นกันเอง

แต่ทว่า ภายใต้ใบหน้าอันงดงามเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ของนาง กลับกลบฝังซ่อนเร้นจิตใจอันชั่วร้ายเลวทรามอยู่ในนั้น

นางอยากหาคำอธิบายที่มันสมเหตุสมผลสักข้อ เพื่อจะ ทําความเข้าใจกับพฤติกรรมของหมิงชุ่ย ยกตัวอย่างเช่น หยวนชิงหลิงเจ้าของร่างเดิม เป็นคนไปทําลายความสัมพันธ์ ระหว่างนางกับอ๋อง จึงเป็นเหตุให้นางจำต้องหันไปซบอกอ๋องฉี แทน

แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่สามารถยอมรับคำอธิบายดังกล่าวได้

อยู่ดี

หากนางรู้สึกขุ่นเคืองใจจริงๆ นางก็ควรจะไปหาหยวนชิงหลิง เพื่อสะสางบัญชีกันไปเลยตรงๆ หรือไม่ก็ตบหน้านางสักฉาดเพื่อ ระบายแค้นก็ยังได้ แต่การลอบทำร้ายคนในที่มืดอย่างนี้ เป็น อะไรที่เหี้ยมโหดชั่วร้ายมากจริงๆ

นางวางมือลง ในตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงเรื่องของห มิงซุ่ยก็ได้ แต่เรื่องทางฝั่งของไท่ซางหวงต่างหากที่สำคัญ ทุก อย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีไหม ? พระองค์จะทรงยอมเชื่อนางหรือ เปล่า?
นางทั้งได้เรียนรู้ ศึกษาและอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาไม่ น้อย ทั้งประวัติศาสตร์ที่จดบันทึกอย่างเป็นทางการ รวมถึง ประวัติศาสตร์แบบนอกตำรา ล้วนไม่เคยมีชื่อของดินแดนแคว้น ใด รวมถึงชื่อของประเทศไหนที่มีชื่อเรียกว่าเปยถึง ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่นางเคยร่ำเรียนศึกษามาทั้งหมด ต่างก็ไม่ สามารถช่วยให้นางเข้าใจถึง ลักษณะอัชฌาสัย ของไท่ซางหวง ได้

นางในเวลานี้จะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้อนาคตก็ยังมองไม่เห็น เรื่องพวกนี้มันทำให้หยวนชิงหลิงว้าวุ่นจนแทบจะหายใจไม่ออก อยู่แล้ว

นางเหนื่อยจนเกินขีดจํากัดทางร่างกายแล้ว ได้แต่หันหน้าไป มองดูหมู่เหวินเท้าที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น นั่นคือราชสีห์ที่กำลังหลับ ไหล รอเขาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ นางคงต้องตายอย่างน่าอนาถแน่ แล้ว เว้นเสียแต่ว่า ไท่ซางหวงจะทรงมีรับสั่งเรียกให้นางเข้าเฝ้า

นางยิ้มอย่างขมขื่น อันที่จริงแล้วการที่นางช่วยชีวิตไท่ซางหวง ก็นับว่าเป็นความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่งของนางเองเช่นกัน

หากไม่ได้รับการปกป้องจากใครสักคนที่มีอำนาจมากพอ นาง ก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ในจวนอ๋องแห่งนั้นต่อไปได้แน่ๆ

ในนําหนักบรรทมของไท่ซางหวง

บรรดาท่านอ๋อง ต่างได้เข้าไปโขกศีรษะคำนับเพื่อถวายความ เคารพจนครบหมดแล้ว ยามนี้ทุกคนคุกเข่าอยู่นอกม่านกัน รอ เวลาไท่ซางหวงสิ้นพระชนม์
บรรยากาศในโถงตำหนัก เต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งและ เศร้าโศกจนแทบจะรับรู้ได้ว่า ในอากาศที่อยู่รายล้อมที่แห่งนี้ ล้วนอัดแน่นไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ตรมอย่างไรอย่างนั้น ทั้ง ไทเฮาและไทกุ้ยเฟยต่างก็เศร้าโศกโทมนัสจนเกินขีดจำกัดไป แล้ว จึงถูกพยุงออกไปพักผ่อนด้านนอก

ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ประทับนั่งอยู่ข้างนอกเช่นกัน ทรงรอเพียง นางกงกงที่รับใช้อยู่ข้างในประกาศออกมา พระองค์ก็จะทรงคุก พระชงฆ์ลงเพื่อน้อมส่งเสด็จ

ทุกคนต่างกำลังเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลานั้น

ในที่สุด ม่านพลับพลาสีเขียวก็ถูกยกขึ้น สีพระพักตร์ฮ่องเต้ห มิงหยวนหนักอึ้งจมดิ่งทันที แววพระเนตรสาดฉายความเศร้า โศกโศกาเต็มเปี่ยม พระวรกายอ่อนยวบ แต่ยังไม่ได้คุกพระชงฆ์ ลงไปกับพื้น ฉางกงกงออกมาประกาศด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น ว่า “ไท่ซ่างหวงทรงมีพระประสงค์ใคร่จะเสวยโจ๊กข้าวพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ทรงผงะไปครู่หนึ่ง สาวพระบาทเข้าไปใกล้ๆ ทอด พระเนตรเห็นไม่ช่างหวงลืมพระเนตรขึ้นแล้ว ทั้งยังทรงลูบขนของ ฝูเป่าด้วยท่าทีเกษมสำราญยิ่ง สีพระพัตรก็ดีขึ้นกว่าตอนแรก มาก

“เร็วเข้า รีบสั่งห้องครัวให้เตรียมโจ๊กข้าวเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้หมิง หยวนทรงยินดีปรีดาอย่างหาใดเปรียบ กระทั่งสุรสียงที่ใช้รับสั่ง ก็ยังเปลี่ยนไป


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ