ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
หลี่เฉินเย่นก้มลงมองขาของตนเองอย่างประหลาดใจก่อน จะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความปิติยินดี เขาลุกขึ้นมาได้แล้ว เขา ยืนขึ้นได้แล้ว
แต่เพียงไม่นานเขาก็ค่อยๆเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เพราะบน พื้นมีกระเป๋าผ้าบรรจุเข็มอยู่ห่อหนึ่งอีกทั้งขาทั้งสองข้างของ เขาก็มีเข็มทองเปล่งประกายแวววาวฝังคาอยู่บนนั้น
เขาเกือบจะส่งเสียงคำรามออกมา เขารีบร้อนวิ่งไปพยุงร่าง บอบบางของนางมาโอบกอดไว้ ใบหน้าของนางอาบไปด้วย เลือดเนื่องด้วยเมื่อครู่ศีรษะของนางกระแทกเข้ากับผนังอย่าง รุนแรงกระทบกับแผลเดิมบนหน้าผากก่อนหน้าทำให้ยามนี้ มีเลือดไหลอาบจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าเดิมของนาง ลม หายใจของหญิงสาวรวยรินราวกับจะหมดไปได้ทุกเมื่อ ความ หวาดกลัวแพร่กระจายไปยังหัวใจของเขาครอบคลุมไปทั่ว พื้นที่ทีละน้อย เขาเกลียดตนเองจนอยากจะปลิดชีพตนเอง เสียตอนนี้ “เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะรีบเรียกจูเก๋อมาที่นี่ เจ้าต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” เขาโอบกอดร่างของนางไว้ แน่นก่อนจะตะโกนเรียกคนข้างนอกเสียงดัง “ใครก็ได้! มีใคร อยู่ไหม!”
ประตูถูกเปิดออกทันที มีคนหลายคนเข้ามาภายในห้อง เสี่ยว และมามาก็เข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อทั้งหมดเห็นสภาพห้องก็ พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที ทุกคนต่างตกใจจนร่างกาย เย็นเฉียบคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ในความวุ่นวายนั้นไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนไปเชิญจเกื้อห มิงและหมอหลวงเข้ามา และก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำความ สะอาดหน้าให้แก่ชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นรู้เพียงแค่ภายในห้องมี คนมากมายเหลือเกิน หูของเขาได้ยินเสียงอื้ออึงเต็มไปหมด ชายหนุ่มเพียง
ต้องการโอบอุ้มนางไว้เช่นนี้ไม่ยอมปล่อยมือไปไหน
จูเก๋อหมิงตรวจดูชีพจรของนาง ใบหน้าตื่นตระหนกของหลี่ เฉินเย่นเลื่อนสายตามามองที่เขานิ่งๆก่อนเอ่ยขึ้น “ให้นางกิน ยาของเจ้า หรือฝังเข็มก็ได้ มีเข็ม… ” เขากวาดตามองห่อผ้าที่ บรรจุเข็มที่เคยอยู่บนพื้นห้อง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปที่ใด เสียแล้ว ชายหนุ่มรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ห่อผ้าเล่า ห่อผ้าที่ใส่ เข็มอยู่ที่ใดแล้ว รีบหาดูเร็วเข้า!”
ดวงตาของจูเก๋อหมิงหม่นหมองมองดูสหายรักของตนอย่าง เจ็บปวด “เฉินเล่น นางไม่ไหวแล้ว เจ้าปล่อยนางไปเถิด”
“พูดจาเหลวไหล!” หลี่เฉินเย่นกอดชูเซียไว้แน่นพลางส่ง เสียงคำรามใส่จูเก๋อหมิง “เจ้าเป็นหมอเทวดาไม่ใช่หรือ นาง ยังหายใจอยู่แท้ๆเจ้ากลับบอกว่านางไม่ไหวแล้ว เจ้า เข้ามา ตรวจดูเดี๋ยวนี้! ” ท่านอ๋องหันไปเรียกหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้าง
หลังจูเก๋อหมิงมาแทน
หมอหลวงเข้ามาตรวจชีพจรให้พระชายาอย่างกล้าๆกลัวๆ
ก่อนดวงตาของเขาจะมืดมนลง ท้ายที่สุดการวินิจฉัยก็เป็น
เช่นเดียวกันกับที่จูเก๋อหมิงกล่าวมา
“ไสหัวไป..” ชายหนุ่มคำราม “เสี่ยวซานจื่อ รีบเข้าวังไปตาม
หมอหลวงมาให้หมด!
จูเก๋อหมิงเอ่ยอยากลำบากใจ “เฉินเย่น พูดอะไรกับนาง หน่อยเถิด!” ความหมายของเขาก็คือหากไม่เอ่ยอะไรออกไป ในยามนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้เอ่ยอะไรอีกต่อไปแล้ว
จูเก๋อหมิงไล่คนออกไปนอกห้องให้หมดเหลือเพียงหลั เฉินเย่นที่โอบกอดชูเซียไว้ในอ้อมแขนของตนเองบนเตียง เท่านั้น
ชูเซียกำลังจะตาย ยาม หลี่เฉินเย่นเตะนางไปกระแทกผนัง ศีรษะของนางถูกกระแทกอย่างรุนแรง บาดแผลที่ขาของ
นางก็ฉีกขาด ร่างทั้งร่างของนางเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีด ร่างกายของนางสั่นสะท้านร่างทั้งร่างของนางหนาวเย็นจนสั่น เทา แม้แต่ริมฝีปากของนางก็สั่น
ดวงดาของนางเริ่มพร่าลาย คลับคล้ายกับว่าเบื้องหน้าของ นางคือทุ่งยาสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ผืนหญ้าสีเขียวตัดกับ
ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างที่มีเมฆสีขาวเหมือนปุยนุ่น เมฆสีขาว เหมือนปุยนุ่นมีความยาวสุดสายตาและท้องฟ้าสีฟ้าผสมผสาน กันเหมือนกับผ้าไหมผืนหนึ่งที่ย้อมด้วยมือดูสวยงามประทับใจ
น้ำตาของเขาไหลลงมาหยดลงบนใบหน้าเย็นเฉียบของนาง จนหญิงสาวรู้สึกอุ่นวาบบริวเณนั้น นางอยากจะเอื้อมมือไปเช็ด น้ำตาให้เขาเหลือเกิน นางไม่อยากให้เขาร้องไห้เลยสักนิด นางเป็นคนที่ตายไปนานแล้ว แค่ตายอีกครั้งหนึ่งเขาไม่จำเป็น ดัองเสียใจเลยสักนิด
ทว่าเพียงแค่หายใจแต่ละครั้งนางยังลำบาก ประสาอะไรกับ เอ่ยคำพูดออกมาเล่า ลำคอของนางรู้สึกถึงความคาวหวาน ของเลือดก่อนจะค่อยๆไหลออกมาจากมุมปาก นางไม่รู้มา ก่อนว่าร่างกายของตนยังมีเลือดเหลือให้ไหลออกมามากขนาดนี้
เขาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของนางอย่างต่อเนื่อง มือหนาสั่นสะท้าน ชายหนุ่มโน้มกายลงมาจุมพิตริมฝีปากเย็น ชืดของนาง เขาเกลียดนัก เขาเกลียดตนเองเหลือเกิน ยามนี้ เขารู้แล้วว่านางทำร้ายร่างกายของตนเองไม่ใช่เพราะต้องการ
เรียกร้องความสนใจหรือแก่งแย่งเขา แต่นางทำไปทั้งหมดก็ เพื่อต้องการรักษาขาทั้งสองข้างให้เขาเพียงเท่านั้น ทว่าเขา ในเวลาที่นางกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดเขากลับไม่เคยมาเยี่ยมหรือ ดูอาการนางเลยสักครั้ง
เขาเกลียดที่นางทําเรื่องเช่นนี้ออกมา เกลียดที่นางเอาชีวิต ของตนเองมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เขายอมนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ก็ได้ ขอเพียงแค่นางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป
นางลืมตาจ้องมองมาที่เขา ใบหน้าของนางสะท้อนอยู่ในแวว ตาของเขา หญิงสาวพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยคำพูดออกไป “ท่าน…จำไว้ ข้าชื่อ…ชูเซีย…” นางอ้าปากหอบหายใจอย่าง ยากลําบาก เหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผมมีเลือดผสมลงมาด้วย ฝ่ามือหนาของเขาพยายามห้ามเลือดบนหน้าผากของนางที่ เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาอีกครั้ง ร่างหนาสั่นสะท้านด้วยความ
หวาดกลัว
ท่านอ๋องรีบร้อนเอ่ยตอบนาง ใบหน้าคมตื่นตระหนกหวาด กลัวไปหมด “ข้ารู้ ข้ารู้มาตลอด” ยามที่เขาโดน
ยาสลบเมื่อครู่ ในภวังค์ เขาได้ยินเสียงของนางที่กระซิบอยู่ ข้างหูของเขา นางบอกว่านางชื่อชูเซีย นางรักเขา นางบอกว่า นางชอบที่เขาเป็นภัยพิบัติของนาง เป็นโรคระบาดของนาง ภัย พิบัตินั้นคือความรัก
รอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้แรกแย้มผุดขึ้นบนริมฝีปาก ของนาง ร่างทั้งร่างของนางล่องลอยและว่างเปล่า ยามนี้ ราวกับว่านางเพิ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำทั้งซีดขาวแต่ก็ดู บริสุทธิ์ รอยยิ้มของนางค่อยๆเลือนหายไป ดวงตากลมค่อยๆ ปรือลงช้าๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดีจริง เช่นนั้นข้าก็สามารถไปทุ่ง หญ้าเพื่อไล่ตามหนุ่มน้อยได้แล้วสินะ
ศีรษะของนางค่อยๆตกลงมาแนบลงบนอ้อมอกเขาในที่สุด
มุมปากของนางมีรอยยัมจางๆราวกับว่านางได้ไปไล่ตามหนุ่ม น้อยเลี้ยงแกะบนทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างมีความสุขแล้ว
จริงๆ
ความโศกเศร้าเสียใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขาเงยหน้าขึ้นก่ ร้องออกมา “ชูเซีย…
หลิวหยิงหลงเป็นคนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชูเซี่ยเองก็เช่น กัน ยามนี้คนที่จากไปเป็นหลิวหยิงหลงหรือชูเซี่ยก็ไม่มีผู้ใดรู้ แน่ชัด ไม่มีผู้ใดรู้ได้ ไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้เลย…
องค์หญิงอี้ฮุย พระชายานิ่งอัน หลิวหยิงหลงเสียชีวิต แล้ว ท่านอ๋องหนิงอานหลี่เฉินเย่นโอบกอดร่างไร้วิญญาณพระ ชายาของตนไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่าใครพูดหรือกล่าวอะไรเขา ก็ไม่ยอมให้ใครแย่งชิงร่างของนางไปจากอ้อมแขนเขาเด็ด ขาด “นางต้องฟื้นขึ้นมาแน่ ยามที่อยู่บนเขานางก็เคยไร้ซึ่งลม หายใจไปแล้วแต่สุดท้ายนางก็ฟื้นขึ้นมาได้ นางจะต้องฟื้นขึ้น มาแน่…ข้าไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องนาง!
ท่านอ๋องกอดร่างของนางไว้สามวันสามคืนไม่ยอมแตะข้าว ปลาอาหาร แม้แต่น้ำสักหยดเขาก็ไม่ดื่ม ชายหนุ่มยังคงเชื่อว่า นางจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่ายามนี้ร่างกายนางจะเย็นเฉียบ กับน้ำแข็ง ทว่าเขาก็ยังเชื่ออย่างหมดหัวใจว่านางจะฟื้นคืนมา
เขาไม่ยอมปล่อยให้นางไปนอนอยู่บนโลงศพเย็นเฉียบแบบ นั้นและถูกฝังลงไปอยู่ใต้ดินเป็นอันขาด!
เขาและนางเคยเล่าเรื่องผีด้วยกัน นางบอกกับเขาว่าในโลก ใบนี้มีผีอยู่จริงๆ เขาเองก็เชื่อ ฉะนั้นเขารู้ว่าแม้ว่านางไม่อาจ ฟื้นคืนมาแต่ดวงวิญญาณของนางจะต้องกลับมาหาเขาแน่
เขารอ เฝ้ารออย่างบ้าคลั่ง
ฮ่องเต้เสด็จออกจากวังด้วยตัวพระองค์เอง การตายของช เซี่ยทำให้พระองค์เสียพระทัยอย่างยิ่ง ทว่าราชวงศ์ก็สมควร วางตัวให้สมกับเป็นราชวงศ์ การที่สายเลือดกระษัตริย์มาโอบ กอดร่างไร้วิญญาณไว้ไม่ยอมให้ใครจัดพิธีศพให้นาง ปล่อย ให้นางจากไปไม่สงบ ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ตลอดชีวิตของหลี่เฉินเย่นไม่เคยขัดรับสั่งของเสด็จพ่อเลย สักครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้แม้ว่าฝ่าบาทจะส่งตรัสด้วยตนเองทั้งยัง คาดโทษเขาก็ยังไม่ยินยอมที่จะปล่อยมือของนาง ชายหนุ่ม มองผู้มีศักดิ์เป็นบิดาและเป็นถึงกษัตริย์ด้วยสายตาท้อแท้สิ้น หวัง เขาเอ่ยขอร้องผู้เป็นพ่อ เสด็จพ่อได้โปรดปล่อยให้ลูก ทําเรื่องไร้สาระสักครั้งเถิด ลูกไม่อยากปล่อยมือไปจากนาง
ฮ่องเต้สายพระพักต์อย่างอ่อนใจ “เจ้ารู้ตัวด้วยงั้นหรือว่า กำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ หยิงหลงจากไปแล้ว เจ้าทำเช่นนี้จะ ดีแต่จะทำให้วิญญาณของนางไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ ท่า เช่นนี้เพื่ออะไรกันเล่า
“ลูกทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้ดวงวิญญาณของนางสงบสุข นั่นล่ะพะย่ะค่ะ หากนางทราบว่าลูกกำลังโศกเศร้า นาง
จะต้องกลับมาแน่ เสด็จพ่อ เป็นลูกที่ฆ่านาง นางช่วยชีวิต ของรักษายาของลูกจนหาย แต่ลูกกลับทำร้ายนางจนตาย ลูกไม่อยากตายาง หม่อมฉันติดค้างนางหนึ่งชีวิต เสด็จ พ่อ ยามนั้นที่ลุกขึ้นไปเก็บหญ้าหลินเจ้าบนยอดเขากับนาง นางเอกไม่หายใจไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดนางกลับฟื้นขึ้นมา อีกครั้ง ครั้งนี้ก็เป็นไปได้ว่านางอาจฟื้นขึ้นมาเหมือนครั้งก่อน
เรื่องเด็ดออกมาอย่างสุดทน เหลวไหล คนตายไปแล้ว จะเห็นชีพได้อย่างไรกัน ฮ่องเต้ถอยออกไปก่อนบัญช องศากระเบื้องหลัง “พวกเจ้าไปลากท่านต้องออกมา ให้พระ รายได้จากไปอย่างยิ่งข
เองครักษ์ รับบัญชา ก่อนจะก้าวเดินมาข้างหน้าว่า แผ่นกลับยกกรีซขึ้นมาจ่อที่ลำคอของตน ดวงตาคมจ้อง ของมาของเต้ เสด็จพ่ออย่าได้บีบบังคับหม่อมฉันอีกเลย หาไม่หม่อมฉันก็จะไปพร้อมกันกับนาง
ฮ่องเต้ทรงพระเนตรบุตรชายของพระองค์อย่างอ่อนพระทัย ทําไมพระองค์จะ จในตัวบุตรชายเล่า ครั้งหนึ่ง
พระองค์ โดยมีช่วงเวลาที่เช่นนี้ เคยได้รับความรักที่งดงาม
น้ำเสียงของฝ่าบาทอ่อนลง ถอนปัสสาสะ “เด็กน้อย ยามที่ นางมีชีวิตอยู่เจ้าก็ไม่เคยให้นางอยู่อย่างเป็นสุข ในยามนี้นาง จากไปแล้วเจ้าก็ปล่อยให้นางจากไปอย่างเป็นสุขไม่ได้หรือ
อ๋องเจิ้นหยวนก็มาที่จวนเช่นกัน ยามนั้นเขาก็เกือบจะต้อง เสียพระชายารักของตนไปแล้ว ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเช่นนี้
เขาก็เคยลิ้มรสมันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อมาเห็นหลี่เฉินเล่นใน สภาพเช่นนี้เขาก็รู้สึกทั้งลำบากใจทั้งเห็นใจ เขาเดินเข้าไปจับ มือของน้องชายตนเองไว้ “เจ้ามองดูนางเถิด ริมฝีปากของนาง ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โทษเจ้าแม้แต่ น้อย นางใช้เข็มทดลองกับร่างของตนเองแสดงว่านางย่อม รู้ถึงผลที่ตามมาอยู่แล้วแต่นางก็ยังดึงดันที่จะทำ นางเพียง แค่ต้องการใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข หากเจ้าเป็นแบบนี้ เท่ากับสิ่งที่นางทำไปทั้งหมดต้องสูญเปล่าไม่ใช่หรือ
น้ำตาของหลี่เฉินเช่นไหลลงมาไม่ขาดสาย เขาเอ่ยพิมพ์ “ข้ายอมเดินไม่ได้ตลอดชีวิตก็ไม่ยอมให้นางจากไปจากข้า
เสด็จพี่ ข้าเกลียดนางเหลือเกิน ทำไมนางถึงท่าอะไร เผด็จการไม่คิดถึงผู้อื่นเช่นนี้
อ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกโศกเศร้า ในหัวของเขานึกถึงความกล้า หาญของชูเซี่ย สตรีที่ดีเช่นนางช่างโชคร้ายนัก ฝีมือการ แพทย์ของนางสูงส่งแต่ก็ไม่อาจรักษาตนเองได้ เขาเอ่ยขึ้นมา อย่างลำบากใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่ทว่าท้ายที่สุดนางก็ ต้องไปตามทางของนาง เจ้าจะรักนางก็ดี เกลียดนางก็ดี จากนี้ ไปก็ต้องเก็บไว้ในใจแล้ว เข้าใจหรือไม่
หลี่เฉินเล่นส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้
อ๋องเจิ้นหยวนถอนหายใจออกมา “ถ้าเช่นนั้นอย่าได้โทษพี่ เลยนะ!” เขาทนไม่ไหวตัดสินใจซัดฝ่ามือเข้าที่ท้ายทอยของ หลี่เฉินเช่น หลี่เฉินเย่นตกใจก่อนที่สติของตนจะค่อยๆดับลง
ยามที่ร่างของเขาค่อยๆล่วงลงสู่พื้น หัวใจของเขาท้อแท้สิ้น หวังเหลือเกิน ต่อไปเขาจะไม่ได้เห็นนางอีกแล้วสินะ
หลังจากที่หลี่เฉินเย่นฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเวลาก็ล่วงเลยไปสาม วันแล้ว สามวันมานี้อ๋องเจิ้นหยวนให้คนป้อนยานอนหลับให้ แก่เขาเพื่อที่จะได้หลับพักผ่อนให้สนิท
ชายหนุ่มเอาแต่ขังตนเองไว้ในเรือนหรูอี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอม
พบ
ครึ่งเดือนต่อมา ท่านอุปราชบิดาแท้ๆของหลิวหยิงหลงก็เดินทางมาถึง หลี่เฉินเย่นถึงได้ยอมออกมาพบ
ทั้งสองคนพบหน้ากัน ต่างคนต่างก็รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่ง จะเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกันทั้งคู่ ท่านอุปราชแก่ ลงมาก ด้านหลี่เฉินเช่นก็มีสภาพไม่ต่างจากวิญญาณ หนวด เครารุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ดวงตาลึกโบ๋ ใบหน้าคมซูบตอบ
เพียงเพราะหญิงสาวคนหนึ่งตายไปกลับทำให้ชายหนุ่มทั้ง สองเจ็บปวดไม่ต่างกัน
ท่านอุปราชจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความสงสาร “โศกเศร้าเสียใจได้ แต่อย่าทำร้ายตนเองเช่นนี้เลย
หลี่เฉินเย่นรับคำ ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าสบสายตา ของท่านอุปราช ความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจของเขา เป็นเขาที่ ทำให้ชูเซี่ยต้องตาย
ท่านอุปราชถอนหายใจ “ความจริงแล้วหยิงหลงเสียไปตั้งแต่ สองเดือนก่อนแล้วล่ะ พวกข้าทราบมาโดยตลอดว่าพระชายา ที่อยู่ในจวนอ๋องของท่านไม่ใช่หญิงหลงของพวกข้า
หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดก่อนเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ท่านพ่อตากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ท่านอุปราชเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าและ ดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวด “หลังจากที่หยิงหลงออก เรือนไป มีครั้งหนึ่งที่หยิงหลงกลับมาที่บ้านและทะเลาะกับ พวกเขาสามีภรรยาอย่างหนัก นางกล่าวว่าหากพวกข้าตกปาก รับคำให้มีเหอแต่งกับท่านก็เท่ากับว่าบีบบังคับให้นางตาย ยามนั้นพวกข้าเข้าใจว่านางเอ่ยออกมาเช่นนั้นด้วยอารมณ์ พวกข้าไม่ได้คิดถึงจิตใจของนางในตอนนั้นเลยสักนิด แต่ สุดท้าย หลังจากนั้นสองวันยามที่พวกข้าสองสามีภรรยานอน อยู่บนเตียงก็พบว่านางกลับมาอีกครั้ง นางก้มลงคำนับพวก ข้า กล่าวขอบคุณและซาบซึ้งในบุญคุณของพวกข้าทั้งยังบอก อีกว่านางคงต้องไปแล้ว จากนั้นข้าก็เห็นกับตาว่าร่างของนาง ค่อยๆจางหายไปในที่สุด ข้าจึงได้รู้ว่ายามนั้นนางคงไม่มีชีวิต อยู่อีกแล้ว”
หลี่เฉินเย่นตกใจ “เช่นนั้น เหตุใดพวกท่านจึงไม่ส่งคนมาสืบ ที่จวนอ๋องเล่า
ดวงตาของท่านอุปราชเปียกชื้น เขาพยายามกระพริบตาเพื่อ ไล่น้ำตาของตนก่อนยิ้มขมขื่น “พวกข้ามีหรือจะไม่ส่งคนมาสืบ ความจริงพวกข้าสืบเรื่องราวของนางมาโดยตลอด ในใจก็รู้แต่ แรกแล้วว่านางไม่ใช่หยิงหลงอีกต่อไป ทว่าการที่มีนางอยู่ใน ร่างของหญิงหลงก็เหมือนกับเครื่องปลอบประโลมจิตใจของ พวกข้าสองสามีภรรยา ดังนั้นพวกข้าจึงไม่คิดจะเปิดเผยความลับของนาง
คลื่นความกลัวเข้าถาโถมเข้ามาในจิตใจของหลี่เฉินเย่นอ ย่างต่อเนื่อง เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินเลยสักนิด
“ข้าชื่อชูเซี่ย!” ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของนางกระซิบอยู่ริม
ใบหูของเขา
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ