หมอยาเสน่ห์หา

ตอนที่ 38 ลอง



ตอนที่ 38 ลอง

ตอนที่ 38 ลอง

เดิมทีการประหารมีอยู่หลายรูปแบบ นักโทษสามารถ เลือกได้ทั้งการดื่มเหล้าพิษ ผ้าขาว กรรไกร กริช เพราะ การตายเหล่านี้จะยังมีสภาพศพครบถ้วนสมบูรณ์

ทว่าการตัดสินโทษประหารเช่นนี้ หัวหลุดออกจากบ่า ร่างกายแยกออกเป็นสอง เดิมมันเป็นวิธีลงโทษสำหรับผู้ที่ มีโทษหนักหนาจริงๆจึงเลือกใช้วิธีเช่นนี้

ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนทราบดีว่าท่านหมอหลวงซั่งกวนเป็นผู้ บริสุทธิ์ ทว่าบริสุทธิ์แล้วอย่างไรเล่า ภายในวังหลวงก็มีผู้ บริสุทธิ์ที่ต้องสังเวยชีวิตของตนเองอยู่ทุกปีอยู่แล้วไม่ใช่

หรือ

ยามนี้ชูเซียไม่คิดจะไปเยี่ยมหลี่เฉินเย่นอีกแล้ว ฮ่องเต้มี รับสั่งให้ประหารท่านหมอซังกวนทำให้นางนึกถึงการตาย ของนางในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดว่านางตายได้อย่างไร นางผ่าตัดช่วยชีวิตผู้ป่วยแต่ไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ บิดาของ

ผู้ป่วยโกรธมากถึงขั้นชักมีดออกมาแทงนาง การเป็นหมอ ต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย หมอเป็นคนหาใช่เทวดาไม่

พวกเขาสามารถทำได้ร้อยอย่างแต่ไม่อาจทำได้หมื่นอย่าง ทว่าผู้ป่วยหลายคนก็ล้วนคาดหวัง ว่าตนจะสามารถฝืนลิขิตสวรรค์ได้ เราจำเป็นต้องยอมรับ ว่าเกิดแก่เจ็บตายไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะหลีกเลี่ยง ผู้ป่วยมักจะ คิดว่าตราบใดที่ท่าน หมอยังอยู่ข้างกายชีวิตของพวกเขา ก็ต้องอยู่รอด หากไม่สามารถทำได้ก็ล้วนเป็นความผิดของ พวกหมอ

นางและท่านหมอซึ่งกวนก็ไม่ต่างกัน เพียงเพราะไม่ สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้กลับโดนคนในครอบครัวของ ผู้ป่วยฆ่าตาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ชูเซี่ยต้องรีบไปเข้าเฝ้า ฮ่องเต้เพื่อขอให้พระองค์ยกเลิกรับสั่งนั่นเสีย

นางตัดสินใจไปสำนักหมอหลวงเพื่อหาเทียบยาที่ท่าน หมอซึ่งกวนออกให้แก่องค์ชายอานเหยียนเสียก่อนทั้งยัง สอบถามจากใต้เท้าเยี่ยนพ่านอีกด้วย เทียบยาไม่มีส่วน ผสมอะไรที่ผิดปกติเมื่อได้ยินเช่นนั้นชูเซี่ยก็หันกายวิ่งจาก ไปทันที ใต้เท้าเยี่ยนพ่านมอบจดหมายคำร้องของตนและ หลงเฟยให้แก่ชูเซี่ยเพื่อให้นางเป็นผู้มอบให้แก่ฝ่าบาท

ยามนี้เหลือเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้นก็จะถึงฤกษ์ ประหาร

ชูเซี่ยไม่รู้ว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่ใด ถามนางกำลังกี่คนก็ไม่มีผู้ใดทราบล้วนบอกเพียงแค่ไม่ทราบๆ นางวิ่งนำมา มาและเสี่ยวจื้อย่างไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมอง เห็นผู้ ใดก็หยุดถามแต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแท้จริงแล้วฝ่าบาท ประทับอยู่ที่ห้องอักษรหรือท้องพระโรงกันแน่ เป็นไปได้ ว่าพระองค์อาจจะไปประทับอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮา หรือ อาจจะไปเยี่ยมเยียนหลี่เฉินเย่นก็เป็นได้ไม่ว่าข้อแม้ใดก็ดู เป็นไปได้เสียหมด

ชูเซี่ยหยุดพักเพียงครู่เดียวก่อนจะย่ำเท้าอยู่กับที่ “ช่าง เถิด ไม่ต้องหาแล้ว พวกเราไปประตูอู่เหมินกันเถิด!”

อู่เหมินคือประตูหลักของวังหลวง ตอนที่มีทหารองครักษ์ มาถวายบังคมพอ๋องเต้ จะต้องยืนประจำที่รอฤกษ์

ชูเซี่ยกึ่งวิ่งกึ่งเหาะนำหน้ามามาและเสี่ยวจี้จนทั้งห่างออก ไปเรื่อยๆ นางเองก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดขาของนางที่ อักเสบถึงเพียงนี้กลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อยราวกับว่า ประสาทรับความ รู้สึกเจ็บของนางใช้การไม่ได้เสียแล้ว

ประตูอู่เหมินใหญ่โตยิ่งนัก มีประตูเล็กขนาบข้างซ้ายขวา ทว่าจะกล่าวว่าเล็กก็ไม่ถูกต้องนักเพียงแค่เล็กกว่าประตู หลักเล็กน้อยเท่านั้น
ลานกว้างหน้าประตูอู่เหมินมีนายทหารยืนรักษาการณ์อยู่ หลายนาย นางไม่มีนาฬิกาจึงไม่ทราบว่ายามนี้ถึงยาม แล้วหรือไม่

แต่นางสังเกตจากที่พื้นไม่มีคราบเลือดใดๆ ในใจก็รู้สึก โล่งอกอยู่บ้างแสดงว่ายังไม่ถึงฤกษ์สินะ

จากนั้นเพียงครู่เดียวด้านหลังของนางก็มีเสียงดังขึ้น ชู เซี่ยจึงหันกายกลับไปมองก็พบว่ามีราชองครักษ์สองนาย กำลังลากโซ่ที่พันธนาการชายผู้หนึ่งไว้อยู่ออกมา เสื้อผ้า ของชายวันกลางคนผู้นั้นขาดวิ่นมีโซ่ตรวนพันธนาการขา ทั้งสองข้างของเขาไว้ฝ่าเท้ามีเลือดไหลซิบคงเกิดจากการ ที่ถูกลากออกมาตลอดทางอย่างแน่นอน

ชูเซี่ยร้อนใจรีบวิ่งไปหยุดอยู่ข้างหน้าของเขาทันที “ท่าน หมอซั่งกวน”

หมอหลวงซั่งกวนเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแวว ตาโศกสลดสิ้นหวัง เขาเคยพบเจอหญิงสาวผู้นี้มาก่อนครั้ง หนึ่งในวันที่พระชายาเจิ้นหยวนคลอดบุตรยาก ท่านหมอ ตะลึงไปเล็กน้อย “พระชายาหรือ”
ผู้คุมทั้งสองไม่เคยรู้จักหญิงสาวนางนี้มาก่อน ทว่าเมื่อ ได้ยินท่านหมอซั่งกวนเอ่ยเรียกนางแม้จะไม่เคยพบก็ต้อง ทำความเคารพต่อหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ “พระชายาโปรดยา ขัดขืนรับสั่งของฝ่าบาทเลยพะย่ะค่ะ!”

ยามนี้พระอาทิตย์ขึ้นตรงยังศีรษะของนางบ่งบอกว่าถึง ยามอู่ในที่สุด ชูเซี่ยที่วิ่งมาตลอดทางยามนี้ใบหน้างามเต็ม ไปด้วยหยาดเหงื่อที่ต้องแสงเป็นประกาย นางรีบเอ่ยห้าม “เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเจ้าห้ามตัดหัวเขาเด็ดขาด!”

ทหารผู้คุมเหล่านั้นต่างก็ขมวดคิ้ว “พระชายา นี่คือรับสั่ง จากฝ่าบาท พวกเราต้องนำเขาแห่ประจานรอบตลาดเสีย ก่อน”

“รอบตลาดหรือ ไม่ใช่ตัดหัวที่นี่หรือ” ชูเซี่ยนิ่งครู่หนึ่ง ประหารที่อู่เหมิน ไม่ใช่ประหารตรงหน้าประตูอู่เหมือนหรือ

ผู้คุมยิ้มเล็กน้อย “ประตูอู่เหมินเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะให้มาประหารนักโทษที่นี่ได้อย่างไรพะย่ะค่ะ พวก กระหม่อมต้องนำนักโทษแห่ประจานรอบตลาดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยลงโทษประหาร พระชายาได้โปรดหลีกออก ไปเถิดพะย่ะค่ะ!”
ที่แท้ยังมีเวลาอีกสักหน่อยชูเซี่ยผ่อนลมหายใจ โชคดี เหลือเกินที่นางตัดสินใจมาดักรออยู่ที่นี่ แต่นางไม่มีเวลา มาสอบถามว่าเหตุใดจึงไม่ประหารนักโทษที่ประตูอู่เหมิน ยามนี้นางต้องหยุดโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ให้จง ได้ก่อน

นางก้าวไปขวางขบวนแห่นักโทษตรงหน้าไว้เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็คงไปไหนไม่ได้สินะ

ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองผู้คุม “คนคนนี้บริสุทธิ์ ข้าไม่ยอมให้ พวกเจ้าพาเข้าไปหรอก”

ผู้คุมทำสีหน้าปั้นยาก “บริสุทธิ์หรือไม่ ผิดหรือไม่ก็ไม่ เกี่ยวอันใดกับพวกกระหม่อม นี่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท หาก พระชายาคิดว่าเขาไม่ผิดก็ไปทูลต่อฝ่าบาทเองเถิดพระยะ ค่ะ”

“ข้าต้องไปพบท่านพ่อแน่ ขอร้องพวกเจ้าล่ะ ให้เวลาข้า หน่อยเถิด ระงับการประหารไปก่อนเถิด”

นายทหารผู้นั้นส่ายหัวทันที “แต่นี่คือรับสั่งจากฝ่าบาทนะ พะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมมิอาจไม่ทำตามพะย่ะค่ะ”
“นี่คือชีวิตของคนทั้งคนเลยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงใจดำได้ เพียงนี้กัน” ชูเซี่ยร้อนใจมากขึ้น

เหล่าผู้คุมคุกเข่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับนาง “พระชายา หากพวกกระหม่อมไม่ฟังรับสั่งผู้ที่ตายก็คือพวกกระหม่อม เองนะพะย่ะค่ะ”

หมอหลวงซั่งกวนเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ยอย่างซาบซึ้ง ใจ “พระชายาตามมาส่งกระหม่อมถึงนี่ เชื่อว่ากระหม่อม บริสุทธิ์เท่านั้นหม่อมฉันก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว ชีวิต ของพวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญ พระชายาได้โปรดอย่าทำให้ พวกเขาต้องลำบากใจเลย กระหม่อมมีเรื่องอยากขอร้อง พระชายาเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น หากกระหม่อมตายไป ขอให้พระชายาช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของกระหม่อมอย่า ให้ครอบครัวของกระหม่อมต้องเดือดร้อนโดนประหารเก้า ชั่วโคตรเลย เพียงเท่านี้ก็เป็นพระคุณสูงส่งต่อกระหม่อม แล้ว”

ชูเซี่ยส่ายศีรษะ นางไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ “ไม่ได้ ข้าไม่อาจทนเห็นท่านต้องตายไปต่อหน้าต่อตาโดย ไม่อาจทำอะไรได้” ชูเซี่ยนึกไปถึงละครจีนโบราณที่ฉาย ทางโทรทัศน์ในยุคของนางจึงตัดสินใจเลียนแบบโดยการ ดึงปิ่นปักผมจนเส้นผมดำสลวยสยายลงมาก่อนจะยกมัน ขึ้นมาจ่อที่ลำคอของตนเอง “หากพวกเจ้ายังคิดจะพาตัวท่านหมอซึ่งกวนไปแล้วล่ะก็ ข้าจะตายตรงนี้ ให้ดู ดูเถิดว่ายามนั้นพวกเจ้าจะทำเช่นไร!”

หากเป็นเมื่อก่อนนางคงคิดว่านี่ช่างเป็นวิธีการที่โง่เขลา นัก ผู้ใดที่จะลงมือทำร้ายตนเองได้กัน แต่ในยามนี้นางจึงรู้ ว่าบางสถานการณ์เราก็หาได้มีทางเลือกอื่นมากนัก หากมี ทางเลือกเพียงน้อยนิดก็คงต้องเลือกมันอยู่ดี

แม้ว่าดูโง่เขลาแต่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลใช้การได้จริง

เหล่าผู้คุมตกใจมองหน้ากันเล็กลัก

จู่ๆก็มีพลทหารวิ่งตรงมาทางนี้เนื่องจากได้ฤกษ์ที่จะต้อง แห่ประจานท่านหมอซั่งกวนแล้วทว่ากลับยังไม่โผล่มา เมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นก็รีบรุดออกไปรายงานต่อ เบื้องบนทันที “พวกเจ้ารีบไปกราบทูลต่อฝ่าบาทให้เสด็จ มาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเร็วเข้า”

นายทหารผู้นั้นจึงรีบวิ่งออกไปทันที

พระอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าตรงกลางศีรษะทำให้นางรู้สึก ร้อนมาแต่ก็มิอาจลดปิ่นปักผมที่จออยู่ที่ลำคอลงได้นางเกรงว่าหากนางเผลอพวกเขาก็จะสามารถเข้ามาหยุด นางได้สำเร็จ แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นวรยุทธของพวกเขา ที่ว่าการที่พวกเขามาดำรงตำแหน่งเหล่านี้ได้วรยุทธก็คง ไม่ได้แย่นักหรอก

นางยังคงยืนอยู่เช่นนั้นจนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงจะ เห็นว่ามีราชองครักษ์วิ่งกลับมาตามด้วยกลุ่มคนอีกหนึ่ง กลุ่มและคนสุดท้ายท่านอ๋องเงินหยวน

เมื่อท่านอ๋องเจิ้นหยวนพบชูเซี่ยก็รีบร้อนพูดขึ้นมา “หยิง หลง วางปิ่นปักผมลงเสีย”

เมื่อชูเซี่ยเห็นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ท่าน อ๋อง ท่านมาก็ดีแล้ว ข้าเห็นเทียบยาที่ท่านหมอซึงกวน เขียนแล้ว ตัวยาไม่ได้รุนแรงเลยสักนิด”

ท่านอ๋องเจ้นหยวนปรายตามองท่านหมอซังกวนก่อนจะ หันกลับมามองนาง “ทว่า หลังจากอานเหยียนได้รับยาของ เขาแล้วอาการกลับกำเริบหนักขึ้น”

ชูเซี่ยพยายามเอ่ยคำอธิบาย “ต่อให้เขาไม่จัดเทียบยา เช่นนี้ขึ้นมาอาการของอานเหยียนก็ต้องกำเริบขึ้นมาอยู่ แล้วเจ้าค่ะ อานเหยียนยังโชคดีเสียด้วยซ้ำที่ได้เทียบยาจากท่านหมอซั่งกวนมาช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ หากไม่ได้เทียบยานั่นอานเหยียนก็คงไม่อาจรอดมาได้ จนถึงตอนนี้” ยาที่ท่านหมอซึ่งกวนจัดล้วนเป็นยาที่บรรเทา อาการตัวเหลืองเท่านั้น เป็นเพียงการรักษาโรคในเบื้อง ต้นไม่ได้รักษาอาการโรคตัวเหลืองที่เกิดขึ้นภายในดังเช่น ที่อานเหยียนเป็นอยู่ การเจ็บป่วยของอานเหยียนเกิดจาก ปัจจัยหลายๆอย่างไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดเทียบยาเลย แม้แต่น้อย

เมื่อท่านอ๋องเจิ้นหยวนได้รับฟังก็เข้าใจได้ในทันที “ทว่า รับสั่งของท่านพ่อเมื่อตรัสออกมาแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ!”

ชูเซี่ยได้ยินที่เจินหวนอ๋องกล่าวมาก็วิตกกังวลอย่างยิ่ง “ท่านอ๋องนี่คือชีวิตของคนทั้งชีวิต ท่านหมอซึ่งกวนเขามี บ้านมีครอบครัว หากเกิดเรื่องกับเขา ครอบครัวเขาจะต้อง โศกเศร้าเพียงใด หากเขาทำผิดจริงข้าก็คงไม่สนใจไม่มา ร้องขอเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ แต่ข้าเห็นอยู่ชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ บริสุทธิ์ข้าไม่อาจเมินเฉยได้ หากกลับกันเป็นข้าที่ทำให้เขา ต้องตายขึ้นมา ข้าคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน ท่านอ๋องเจ้าคะ ช่วยชีวิตคนเปรียบดังสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ขอ ให้ท่านอ๋องตรองดูให้ถี่ถ้วนเถิดเจ้าค่ะ”
แต่ไรมาอ๋องเจิ้นหยวนไม่เคยสนใจเรื่องความเป็นตาย ของผู้อื่นอยู่แล้ว ทว่าทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของชู เชี่ยกลับที่มแทงลงมากลางใจของเขาเหลือเกิน หากเป็น เมื่อก่อนมากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าเขา เขาก็คงไม่ได้รู้สึกอะไร แม้แต่น้อย แต่ยามนี้เขาเกือบต้องสูญเสียคนรักของเขาไป ทั้งบุตรชายก็ยังไม่อาจรู้ชะตากรรมในอนาคต ดังนั้นคำพูด ของชูเซียจึงถูกซึมซับเข้ามาในหัวใจของเขาทุกคำ

เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าท่าทีของท่านอ๋องมีวี่แววอ่อนลงนางจึง รีบเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ยามนี้อานเหยียนยังไม่พ้นขีดอันตราย เราไม่สมควรทำเรื่องบาปกรรมเช่นนี้”

อ๋องเจิ้นหยวนพยักหน้า ได้ ข้าจะไปเข้าเฝ้าท่านพ่อกับ เจ้า!”

ชูเซี่ยมีสีหน้าดีขึ้นในทันทีราวกับยกภูเขาออกจากอก หากเขายอมไปเข้าเฝ้าขอร้องฮ่องเต้ด้วยกันแล้วล่ะก็ความ สำเร็จก็มีมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น นางรู้ดีว่าคำพูดของนางมีน้ำ หนักเบาเพียงใด ฮ่องเต้ไม่มีทางเชื่อคำพูดของนางเป็นแน่ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ทว่าเมื่อมีอ๋องเจิ้นหยวนไปกับ นางด้วยแล้วเรื่องราวจะกลับกันทันที
อ๋องเจิ้นหยวนสั่งระงับการประหารไว้ชั่วคราว เขาและชู เชี่ยเดินทางไปห้องอักษรของฝ่าบาททันที

ระหว่างเดินทางไปยังห้องพระอักษรของฝ่าบาทแล้วท่าน อ๋องก็หันกายกลับมาเอ่ยกับชูเซี่ยอย่างระมัดระวัง “ยามนี้ มีทั้งน้ำท่วมในเขตหูหนานและปัญหาภัยแล้งทางใต้ทำให้ ท่านพ่อปวดเศียรเวียนเกล้า หลายวันมานี้ออกว่าราชการ หารือถึงวิธีการแก้ไขปัญหากับเหล่าขุนนางอยู่เสมอ หลาย วันมานี้ท่านพ่ออารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก เจ้าห้ามพูดจาส่งเดช รอจนข้าถามเจ้าจึงค่อยตอบ”

ชูเซี่ยรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่เขาเอ่ยเตือนนางจากใจจริง “เจ้าค่ะ แล้วแต่ท่านอ๋องจะบัญชาเลยเจ้าค่ะ!”

อ๋องเจิ้นหยวนขบกรามแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมา เบาๆ “ข้าเคยเข้าใจในตัวเจ้าผิดมาโดยตลอด เข้าใจว่า เจ้า… อ๋องเจิ้นหยวนไม่ได้พูดต่อแต่ภายในใจของเขารู้สึก อบอุ่นและซาบซึ้งต่อการกระทำของนางที่ผ่านมาอย่างยิ่ง

ดวงตากลมของชูเซี่ยฉายแววอ่อนโยน แม้จะไม่ได้เข้าใจ ในความหมายที่เขาเอ่ยออกมาเนื่องด้วยเขาไม่ได้พูด มันออกมาจนหมด แต่นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ ระแคะระคายต่อการแสดงของนางเลยแม้แต่น้อย

เมื่อมาถึงหน้าห้องพระอักษรอ๋องเจิ้นหยวนก็ส่งคนให้ไป กราบทูลท่านพ่อว่าเขามาขอเข้าเฝ้า สักพักหัวหน้าขันที จงเจ๋งก็ก้าวออกมาจากห้องอักษรกระซิบเสียงเบา “วันนี้มี เรื่องร้ายเกิดขึ้น ยามนี้มีข่าวการเกิดโรคระบาดเกิดขึ้น ทั้ง ฝ่าบาทยังทราบเรื่องที่ท่านสั่งระงับการประหารท่านหมอ ซึ่งกวนแล้ว ยามนี้กริ้วอย่างมาก ขอให้ท่านอ๋องระมัดระวัง ยามเอ่ยทูลอะไรออกไปด้วยนะพะยะค่ะ”

“ขอบใจกงกง(ขันที)ที่คอยเตือน” อ๋องเจิ้นหยวนเอ่ย

จงเจิ้งถอนหายใจออกมา “ยามนี้เกิดโรคระบาดขึ้น พระทัยของฝ่าบาทย่อมสับสนวุ่นวาย หากท่านอ๋องจะเอ่ย ทูลเรื่องราวใดที่ขัดต่อพระประสงค์ฝ่าบาทก็ขอให้ชะลอไป ก่อนเถิดเพื่อปกป้องตัวของท่านเองนะพะย่ะค่ะ”

ชูเซียรู้สึกไม่ดียิ่งนักยามเห็นสีหน้าลำบากใจถึงเพียงนี้ ของจงเจิ้ง นางรับรู้ได้เลยว่าเรื่องราวในครั้งนี้คงไม่ราบรื่น อย่างที่นางคิดไว้เสียแล้ว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ