หมอยาเสน่ห์หา

ตอนที่26 รักษายาก



ตอนที่26 รักษายาก

ตอนที่26 รักษายาก

ช่างเป็นความรู้สึกที่อึดอัดอะไรเช่นนี้ หลังจากฉาก สะเทือนขวัญเมื่อครู่ ยามนี้ พวกเขาก็มิได้มีผู้ใดเอ่ยปาก พูดอะไรออกมาอีก

แสงแดดที่สาดส่องจากดวงอาทิตย์เริ่มแรงขึ้นทุกขณะ อากาศก็ร้อนขึ้นหลายส่วน น้ำค้างบนใบไม้ใบหญ้าต่าง ระเหยไปสิ้นแล้ว หลี่เฉินเย่นรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของหญิง สาวที่ทั้งตัวลงมาทางเขามากขึ้น เขารู้ดีว่าอาการเจ็บข้อ เท้าของนางมิได้ทุเลาลงแต่อย่างใด นางคงเจ็บขามิใช่ น้อย แต่ไม่นานนักพวกเขาก็พบว่าทางข้างหน้ามีถ้ำอยู่ แห่งหนึ่งจึงตัดสินใจว่าจะหยุดพักอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ชั่วคราว

ภายในถ้ำมีขนาดแคบ กว้างพอจะจุคนได้เพียงสามคน เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเขาและนางเข้าไปจึงยังพอมีที่ว่างเหลือ อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เจ้ารอที่นี่ดูอาการข้อเท้าของตนไปก่อน ข้าจะไปหาผล ไม้ป่าสักหน่อย แล้วจะรีบกลับมา”หลี่เฉินเย่นพูดกับนาง เสียงเบา เขาทราบว่านางมีวิชาแพทย์ แผลเพียงเท่านี้นางน่าจะพอดูแลตนเองได้

นางรีบหยุดเขาไว้ทันที ไม่ต้องไปหรอกเพคะ หม่อมฉัน พกของกินติดมาด้วย”นางกล่าวจบก็หยิบห่อสัมภาระมา เปิด หยิบห่อกระดาษไขเคลือบออกมาห่อหนึ่ง เมื่อเปิด ห่อออกก็พบว่ามีขนมซาวปิ่งส่งกลิ่นหอมหวนอยู่ภายใน นางยังหยิบน้ำเต้าบรรจุน้ำออกมาอีกสองขวด ก็จะยื่นให้ เขา”ท่านดื่มน้ำก่อนเถิด ข้าพอรู้มาบ้างว่าภูเขาลูกนี้หาแอ่ง น้ำค่อนข้างยาก”

มือของหลี่เฉินเย่นถือขวดน้ำเต้าไว้ในมือ แต่ดวงตาคม กลับมองจ้องนางอย่างค้นคว้า อดเอ่ยถามนางมิได้เจ้าคือ หลิวหยิงหลงจริงๆน่ะหรือ”

ดวงตาของชูเซี่ยเบิกค้าง แต่ชั่วพริบตานางก็ทำแสร้ง แสดงสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆที่ภายในใจตระหนกจนหัวใจ แทบจะหลุดออกมาจากอก

หลี่เฉินเย่นเปิดฝาน้ำเต้า ยกน้ำขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ดวงตาคม ของเขามองจ้องนางอย่างจับผิด เมื่อครู่เห็นอยู่ว่านางถูก คำถามของเขาทำให้ตกใจ แม้ต่อมานางจะกลบเกลื่อนมัน อย่างรวดเร็ว แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ เมื่อ นางแสร้งเฉย เขาก็มิได้สาวความอันใดอีก เพียงย่อกายลง นั่งลงมือกินซาวปิ่งเท่านั้น
ระหว่างทางขึ้นภูเขา ผ่านการต่อสู้กับสุนัขทิเบตมา ยาวนาน ยามนี้ท้องจึงร้องโครกครากออกมา เดิมทีเขามิ คิดจะเตรียมเสบียงอาหารขึ้นมาบนเขาอยู่แล้ว เกิดเป็นชาย ชาติทหาร ทั้งยังเคยออกท่องยุทธภพมาก่อน ชาวยุทธอยู่ บนเขาหากินบนเขา กระหายน้ำก็หาแอ่งน้ำดื่ม ทว่าวันนี้ทุก อย่างดูพิเศษขึ้นมาหน่อย การขึ้นเขาลูกนี้ มิมีลำธาร เดิมที เขาสามารถนำซากสุนัขที่เขาจัดการเมื่อครู่มาย่างเป็น อาหารได้ แต่เกรงว่าจะมีปัญหายุ่งยากตามมา

ดังนั้นการตัดสินใจหาผลไม้ป่าเป็นเรื่องดีที่สุด ดีกว่ามิมี อะไรตกถึงท้อง

แต่หญิงสาวตรงหน้าเขา นางกลับเตรียมเสบียงมาพร้อม ดูท่าว่าการพานางขึ้นเขามากับเขาก็มิใช่ไร้ประโยชน์เสียที เดียว

ยามเมื่อท้องหิว แม้แต่อาหารธรรมดาอย่างซาวปิ่งก็ กลายมาเป็นอาหารรสเลิศได้ เมื่อเขากินหมดไปลูกหนึ่งก็ ยังเกิดความรู้สึกอยากกินอีก ชูเซี่ยเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้ม แย้มออกมาก่อนบอดซาวปิ่งอีกครึ่งของตนส่งให้กับชาย หนุ่มตรงหน้า “เชิญท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมิใช่คนกินมาก อยู่แล้ว”
หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นก็มิได้เกรงใจจัดการหยิบซาวปี งอีกครึ่งมากินทันที จากนั้นก็ดื่มน้ำเข้าไปอีกหลายคำ จึง หันหน้าไปถามนาง

“เท้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ชูเซี่ยถอดรองเท้าออก นางพบว่ายามนี้ข้อเท้าของตน บวมเป่งเป็นสีแดง นางเปิดห่อผ้าหยิบขวดยานวดออกมา นวดบริเวณข้อเท้าที่บวมแดงของตน แต่ด้วยกำลังอันน้อย นิดของนางจึงมิสามารถนวดให้เลือดที่คลั่งอยู่คลายได้

หลี่เฉินเย่นมองนางนวดข้อเท้าตัวเองอย่างงงๆเงินๆ ก็ แย่งขวดยานวดมาไว้ในมือของตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียง ติดจะรำคาญ

“ข้าเพียงเกรงว่าเจ้าจะมิสามารถเดินทางต่อได้ เป็นภาระ ให้แก่ข้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่น”ในใจก็คิดว่า แม้แต่ ขวดยานวดแก้ฟกช้ำนางก็ยังพกติดกายมา ดูท่านางคงจะ เตรียมมาพร้อมทุกอย่างจริงๆ

เขาเทยาลงบนฝ่ามือของตน ก่อนจะถูกมือทั้งสองข้างเข้า ด้วยกันจนตัวยาร้อนขึ้น จากนั้นก็นวดบริเวณข้อเท้าของนางพร้อมบิดไปมาเบาๆหลายครั้งเมื่อให้อาการห้อ

เลือดคลายลง

ชูเซี่ยรู้สึกร้อนบริเวณข้อเท้าของตน ก่อนอาการ เจ็บปวดจะค่อยๆทุเลาลงจนนางรู้สึกได้ ก็รู้สึกดีใจยิ่ง นัก”ขอบพระทัยเพคะ

“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่ามิได้คิดจะช่วยเจ้า เพียงแค่มิอยากให้ เจ้าต้องมาสร้างภาระให้แก่ข้าเท่านั้น ลองขยับดูสิว่ายังเจ็บ อยู่อีกหรือไม่ หากมิเจ็บแล้วเราจะได้เริ่มออกเดินทางกัน ต่อ”

นางลองขยับเท้าของตนเองดูก็พบว่ายังมีอาการเจ็บอยู่ เล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าเดิมมากนักจนนางอดรู้สึกทึ่งมิได้ยา ของยุคสมัยนี้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง หรือจะกล่าวได้ว่าการ แพทย์แผนจีนของยุคสมัยนี้ร้ายกาจก็ว่าได้ ในศตวรรษที่ 21 ที่นางจากมานั้นผู้คนนิยมรักษาโดยใช้แพทย์ปัจจุบัน กันส่วนใหญ่ แพทย์แผนจีนมิค่อยมีคนนิยมเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงขั้นโพสต์ลงบนโลกอินเตอร์เน็ตต่อต้านการรักษา แพทย์แผนจีนเลยก็มี บอกว่าการรักษาโดยใช้วิธีฝังเข็ม หรือการกินยาสมุนไพรเป็นเรื่องหลอกลวง จนตอนนี้ความ ก้าวหน้าหรือวิชาการแพทย์แผนจีนในยุคของนางยิ่งมายิ่ง ถดถอยลงเรื่อยๆ แต่นางว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะวิชาการแพทย์แผนจีนในยุคนางมิได้เก่งกาจเท่ายุคสมัยนี้

ก็เป็นได้

“หม่อมฉันมิเป็นอะไรแล้วเพคะ เราเดินทางต่อกัน เถิด”นางว่าพร้อมลุกขึ้นยืน

หลี่เฉินเย่นทราบดีว่าอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าของ นางมิมีทางจะดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนั้น เขา อดรู้สึกชื่นชมนางในใจมิได้ เพียงแค่ในใจเท่านั้น ใน สายตานางเขาก็ยังเป็นชายหนุ่มที่วางท่าทีเงียบสงบเย็นชา เช่นเคย

ชูเซี่ยรู้สึกได้ว่าความจงเกลียดจงชังที่เขามีให้ต่อนางเริ่ม จะลดลงบ้างแล้ว หากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เขาไม่แม้แต่จะ ชายตามองนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว

ตัวนางที่อยู่ในร่างของหลิวหยิงหลงยังมีความจำสุดท้าย ของเจ้าของร่างอยู่บ้าง หากทว่าก็ช่างเลือนรางจนน่า ใจหาย นางแน่ใจว่าหลิวหยิงหลงมิได้ผลักฉ่ายเว็นลงน้ำ แต่ผู้ใคเป็นคนที่ผลักฉ่ายเซ็นลงไป นางกุมิทราบเหมือนกัน

แน่นอนว่า ถ้าหากนางทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ สองปีนี้ที่ผ่านมานางอธบายตลอดแต่ไม่มีคนจะเชื่อนาง และ ตัวนางเองก็เป็นถึงองค์หญิงอี้ฮุย หากต้องการจะสืบทราบ แน่ชัดก็ล้วนจัดการได้โดยง่าย หากว่านางพูดได้ว่าใครเป็น ฆาตกร ไปสืบก็รู้แล้ว

แต่ก็เพราะนางเองก็ไม่รู้เป็นใคร แม้ว่าจะนางจะมีหนึ่ง ร้อยปาก ก็แก้ตัวมิได้

หลิวหยิงหลงเป็นสตรีที่มีชีวิตที่ดีงามคนหนึ่ง เกิดและ เติบโตในตระกูลสูงศักดิ์ หลังกำเนิดได้มินาน ฮ่องเต้ก็แต่ง ตั้งให้นางเป็นถึงองค์หญิงอี้ ฮุย นางมีชีวิตที่สง่างามมาโดย ตลอด แต่เส้นทางความรักของนางหาใช่เช่นนั้นไม่ ยามรัก ก็ทลักทุเล ยามตายก็ต้องตายอย่างมีเงื่อนงำ ชูเซี่ยถอน หายใจออกมา นางรู้สึกสงสารเห็นใจในตัวหลิวหยิงหลง อยู่บ้าง นางตั้งมั่นกับตนเองว่านางจะต้องตามหาผู้ลงมือ และล้างมลทินให้นางให้ได้

แม้ว่านางและหลี่เฉินเย่นจะเริ่มพูดจาดีต่อกันบ้างแล้ว แต่ หากนางจะพูดหรือทำอะไรนางก็ยังต้องคิดให้รอบคอบ เสียก่อน จะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าและทำให้เขากลับมาตั้ง แง่รังเกียจนางอีกมิได้เป็นอันขาด ดังนั้นแล้วในเวลาเช่นนี้ การสงบปากสงบคำได้เป็นดีที่สุด ไว้สบโอกาสค่อยหาทาง ค่อยๆสนทนากับเขาเรื่องนี้ดูสักครา
หลิวมี่เหอยังอยู่ภายในวังหลวงนางทราบเรื่องแล้วว่าหลี่ เฉินเย่นและชูเซี่ยเดินทางไปหุบเขาเทียนหลางเพื่อตาม หาสมุนไพรแก้พิษเพื่อมารักษาพระชายา ตอนนี้สิ่งที่นาง จะทำได้ก็มีไม่มาก นางจึงจะอาสาคอยดูแลองค์ชายน้อย ที่เพิ่งเกิดในตำหนักชูหยางแห่งนี้ด้วยตัวนางเอง แต่ในวัง หลวงมีผู้คนอยู่มากมาย ไหนเลยหน้าที่ดูองค์ชายน้อยจะ ตกมาถึงมือนาง แต่เนื่องด้วยองค์ไทเฮาเห็นว่าในช่วงเวลา นี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง องค์ชายน้อยเพิ่งเกิด ได้มินาน พระชายาจะอยู่หรือตายก็มิอาจทราบ หากมีคน คอยอยู่ให้การดูแลและช่วยกันสวดมนต์ภาวนาเพิ่มขึ้นอีก หนึ่ง สวรรค์ก็อาจมีตาช่วยให้พระชายาหายดีในเร็ววันก็ เป็นได้องค์ไทเฮาเห็นว่าการสวดมนต์ภาวนาก็เป็นการช่วย เหลืออีกอย่างหนึ่ง พระองค์จึงอนุญาตให้หลิวมี่เหออยู่ใน ตำหนักชูหยางได้ชั่วคราว

องค์ชายน้อยมีพระนามว่าอานเหยียน พระองค์คลอดก่อน กำหนดอีกทั้งพระมารดายังต้องพิษจะอยู่หรือตายก็มิอาจ มีผู้ใดคาดเดาได้ เหล่าหมอหลวงต่างทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจในการรักษาชีวิตของพระยาไว้ให้ได้

เริ่มเข้าเช้าวันที่สอง ใต้เท้าเยี่ยนพ่านสังเกตเห็นความ ปกติบริเวณผิวหนังและดวงตาขององค์ชายน้อย
“ใต้เท้าบางที่นี่อาจจะเป็นอาการของโรคตัวเหลืองก็ได้นะ ขอรับ แต่อาการเช่นนี้เดิมมักแสดงอาการในเด็กที่คลอด ออกมาแล้วประมาณสามถึงสี่วันมิใช่หรือขอรับ แต่องค์ ชายน้อยเพิ่งเกิดมาไม่ถึงสิบสองชั่วยามด้วยซ้ำ หรือว่า…ใต้เท้าเยี่ยนพ่านและเหล่าหมอหลวงต่างก็นึกไปในทาง เดียวกัน แต่เรื่องนี้มิอาจคาดเดาส่งเดชได้ และหากเป็นจริง ก็อันตรายต่อชีวิตขององค์ชายน้อยอย่างยิ่ง

“มีบางอย่างผิดปกติจริงๆด้วย เอาเถิดเจ้าอยู่ที่นี้คอยดูแล พระชายาแล้วองค์ชายน้อยให้ดี อย่าได้มีอะไรผิดพลาด ข้าจะกลับไปที่สำนักหมอหลวงหารือเกี่ยวกับอาการของ องค์ชายน้อยสักเดี๋ยว”

หยงเฟยได้ยินที่ผู้อาวุโสทั้งสองพูดคุยกัน หัวใจของ พระนางก็กระตุกเกร็ง มีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก”เกิดอะไรขึ้น กับองค์ชายน้อยหรือท่านหมอ”

“ทูลพระสนม องค์ชายน้อยประสูติในยามที่พระชายาม รับพิษเข้าพอดีองค์ชายน้อยเพิ่งเกิดได้มินาน แต่ในยาม นี้ผิวหนังและดวงตาขององค์ชายน้อยกลับกลายเป็นสี เหลือง เบื้องต้นกระหม่อมเกรงว่าบางทีองค์ชายน้อยอาจ ได้รับพิษจากมารดามาด้วยพะย่ะค่ะ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บ บริเวณตับและไต หากเป็นชั้นนั้นจริงพวกกระหม่อมก็ต้องเร่งหาวิธีทางรับมือโดยเร็วที่สุด แต่องค์ ชายน้อยเป็นผู้มีบุญญาธิการ กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์ ต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน ขอพระสนมจงวางพระทัยเถิด พะยะค่ะ ” ใต้เท้าเอ่ยทูลตามจริงมิคิดจะปิดบัง

“วางใจงั้นหรือ”หยงเฟยสะกดกลั้นอารมณ์”เจ้าให้ข้า วางใจองค์ชายน้อยเป็นหน่อเนื้อเชื่อไข่ของข้า ทั้งยังเป็น พระราชนัดดาของไทเฮา ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด มิว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องรักษาองค์ชายน้อยให้หายให้จง ได้ เข้าใจหรือไม่”

“กระหม่อมาจะทุ่มสุดความสามารถพะย่ะค่ะ”เยี่ยนพ่านรับ บัญชา

หลิวมีเหอเองนางได้ยินเรื่องราวมาตลอด จึงเดินเข้าไป ปลอบพระทัยหยงเฟย “พระสนมมิต้องเป็นห่วงไปหรอก เพคะ องค์ชายน้อยสามารถประสูติออกมาก่อนกำหนดก็ ยังรอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย ในคราวนี้ก็เช่นกันเพคะ พระองค์ต้องปลอดภัยแน่นอนเพคะ”

หยงเฟยเห็นด้วย ในที่สุดพระนางก็เริ่มคลายกังวลลงได้ แต่กลับรู้สึกสงสารองค์ชายน้อย”เด็กคนนี้ เพิ่งจะลืมตาดู โลกแท้ๆ กลับต้องมาประสบเรื่องราวเช่นนี้ ยายอย่างข้ารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน!”

ตกเย็นองค์ชายน้อยเริ่มมีไข้สูง มีอาการชัก ไม่สามารถ กลืนน้ำนมที่แม่นมหลวงถวายให้ได้ ดื่มไปเท่าใดก็อาเจียน ออกมาจนหมด ทำให้คนทั้งวังต่างวิตกกังวลกันถ้วนทั่ว

หมอหลวงซั่งกวนรู้สึกจนปัญญาอย่างยิ่ง เขามิอาจถวาย ยาแก่องค์ชายน้อยส่งเดชได้ เพราะยาบางตัวอาจส่งผลให้ องค์ชายน้อยท้องเสียได้ แต่หากทิ้งไว้เช่นนี้อาการไข้ก็มิ อาจทุเลาลงเองได้ ทุกคนต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก

วันเวลาในตำหนักแห่งนี้ผ่านไปอย่างน่าหวาดหวั่นนัก องค์ชายน้อยมีแม่นมหลวงคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง หลิวมีเหอ ฉวยอากาศนี้คอยดูแลองค์ชายน้อยด้วยอีกแรง

องค์ไทเฮาและฝ่าบาทก็เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระราชนัดดา ของพระองค์ด้วยเช่นกัน เมื่อฝ่าบาททราบเรื่องก็กริ้วหนัก รับสั่งให้หมอหลวงทุกคนหาวิธีทำอย่างไรก็ได้ให้องค์ชาย น้อยบรรเทาอาการไข้ให้จงได้ แต่ท้ายที่สุดเมื่อตกค่ำพระ อาการไข้ขององค์ชายก็ไม่มีท่าที่จะทุเลาลง ฝ่าบาทจึงสั่ง จำคุกหมอหลวงชั่งกวนทันที รอวันตัดสินโทษประหาร
สถานการณ์ยามนี้ทำให้หมอหลวงที่เหลือต่างอกสั่นขวัญ แขวน พยายามหาวิธีรักษาองค์ชายน้อยกันอย่างสุดความ สามารถ เนื่องจากอาการขององค์ชายน้อยเป็นเช่นไรยัง มิมีผู้ใดทราบถึงอาการแน่ชัด ไม่สามารถรักษาส่งเดชได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการจะถวายยาแก้พิษให้แก่เด็กน้อยวัย เพียงเท่านี้ อันตรายเกินไป แม้ว่าฮ่องเต้จะกริ้วมากเพียง ใด พระองค์ก็อับจนหนทางเช่นกัน

ทางด้านอาการของพระชายากลับยิ่งแย่กว่าด้วยซ้ำ ท่าน อ๋องเจิ้นหยวนคอยอยู่เคียงข้างพระชายาของตนตลอด เวลา ไม่มีผู้ใดกล้าทูลบอกท่านอ๋องเกี่ยวกับอาการของ องค์ชายน้อยเลยสักคน ด้วยกลัวว่าจะยิ่งทำให้กระทบ กระเทือนจิตใจของท่านอ๋องมากไปกว่านี้ พระชายาก่อน หน้าเคยสิ้นลมไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็ถูกช่วยชีวิตกลับ มาได้ ก่อนชูเซี่ยออกเดินทางไปตามหาหญ้าหลินเฉ่าได้ ฝากฝังให้เข้าดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิด เขาย่อมต้อง ทำให้ดีที่สุด

ยามนี้ชีวิตของพระชายาและองค์ชายกำลังตกอยู่ใน อันตราย เหมือนชีวิตของทั้งสองยืนอยู่บนเส้นด้ายเพียง เส้นเดียว แม้แต่เทวดายังยากจะช่วยเหลือ วิชาตำรา มากมายที่เหล่าหมอหลวงเช่นพวกเขาร่ำเรียนมาล้วนมือ แปดด้าน ทำให้พวกเขาตัดสนใจที่จะลองมองหาวิธีการรักษาแบบอื่นๆนอกเหนือจากนี้ดูบ้าง การแพทย์มีอยู่ มากมาย มิได้มีเพียงในตำราเท่านั้น กล่ากันว่าเหนือฟ้ายัง มีฟ้า การแทย์ที่ว่าล้ำเลิศก็ย่อมมีที่ดียิ่งกว่า แต่ว่าหาเช่นไร ก็พบ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้แต่ฝากความหวังไว้ในตัว ชูเซี่ยแล้ว ขอให้นางนำหญ้าหลินเฉ่ากลับมาได้ในเร็ววัน ด้วยเถิด

อีกด้านของเขาเทียนหลาง ชูเซี่ยมิอาจทราบได้ว่าใน ยามนี้สถานการณ์ในวังหลวงวุ่นวายเพียงใด รู้เพียงว่า จิตใจของนางรู้สึกกระวนกระวายบอกไม่ถูก เมื่อเลือกที่ จะเป็นหมอ การรักษาชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับนาง แล้ว ยามเมื่อรักษาผู้ป่วยนางจะทุ่มเททั้งกำลังกายกำลัง ใจในการรักษาสุดความสามารถ แต่นางก็ต้องยอมรับว่า ในยุคสมัยเดิมของนาง มีเทคโนโลยีความก้าวหน้าการ แพทย์มากมาย มิมีโรคแปลกประหลาดที่มิอาจรักษาได้ แต่สำหรับที่นี่ ในโลกโบราณแห่งนี้ ต่อให้ผู้คนจะมีวิชาการ แพทย์ที่ล้ำเลิศเพียงใด แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลาดเสีย เมื่อไหร่ บางคราที่วินิจฉัยโรคผิดพลาด การรักษาของตน ก็จะพลาดไปด้วย เช่นนั้นแล้วต่อให้ฝีมือเก่งกาจเพียงใดก็ ไม่มีประโยชน์

ยามพลบค่ำมาถึง พวกเขาก็เข้าสู้อาณาเขตที่อันตราย ที่สุดในหุบเขาแห่งนี้เสียแล้ว เขาอสรพิษ
แม้จะเข้าสู่สารทฤดูแล้ว แต่ก็จริงดังเช่นที่หลี่เฉินเย่นก ล่าวมาก่อนหน้านี้ สภาพอากาศของหุบเขาเทียนหลางมิ ได้หนาวเย็นมากนัก ทำให้ยังคงหลงเหลืออีกหลายชนิด ที่ยังไม่เข้าสู่ช่วงจำศีล แม้ว่าช่วงนี้โอกาสถูกงพวกนี้จู่โจม จะมีน้อยกว่ายามเหมันต์ แต่ชื่อ เขาอสรพิษ ได้มาเพราะที่ แห่งนี้มีงอาศัยอยู่เต็มไปหมด เพียงงูพิษก็มีอยู่มากกว่า 72 ชนิดแล้ว

แต่เมื่อเข้าสู่อาณาเขตนี้นางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีโจร ภูเขาตามรอยมาถึงที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึง ตัดสินใจพักตรงรอยต่อระหว่างสองเขตนี้เพื่อออมแรงก่อน เดินทางต่อ

ชูเซี่ยนั่งลงเปิดห่อสัมภาระออกก่อนจะหยิบสุราออกมา หนึ่งให้ เมื่อเปิดฝาบอกกลิ่นของสุราก็ทำให้หลี่เฉินเย่นข มวดคิ้ว”ไฉนสุราจึงมีกลิ่นเหม็นเช่นนี้”

“นี่มิใช่กลิ่นเหม็นเพคะ แต่เป็นกลิ่นของกำมะถันแดง เหล้ากำมะถันแดงไล่งได้ชะงัดนัก พวกเราดื่มลงไปสัก หน่อย เมื่อเริ่มเดินไปสักพักเหงื่อจะออก ในเหงื่อของเรา จะมีกลิ่นกำมะถันออกมาด้วย ทำให้งูที่ได้กลิ่นจะมิกล้าเข้า มาใกล้พวกเราอย่างไรเล่าเพคะ”ชูเซี่ยยิ้มขำ อธิบายให้เขา ฟัง
ดวงตาสีเทาเข้มของเข้ามองจ้องนางอย่างเงียบๆ ใน แววตามีความชื่นชมฉายชัดอยู่ในนั้น ก็จะเอ่ยปากชื่นชม นาง“เจ้าช่างรอบคอบเสียจริง!”

“พวกเราเดินทางมาเก็บสมุนไพรเพื่อช่วยเหลือคนก็จริง แต่ก็ต้องรู้จักช่วยเหลือตนเองก่อน จะทำอะไรก็ต้องนึกถึง ความปลอดภัยของตนเองด้วย ท่านก็ดื่มสักคำเถิด”ชูเซี่ย ยกไหสุราขึ้นดื่มก่อนคำหนึ่งไห นางยกปลายแขนเสื้อขึ้น มาซับปากเล็กน้อยก่อนจะส่งต่อให้เขา

หลี่เฉินเย่นรับไหเหล้ามาจากมือนาง ก่อนจะใช้แขนเสื้อ ของตนเช็ดตรงปาดขวดเพราะนึกรังเกียจ นางที่เห็นภาพ นั้นก็ได้แต่ส่ายหัวระอาเล็กน้อย มิได้เอ่ยอะไรออกมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ