หมอยาเสน่ห์หา

ตอนที่ 50 หนังสือการแพทย์



ตอนที่ 50 หนังสือการแพทย์

ตอนที่ 50 หนังสือการแพทย์

นางนั่งอยู่ที่อุทยาน ในหัวก็คิดถึงคำกล่าวที่ว่า ‘หากเจ้า อยากเป็นมือที่สาม ก็จงยอมรับความอัปยศที่มือที่สามสมควร ได้รับ

นางไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะว่านาง ตกหลุมรักหลี่เฉินเย่นเข้าแล้วจริงๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ใน ห้องของเขาก็เป็นเรื่องที่นางยอมรับและคาดหวังเช่นกัน

ชูเซี่ยกัดริมฝีปากของตนเองไว้แน่น ให้ตายนางก็ไม่ยอม ร้องไห้ออกมาเด็ดขาด แต่น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ก็จวนเจียนจะ ไหลออกมาอยู่รอมร่อ

“ท่านร้องไห้อยู่หรือ” มีเสียงดังขึ้นเหนือหัวนาง คนผู้นี้คือจูเก๋ อหมิง

นางรีบร้อนเช็ดหน้าเช็ดตาแต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น เสียงอู้อี้ ขึ้นจมูกเอ่ยขึ้น “ท่านใช้ตาข้างไหนมองว่าข้าร้องไห้ ฝุ่นเข้าตา ข้าต่างหากเล่า” นางพยายามใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลออก มาให้หมด ทว่ายิ่งเช็ดเท่าไหร่น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้นจูเก๋อหมิงทรุดนั่งลงข้างกายนาง ดวงตาคมจับจ้องนางสักพัก “ความจริงแล้วท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่ถึงเพียงนี้”

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!” ซูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตากลมโต สว่างวาบราวกับมีดวงไฟอยู่ในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ มีน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาทั้งสองข้ายิ่งทำให้มันเปล่งประกาย มากขึ้นกว่าเดิม “ข้ารู้สึกแย่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าต้องรู้สึกแย่กัน เล่า”

จูเก๋อหมิงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางผืนหนึ่ง ก่อนถอนหายใจออก มา “ทำไมต้องเฉไฉ ข้าไม่ใช่ไม่รู้เรื่องราวเสียหน่อย”

ชูเซี่ยผุดลุกขึ้นทันที นางตั้งใจจะผลักกายออกไป

จูเก๋อหมิงดึงแขนเสื้อของนางไว้ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ดู ท่านเถิด ปากบอกไม่ร้อง แต่น้ำตาไหลลงมาแล้ว!” เขาเอื้อม มือไปช่วยนางเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างอ่อนโยน

ชูเซี่ยตกใจเล็กน้อย ก่อนจะผงะถอยหลังมองหน้าเขาอย่าง ตระหนก “ท่าน….ท่านอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าที่นี่หนุ่มสาวเขาไม่ แตะเนื้อต้องตัวกันพร่ำเพรื่อ”

จูเก๋อหมิงหลุดยิ้มออกมา “ท่านจะไปไหนเล่า ข้าเพียงช่วย ท่านเช็ดน้ำตาก็เท่านั้น นับได้เสียที่ไหน” จู่ๆในหัวใจเขาก็รู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นนางร้องไห้ หัวใจของเขาสั่งให้ร่างกาย เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าหญิงสาวตรงหน้าเพื่อจะเช็ดน้ำตาให้

นาง

เมื่อซูเซี่ยลองตรองดูถี่ถ้วนแล้วก็หาได้มีอะไรผิดปกติไม่ เพียงแต่ว่าการกระทำเมื่อครู่ค่อนข้างจะสนิทเกินไปหน่อยกระ มั้ง แม้เขาจะไม่ได้คิดอะไรแต่นางก็อดคิดไม่ได้

“ข้าต้องกลับแล้ว ท่านหมอจูเก๋อก็ควรรีบกลับไปพักผ่อนได้ แล้ว” ทว่าเพียงแค่นางเริ่มก้าวขาก็รู้สึกเจ็บบริเวณบาดแผลที่ เท้าอย่างยิ่ง นางจึงยืนนิ่งก่อนจะก้มลงถกชายกระโปรงขึ้นเล็ก น้อยเพื่อดูบาดแผล บัดนี้แผลที่ขาของนางมีเลือดไหลทะลัก ออกมาแดงฉานไปหมด นางนิ่งอึ้ง นางไม่ได้กระทบกระเทือน บาดแผลเลยแม้แต่น้อย นางจำได้ว่านางไม่ได้เดินชนอะไรเลย ทั้งสิ้น

เมื่อจูเก๋อหมิงเห็นแผลของนางก็หน้ามุ่ย “เกิดอะไรขึ้น ยา ของท่านเล่า ก่อนหน้านี้ข้าก็เพิ่งใส่ยาให้ท่านไม่ใช่หรือ เหตุ ใดจึงไม่รู้จักระวังตัว บาดแผลของท่านเพิ่งจะแห้งดีไฉนยามนี้ เลือดไหลอีกแล้ว ท่านไปชนอะไรเข้าหรืออย่างไร”

ชูเซี่ยพยายามนึกย้อนกลับไป นางรู้สึกประหลาดใจอย่าง ยิ่ง นางไม่ได้ไปชนอะไรเข้าอย่างแน่นอน แล้วไฉนเลือดจึงได้ ไหลออกมามากมายเพียงนี้ นางสายศีรษะตอบตามจริง ข้าจึงไหลออกมา เมื่อครู่ยังไม่มีอะไรแท้ๆ ทว่าท่านก็ไม่จำเป็น ต้องเป็นห่วงไปหรอก ยามนี้มันอาจจะเจ็บแต่เดี๋ยวอีกสักครู่ก็ ไม่เจ็บเอง ปกติก็เป็นเช่นนี้”

จูเก๋อหมิงงุนงง “แผลลึกถึงเพียงนี้จะไม่รู้สึกได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ที่ข้าทำแผลให้ท่าน ท่านไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่นิดเดียว หรือ”

ชูเซี่ยไม่คิดจะโกหกเขาอีก จึงตอบไปตามตรง “ไม่รู้สึกอะไร

เลย”

จูเก๋อหมิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ไปเถิด ข้าจะห้าม

เลือดให้ท่าน”

ชูเซี่ยส่ายหน้า ไม่เป็นอะไร ข้าจัดการเองได้!” กล่าวจบนาง ก็หันกายกลับเรือนหรูอี้

จูเก๋อหมิงรั้งนางไว้ก่อนเอ่ยเสียงไม่พอใจ “ร่างกายตนเอง ท่านยังไม่รู้จักรักและถนอมตนเองหรือว่าเจ้าถูกอารมณ์หึง หวงครอบงำจนกลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว”

ซูเซี่ยนิ่งงัน นางเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ยมา ใบหน้าของนาง หม่นเศร้าลงอีกครั้งก่อนกล่าวออกมาเสียงเยือกเย็น ท่านไม่ คิดว่าตนเองแสไม่เข้าเรื่องหรือ ข้าจะอยู่หรือตายก็หาได้เกี่ยวกับท่านไม่” เมื่อกล่าวจบนางก็รู้สึกว่าตนเองพูดจา ร้ายกาจออกไปเสียแล้ว เขาดีกับนาง ทว่าเพียงแค่นางได้ยิน คำว่าหึงหวงก็โกรธจนหน้ามืด นางสู้อุตส่าห์ระงับอารมณ์ของ ตนเองได้แต่กลับถูกพูดจี้ปมขึ้นมาอีก

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่สมควรที่จะใส่อารมณ์กับผู้อื่น แต่เล็กจนโตนางไม่เคยได้รับการปลูกฝังว่าควรทำนิสัยเช่นนี้ ต่อผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่หวังดีต่อนางจากใจจริง ดัง นั้นเมื่อนางเห็นว่าสีหน้าของจูเก๋อหมิงเปลี่ยนไปจึงเอ่ยอุบอิบ “ขออภัย ข้าไม่ควรอารมณ์เสียใส่ท่านเลย

จูเก่อหมิงนึกว่าเป็นนิสัยเดิมของหลิวหยิงหลงที่มักจะใส่ อารมณ์ต่อผู้คนอยู่เสมอแต่เมื่อนางเอ่ยคำขอโทษออกมาก็ ทำให้เขาไม่ทราบว่าจะจัดการความรู้สึกของตนเองเช่นไรดี เขาจ้องมองนางนิ่งๆก่อนเอ่ยเบาๆ เช่นนั้น ข้าสามารถทำแผล ให้ท่านได้แล้วใช่หรือไม่

ซูเซี่ยยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “ตามสบาย!”

จูเก๋อหมิงพยุงนางกลับมายังที่พักอาศัยของตนเอง เขามัก จะพำนักอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเสมอหลี่เฉินเย่นจึงสร้างลานตาก สมุนไพรที่สะอาดและกว้างขวางให้แก่เขา เขาชื่นชอบมันมาก จนแทบไม่ยอมกลับบ้านของตนเองเลยด้วยซ้ำ
ยามที่ทำความสะอาดบาดแผลชูเชี่ยรู้สึกปวดมากเสียจน เหงื่อกาฬไหลอาบไปทั้งร่าง นางกัดฟันเพื่ออดทนต่อความ เจ็บปวดร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ นับตั้งแต่ มายังยุคโบราณแห่งนี้ นางก็ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับความ เจ็บปวดมากขนาดนี้มาก่อน ความเจ็บในครั้งนี้ทำให้ชูเซี่ย เข้าใจดีถึงสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวกันว่าเป็นความเจ็บที่ลึกถึงกระดูก เป็นอย่างไร

เมื่อการทำแผลสิ้นสุดชูเชี่ยก็เอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วเบา

จูเก่อหมิงต้มน้ำชาไว้กาหนึ่ง หากยังไม่อยากกลับไปก็ สามารถมานั่งเล่นที่นี่ได้ ท่านอยากพูดอะไรก็ย่อมได้ ข้าเป็นผู้ ฟังที่ดีเสมอ หากไม่มีคำใดจะเอ่ยจะมานั่งอ่านตำราก็ย่อมได้

“ตำราหรือ” ชูเซี่ยรักการอ่านตำรามากที่สุด แต่เมื่อมองไป รอบๆห้องนางก็ไม่แม้แต่จะเห็นตำราสักเล่ม

จูเก๋อหมิงลุกขึ้นจากนั้นก็เดินไปหลังฉากกั้นลมมือของเขา เอื้อมไปดึงฉากกั้นขึ้นก่อนชั้นวางตำราขนาดใหญ่จะปรากฏ สายตาของนาง ในชั้นมีตำรามากอาจจะถึงหนึ่งพันเล่มก็เป็น

ได้

ใบหน้าของชูเซี่ยฉายแววยินดี นางรีบร้อนลุกขึ้นก่อนจะเดินกะเผลกๆเข้าไป “สวรรค์ ส่วนใหญ่เป็นตำราแพทย์ทั้งนั้น เลย!” ชูเซี่ยดีใจจนระงับไม่อยู่ นางเอื้อมมือไปหยิบตำราออก มาจากชั้นหนึ่งเล่มก่อนจะรีบเดินกะเผลกกลับไปเก้าอี้เพื่อ ดื่มกับตำราที่นางเพิ่งเคยอ่านเป็นหนแรก

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะอย่างระอา ที่แท้คำปลอบโยนที่ดีที่สุด สำหรับนางไม่ใช่คำพูดแต่เป็นตำรา

เดิมที่เขานึกว่าจะได้ยินคำพูดที่นางจะเผลอหลุดเอ่ยออก มาเกี่ยวกับร่างจริงของนาง ความจริงแล้วเขาและหลี่เฉินเย่น ต่างก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าหญิงสาวนางนี้ไม่ใช่หลิวหยิงหลง ทว่า นางไม่ใช่หลิวหยิงหลงแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้ นางมาจากที่ใด แล้วไฉนจึงมาสวมร่างของหลิวหยิงหลงที่อาศัยอยู่ในจวนอ๋อง ตลอดเวลาได้

เรื่องนี้เป็นปริศนาที่เขาจำเป็นต้องแก้ และต้องใช้เวลาในการ ขบคิดเพื่อค้นหาคำตอบ

แต่ทว่าหญิงสาวตรงหน้าควรค่าแก่การให้พวกเขาใช้ใจใน การค่อยๆคันหาคำตอบของมันไม่ใช่หรือ

เขาเห็นว่าชูเซี่ยเปลี่ยนหน้ากระดาษอย่างรวดเร็วยิ่งนัก นาง อ่านจบไปอีกเล่มแล้วก็อีกเล่มจนเขาต้องเอ่ยถามด้วยความ สงสัย “ผ่านไปเพียงไม่นานก็อ่านได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ ท่านมั่นใจว่าอ่านหมดนี้แน่แล้วหรือ หรือว่าตำราพวกนี้ไม่ น่าสนใจสำหรับท่านกันเล่า”

ใบหน้ามองเศร้าที่ฉายบนใบหน้าของชูเซี่ยบัดนี้หายไปจนสิ้น นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ไม่เลยเจ้าค่ะ น่าสนใจมาก ยามนี้ ข้าเชื่อแล้วว่าแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ที่ลึกล้ำยิ่งนัก เสียดาย ที่รุ่นต่อมาการเข้ามาของการแพทย์ตะวันตกเสียก่อนทำให้ คุณค่าของแพทย์แผนจีนลดน้อยลง ทำให้เราต้องสูญเสีย ศาสตร์ที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไปมากมากยิ่งนัก น่าเสียดาย น่า เสียดายยิ่งนัก!”

“รุ่นต่อมา? การแพทย์ตะวันตกงั้นหรือ ” จูเก๋อหมิงจ้องใบหน้า นางด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ชูเซียเงียบไป ครานี้นางหลุดพูดสิ่งที่ไม่สมควรเสียแล้วทั้งยัง ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดีเสียด้วย จึงทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องหนี “ข้ายุ่งอยู่ หากท่านมีเรื่องที่ต้องทำก็ไปทำเถิด หากไม่มีก็นั่ง อ่านหนังสือของท่านไป”

เมื่อนางเอ่ยมาเช่นนี้เขาก็ไม่กล้าเช้าซิ้นางอีก

จูเก๋อหมิงดูเหมือนสับสนเล็กน้อย เขาค่อยๆถอยกายไปยัง ชั้นตำราก่อนจะเลือกหยิบออกมาเล่มหนึ่ง ทว่าดูเหมือนความ

น่านใจของตำราจะน้อยกว่าหญิงสาวร่วมห้องของเขานัก ดวงตาคมของชายหนุ่มจึงเลื่อนมาหยุดอยู่ที่นางแทนที่จะ เป็นตำราของตน เขาลอบมองนางอย่างเพลิดเพลิน บางครา ใบหน้างามก็ฉายแววประหลาดใจ บางคราก็ทำสีหน้าครุ่นคิด บางคราก็ทำหน้าไม่เชื่อ แต่ทุกๆอย่างของนางเขากลับตั้งใจ มองและจดจำรายละเอียดไว้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ

ทางด้านเรือนเฟิงหลิง สติของหลี่เฉินเย่นยังคงไม่อยู่กับเนื้อ กับตัว

ยามที่ชูเซี่ยบุกเข้ามายังเรือนเฟิงหลิงเขาทั้งรู้สึกโมโหและ อับอาย เนื่องด้วยการที่เขามาที่นี่เป็นเพียงเรื่องเหนือความ คาดหมายเท่านั้น วันนี้หลังจากที่เขาได้สัมผัสชูเซี่ยในชั่ว ระยะเวลาอันสั้น ก็มีคนจากเรือนหลิงเฟิงมาแจ้งข่าวต่อเขาว่า ร่างกายของหลิวมี่เหอไม่ค่อยจะสบายนัก หมอหลวงกล่าวว่า นางเป็นเช่นนี้เพราะห่วงและวิตกกังวลมากเกินไป เขารู้ดีว่า หลิวมีเหอเป็นห่วงเขา ทำให้เขานึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้าง เฉยเมยต่อนางอีกทั้งชูเชี่ยยังนำรถเข็นมาให้เขา เขารู้สึกว่า มันสะดวกสบายดีจึงลองใช้มันเดินทางมาที่นี่

เขามาเยี่ยมดูอาการของหลิวมีเหอ สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่หลิว มีเหอที่มีใบหน้าเศร้าหมองแต่กลับเป็นหลิวมีเหอที่สวมชุด กระโปรงเนื้อบางแลดูเย้ายวนใจอย่างยิ่ง หลังจากนั้นทุกอย่าง ก็เป็นอย่างที่มันควรเป็นกอปรกับความรู้สึกที่คั่งค้างต่อชูเชี่ย ทำให้ท้ายที่ทุกทั้งสองก็ตกลงปลงใจกันที่เตียงบรรทม

ดังนั้นเมื่อชูเซี่ยมาพบเข้า ชายหนุ่มถึงทั้งโกรธและอับอาย อย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปดี ยิ่งเห็นท่าที่ผิดหวังโศกเศร้าของ ชูเซี่ยมือไม้เขาก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง จิตใต้สำนึกตะโกนบอกเขา ว่าเขาได้ทำผิดพลาดไปเสียแล้ว

ทว่าเขารับรู้อยู่แก่ใจดีว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิดเลยสักนิด หลิวมีเหอเป็นสนมของเขา เขาและนางอยู่ด้วยกันมีเรื่องใด แปลกกันเล่า

แม้จะคิดเช่นนี้ทว่าความรู้สึกในใจก็ไม่ยอมสงบอยู่ดี

หลิวมีเหอเอนกายนอนซบลงตรงอกเขา ก่อนจะเอ่ย “พี่สาว ของกินไหนสัมเข้าเสียแล้วล่ะเจ้าค่ะ!” นางย่อมรู้ดีว่าชูเชี่ย ต้องบุกมาหานางที่นี่แน่ วันนี้นางตบตีเสี่ยวจี้ไป ชูเชี่ย่อมไม่ อาจอยู่เฉยมาหาเรื่องนางถึงเรือนเฟิงหลิงเป็นแน่ ดังนั้นนาง จึงสร้างละครฉากนี้ขึ้นมาเพื่อให้นางดูให้ดำตา

หลี่เฉินเย่นจ้องมองใบหน้าของหลิวมีเหอ หญิงสาวมีสีหน้า โศกเศร้าชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกเอ็นดูสงสาร เขาได้แต่ถอน หายใจออกมา เขาทำให้ชูเซี่ยเสียใจแล้ว ไม่อาจทำให้ด้านนี้ เสียใจอีก ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำปลอบโยนนางหลายคำ แต่ก็ไม่ ได้เป็นเช่นที่นางคิด เขาไม่ได้ดุด่าชูเชี่ยให้หลิวมี่เหอฟังแม้แต่น้อย

หลิวมีเหอไม่ได้รู้สึกดีกับประโยคปลอบประโลมของหลี่ เฉินเย่นแม้แต่น้อย นางรับรู้เพียงว่าหัวใจของนางกำลังอึดอัด คำปลอบโยนที่ดีที่สุดของนางในยามนี้ก็คือการที่เขาดุด่าสตรี ผู้นั้นให้นางฟังต่างหากเล่า ดูท่าว่าตำแหน่งของสตรีผู้นั้นในใจ ของหลี่เฉินเย่นคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ยามจื่อซูเซี่ยจึงกลับมายังเรือนหรูอี้พร้อมตำรากองใหญ่ เสี่ยวจีและมามาเป็นห่วงจนแทบสิ้นสติอยู่แล้ว อยากจะสั่งการ ให้คนไปสืบข่าวทว่าทางเรือนเฟิงหลิงก็ไม่มีข่าวคราวอันใด แว่วออกมาเลย ทราบเพียงแค่พระชายาเคยไปที่นั่นแหละพบ ว่าท่านอ๋องนอนค้างอ้างแรมที่นั่นก็วิ่งเตลิดออกไปที่ใดก็ไม่มีผู้ ใดทราบแน่ชัด

มามาและเสี่ยวจีทราบว่าท่านอ๋องนอนค้างที่เรือนเฟิงหลิงก็ เป็นห่วงจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี กลัวเหลือเกินว่าพระชายาและ ท่านอ๋องจะมีปากเสียงกัน บัดนี้เห็นว่านางปลอดภัยกลับมาก็ รีบร้อนเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง พระชายา ท่านอ๋อง ไม่ได้สั่งลงโทษท่านใช่หรือไม่

ชูเซี่ยคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เรือนเฟิงหลิงอีกครั้งก่อน

ใบหน้าจะพลันเศร้าสร้อยขึ้นมาอีกครั้ง นางเอ่ยเสียงเบาอย่าง

อ่อนแรง ไม่ได้ถูกลงโทษหรอก มามา ท่านไปเตรียมยามาให้ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเวทนาเหลือเกิน”

มามารับรู้ได้ว่านางมีอาการผิดปกติจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านอ๋องไม่ลงโทษพระชายา เช่นนั้นโหร่วเฟยว่ากล่าวอันใด ท่านหรือไม่”

ชูเซี่ยนำตำราเจ็ดแปดเล่มวางไว้บนโต๊ะก่อนจะย้ายเก้าอี้มา ตัวหนึ่ง พร้อมหาเบาะรองนั่งมาวาง ก่อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย “ไม่ได้กล่าวอันใด พวกเจ้าออกไปเถิด อย่านอนดึกนักเล่า ข้า อ่านตำราสักครู่ก็จะเข้านอนเช่นกัน”

มามาและเสี่ยวจี้สบตากันครั้นเห็นว่าพระชายาของพวกตน ไม่ยอมเอ่ยออกมาก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงมีเรื่องอะไรสัก อย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรพระชายาของพวกนางไม่ ชอบการอ่านตำราเลยสักนิด ยามนี้กลับหอบหิ้วตำรากองโตก ลับมาเพื่อนอ่าน นึกดูแล้วเรื่องนี้ผิดปกติมากจริง

ทั้งสองคนเพียงเอ่ยคำพูดสองสามคำจากนั้นก็ถอยกายออก

ไป

ในใจของซูเซียคอยย้ำเตือนไม่ให้ตนเองคิดถึงฉากฉากนั้น สำหรับนางแล้วเรื่องพวกนั้นไม่ได้มีความน่าสนใจเท่าตำรา แพทย์ที่นางนำกลับมาอ่านเลยสักนิด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ