หมอยาเสน่ห์หา

ตอนที่ 48 ความรักที่ลึกซึ้ง



ตอนที่ 48 ความรักที่ลึกซึ้ง

ตอนที่ 48 ความรักที่ลึกซึ้ง

เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าจวนอ๋อง จางสิ่งก็อาสานำรถเข็น ลงมาให้ก่อนจะเอ่ยถาม “ให้ข้าช่วยส่งเข้าไปหรือไม่”

ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าให้บ่าวมาคนเข้าไปเอง ครั้งนี้ต้องขอบคุณ เจ้ามากนะ” ชูเซี่ยกล่าวพลางเอื้อมมือไปจับมือของจางสิ่งไว้ นางรู้สึกขอบคุณเขามากจริงๆ

จางสิ่งหลุดยิ้มออกมา “เอาล่ะ ตลอดทางที่เดินทางมานี่เจ้าก็ ขอบคุณข้านับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่ใช่หรือ”

ชูเซี่ยจ้องมองเขาอย่างชื่นชม ตราบใดที่เจ้ายังไม่ยอมคิด เงินกับข้า ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เอาเช่นนี้แล้วกันครั้งหน้า ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทน ดีหรือไม่”

จางสิ่งยังคงยิ้ม “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านเก่าเราหรือไร หากข้าออกไปกับเจ้าสองคน ชาวบ้านต้องครหานินทาพวกข้า

แน่”

ชูเซี่ยก็ยิ้มขำก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหัวเสีย “คนโบราณ ไม่ดี

ก็ตรงนี้นี่ล่ะ”
มามาที่ยืนอยู่ข้างกายชูเชี่ยมาตลอดได้ยินบทสนทนาของคน ทั้งคู่ก็รู้สึกสับสนงงงวย คำหนึ่งก็บ้านเก่า อีกคำก็คนโบราณ นางไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูดได้เลยจริงๆ แต่ทว่าช่วงนี้ พระชายาก็มักจะพูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่บ้าง คำบางคำ ของแปลกเสียจนนางไม่อาจเข้าใจ ดังนั้นนางจึงไม่คิดเก็บบท สนทนาครานี้ของทั้งคู่มาคิดต่อให้มากความ

เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว ชูเซี่ยก็หมุนกายกลับมา จ้องหน้ามามาก่อนอดไม่ได้ที่จะยกสองมือขึ้นไปรวบกอดมา มาไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง “มามา ข้าดีใจยิ่งนัก!

มามานิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูสุดหัวใจ พระ ชายาที่โง่งมของข้า มีเรื่องอะไรให้น่ายินดีกันเล่า ก็แค่รถเข็น ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ บางที่ท่านอ๋องอาจจะไม่ยอมใช้มันก็ได้นะ เพคะ

ชูเซี่ยยิ้มยิงฟัน ท่านไม่เข้าใจ ที่ข้าดีใจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อง ของรถเข็นคันนี้ แต่เป็นเพราะเข้าได้เจอคนที่อยากเจอมา ตลอดต่างหาก..

ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบดังมาจากทางหน้าประตูจวน “สิม เจอผู้ใดมาหรือถึงมีความสุขปานนี้ บอกให้ข้าทราบหน่อยเถิด
ชูเชียตกใจตัวแข็งที่อ สวรรค์ นางประมาทเกินไปแล้ว นาง ลืมเสียสนิทว่าควรจะให้รถม้าไปส่งยังประตูหลังจวนอ้องถึงจะ

ถูก

ชูเซี่ยค่อยๆพันกายกลับไปช้าๆ ใบหน้าของนางฉีกยิ้มประ จบหลี่เฉินเป็นที่ยามนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูจวนอย่าง เต็มที่ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นยังคงราบเรียบไม่ได้แสดงท่าที อันใดออกมา ดวงตาเย็นเยียบจ้องมองนางนิ่งก่อนจะเอ่ยเสียง เรียบ พระชายายังออกมาได้ใฉนข้าจะออก งไม่ได้เล่า”

ชูเชียฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาโกรธนาง นางมอง ไปยังจูเก๋อหมิงที่ยืนอยู่เบื้องหลังของหลี่เฉินเช่นก็รับเอ่ย แก้ตัว ท่านหมอเทวดาจูเก๋ออนุญาตให้ข้าเดินได้เพื่อที่แผล จะได้สมานตัวได้เร็วข้าเพียงแค่ทำตามแนะนำของท่านหมอก็ เท่านั้น”

จูเก่อหมิงรีบเอ่ยค้าน ข้าน้อยบอกให้พระชาชาเดินไปมา ได้ในจวน ไม่ได้บอกให้พระชายาไปเดินเล่นถึงนอกจวนเสีย หน่อย

ซูเซียก็ทำที่เป็นโง่งม “อ้า ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านก็ไม่บอก กับข้าให้ชัดเจน ท่านให้ข้าเดินไปไหนมาไหนได้ช้าก็นิกว่านั่น รวมถึงการออกไปเดินเล่นนอกจวนได้ด้วย”
หลี่เฉินเป็นชะงักก่อนจะเอยสั่งปาวรับใช้เสียงเย็น “พาข้า

กลับเรือน

ปาวรับใช้ก็ช่วยกันแบกเก้าอี้หลี่เฉินเย็นกลับเรือน ชูเชีย จึงรีบร้อนวิ่งตามไปทันทีก่อนจะหันหลังกลับมาเฮยกับมามา “มามา สั่งคนให้ยกของไปที่เรือนท่านอ๋อง” กลาวจบก็รีบร้อน วิ่งตามหลังหลี่เฉินเย่นไปติดๆ

เมื่อกลับมาถึงเรือนส่วนตัวหลี่เฉินเย่นก็มองค้อนนาง “เจ้า ตามมาทำไมกัน ข้าเห็นหน้าเจ้าก็รู้สึกรำคาญแล้ว”

ชูเซี่ยเดินไปนั่งตรงหน้าเขาก่อนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ขออภัย ข้าไม่ควรหนีออกไปนอกจวนเยี่ยงนี้”

เดิมหลี่เฉินเย่นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งที่นางทำเช่นนี้ แต่ ทว่าเมื่อนางรู้สำนึกและยอมขอโทษเขาแต่โดยดีอารมณ์ที่คุก รุ่นก็ค่อยๆคลายตัวลงอย่างช้าๆ แต่เขาก็ยังคงแสร้งปั้นสีหน้า ต่อไป เจ้าไม่ได้ทำอันใดผิดต่อข้าเสียหน่อย ร่างกายก็เป็น ของเจ้า เจ้าตายไปก็หาเกี่ยวข้องอันใดกับข้าไม่

บ่าวรับใช้แบกเก้ามาถึงห้องบรรทม เห็นว่าบรรยากาศ ระหว่างทั้งคู่อิมครีมจึงไม่กล้ารั้งรออยู่นานรีบร้อนออกจาก ห้องไปอย่างรวดเร็วทั้งยังปิดประตูเสียดิบดี
ภายในห้องยามนี้เหลือเพียงชูเซียและหลี่เฉินเย่นเท่านั้น

ซูเซียได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยก็รู้ว่าเขายังคงโมโหนางอยู่ จึงเอ่ย เสียงออดอ้อน “อย่าโกรธข้าอีกเลย ข้าไม่ใช่หนีออกจากจวน เพื่อไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย ข้าเพียงอยากทำรถเข็นให้ท่าน ต่างหากเล่า มันเหมาะกับการเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนใน จวนแห่งนี้ได้ดีเลยทีเดียว ท่านดูสิ ข้านำรถเข็นกลับมาให้ท่าน ด้วยนะเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นเบือนสายตาไปมองรถเข็นอย่างพิจารณา อย่างไรเสียผู้ชายก็มักจะสนใจสิ่งแปลกใหม่รอบกายอยู่แล้ว ยามนี้ชายหนุ่มลืมอาการขุ่นมัวไปเสียสั้นก่อนจะเอ่ยถามนาง อย่างสนอกสนใจ “รถเข็นหรือ ใช้การอย่างไร”

ชูเซียยิ้มอย่างพอใจ นางลุกขึ้นเดินไปนั่งที่รถเข็นก่อนจะ วางขาไว้ที่วางเท้าจากนั้นก็หมุนล้อที่อยู่ด้านข้างทำให้รถเข็น เคลื่อนไหวไปหน้าหลัง เพราะล้อถูกทำมาอย่างดีทำให้การ เคลื่อนที่เป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด นางนึกได้ว่าบิดาของ เสี่ยวฉิงได้กล่าวไว้ว่ารถเข็นคันนี้สามารถตั้งยืนได้นางจึงเอื้อม มือคลำด้านข้างรถเข็นไปมาจนเจอเข้ากับแท่งเหล็กที่มีแบ่ง ออกเป็นแผงเล็กๆ นางลองโยกมันขึ้นมาอย่างเบามือรถเข็นก็ ค่อยๆตั้งตรงขึ้นทว่าก็ไม่สามารถตั้งตรงขึ้นได้สูงนัก นางอยาก โยกให้มันสูงขึ้นอีกนิดก็ไม่สามารถทำได้แล้ว
ชูเชียลุกชั้นจากเก้าอี้สำรวจแผงและคืนโยกต้านช้างก่อนจะ พบว่าขดลวดเหล็กทำได้ไม่ดีนัก การออกแบบรถเซ็นคันนี้ยัง ไม่สมบูรณ์ดี ต่อให้มันตั้งตรงได้สุดก็ไม่ได้รับประกันว่าจะไม่ ทำให้ผู้นั่งมันหงายหลังรถเซ็นตันนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก นางจึงสายศีรษะเบาๆ ไม่ได้ ข้ายังต้องปรับปรุงมันอีกหน่อย จึงจะใช้ได้

หลี่เฉินเช่นเห็นว่ารถเข็นคันนี้ทำงานของมีนได้ดีก็รู้สึกชื่น ขอบอย่างยิ่ง พยุงข้าไปนั่งหม่อย ข้าอยากลองบ้าง”

ูเชี่ยสายหน้า อย่าเพิ่งเลยเจ้าค่ะ ให้ข้าปรัมปรุงมันอีกสัก หน่อยก่อน

ไม่จำเป็น ข้าอยากลองนั่งดูหลี่เฉินเป็นเห็นว่ารอเป็นต้นนี้ สามารถเคลื่อนไหวเองได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องให้ม่าวร็มใช้ มาคอยช่วยเหลืออีกต่อไปก็ยินดีเสียจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาที่ไหนจะยอมรออีกเล่า

ชูเซียยอมจำนนแต่โดยดี นางใช้สองมือของตนต่อยๆพยุง ร่างของเขาขึ้น เดิมที่ตัวนางก็ไม่ได้เดี้ยแต่ทว่าเมื่อเทียมกัน ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาแล้วนางก็ดูตัวเล็กบอบบางไปนัด ตา นางใช้มือโอบรอบเอวไว้และใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการ พยุงเขาไปนั่งที่รถเข็น
เขานั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีซูเซียคอยสอนวิธีการบังคับรถเข็น เริ่มแรกเขาก็เคลื่อนไหวมันอย่างเก้ๆกังๆทว่าเพียงไม่นานเขา ก็สามารถเคลื่อนมันไปได้รอบห้องอย่างคล่องแคล่ว

ซูเชี่ยลอบมองใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของเขาก็รู้สึกมีความ สุขยิ่งนัก นางจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้มองจ้องเขานิ่งๆ

เมื่อหลี่เฉินเย่นหันมาพบกับสายตาของซูเซี่ยที่มองหยุดที่ เขาด้วยแววตาอ่อนโยนใจก็กระตุกวูบ กระแสความอบอุ่นวิ่ง ไหลผ่านเข้าสู่หัวใจของเขาจนอัดแน่นเต็มหัวใจ เขากวักมือ เรียกนาง มานี่!”

ชูเซียเชื่อฟังคำสั่งของเขา นางเดินมายังข้างกายของของ เขาทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเขาก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือ นางก่อนจะออกแรงดึกเพียงเล็กน้อยร่างทั้งร่างของนางก็เกย อยู่บนตักของเขาเสียแล้ว ใบหน้าของนางแดงกำตัวยความ เป็นอาย พยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ติดที่มือทั้งสองข้างของเขา รวบเอวบางไว้แน่น เขากดเสียงต่ำลง อย่าขยับกายส่งเลช

ชูเชียเงยหน้ามองเขาทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้ชิดจนแทบ จะใช้ลมหายใจร่วมกันได้ริมฝีปากของเขาเกือบจะสัมผัสโดน จมูกรั้นของนาง ชูเซียพยายามจะกระถดกายออกเพื่อให้เว้น ระยะทางระหว่างทั้งคู่บ้าง นางมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของ เขาแทบจะละลายไปกับสายตาร้อนแรงที่เขามองตรงมาที่นาง หัวใจของนางเต้นแรงและเร็วเสียจนแทบจะ

โผบินออกมาจากอก

1.

“ท่าน…เอ่อ เดี๋ยวจะมีผู้อื่นเข้ามาเห็นเข้านะเจ้าคะ” ชูเซียเส มองไปทางอื่นไม่กล้าสบสายตาเร่าร้อนแผั่งความปรารถนา ของเขาที่มองมา หากนางยังมองเขาต่อไปนางต้องห้ามใจไม่ ได้ที่จะจุมพิตเขาอย่างแน่นอน

ทว่านางกลับไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำอันใดออกมาอีกเพราะ เสียงของนางกลับถูกริมฝีปากของเขาประทับลงมาปิดกั้นเสียง ของนางเสียก่อน จุมพิตของเขาให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลและน่า หลงไหลก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนเมื่อเขา ค่อยๆแทรกลิ้นร้อนๆเข้ามาในปากของนางก่อนที่สิ้นของทั้งคู่ จะกระหวัดเกี่ยวพันกันอย่างเร่าร้อน

สัมผัสแนบชิดของทั้งคู่ยังดำเนินต่อไปพร้อมกับที่ฝ่ามือหนา ซุกซนของเขาเริ่มขยับมาลูบไล้อยู่ที่แผ่นหลังบอบบางของ นางยามนี้ทรวงอกของนางและเขาแนบชิดกันจนแทบไม่มีที่ ว่างระหว่างพวกเขาอีก

บานหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้อยู่ทำให้แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่อง ผ่านเข้ามากระทบร่างของทั้งคู่ทำให้เป็นภาพที่ดูสวยงามและ อ่อนหวาน
ฝ่ามืออีกข้างของเขาค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆจนสัมผัสเข้ากับ ทรวงอกของนางแผ่วเบา เขาค่อยๆกลมกุมอย่างอ่อนโยนม ทว่าเร่าร้อน ใบหน้าของซูเซี่ยเขินอายจนแทบระเบิดออกมา ขณะที่หัวของนางรู้สึกขาวโพลนไปหมด ใบทูน้อยๆของเขา ได้ยินเพียงเสียงหอบกระชั้นของเขาเท่านั้น หญิงสาวรู้สึกตื่น ตระหนกมากขึ้นเมื่อนางรับรู้สึกความตื่นตัวของชายหนุ่มที่นาง นั่งทับร่างของเขาอยู่ ความเปลี่ยนแปลงของเขายิ่งทำให้นาง ประหม่าและสับสนไปหมด นางทำได้เพียงยอมคล้อยตามการ ชักจูงของเขาอย่างไร้การต่อต้านเพียงเท่านั้น

แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ชักนำนางไปที่ใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มเพียงแค่ ยอมปล่อยมือของตนออกและเพ่งมองใบหน้าขั้นสีของซูเซี่ยอ ยู่เช่นนั้น เด็กโง่เจ้าตัวสั่นกลัวข้าหรือ

โซเชียลไม่ทราบว่าตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวจริงอย่างที่ เขากล่าวหาหรือไม่ นางเพียงแค่นางสั่นสะท้านเล็กน้อยกว่า นั่นก็ไม่ได้มาจากความหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางสิ้มจิตเจื่อน “ข้าไม่ได้กลัวข้าเพียง . เพียงแต่อะไรนางก็ไม่รู้ มางทีอาจ จะเป็นปฏิกิริยาตอบรับของหญิงสาวทั่วไปกระฆัง

“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไรกันแน่” เขาก็เปลี่ยนเรื่อง เสียอย่างนั้น ทว่าใบหน้ากลับฉายแววอ่อนโยนเช่นเดิม

ซูเซี่ยตะลึงงั้น ในหัวของนางส่งเสียงกรีดร้อง นางรีบชั้นมองไอของ คนเองเมไอ “ท่านเอื่อง พูดเด่นอะไรกันเจ้าคะ ข้าก็

หลี่เปินเย็นผองrนึ่งก่อนหรอuม ข้านีกว่าเจ้าเจอเรื่อง เมื่อครูทำให้สติเลื่อนลอยไปเสียแล้ว เกรงว่าแม่แต่ชื่อแช่ของ ตนเองก็ลืมไปแล้วเสียอีก ฮาฮ่า ข้าหยอกเจ้าเล่นหรอกนะ แม่ นางน้อยที่โง่งม”

ซูเซียมองใบหน้าเขาอย่างกระวนกระวาย นางไม่แน่ใจว่าคำ พูดที่เขาเอ่ยออกมานั้นหยอกนางเสนหรือพูดจริงกันแน่ แต่ไม่ ว่าเขาจะพูดจริงหรือพูดเสนนั้นก็ทำให้นางรู้สึกราวกับมีชะงัก ติดหลังอยู่ดี ภาพปีศาจที่ถูกตรึงไว้ที่เสาไม้พร้อมถูกไฟจุดเผา ให้ตายทั้งเป็นลอยขึ้นมาในหัวของนางทันที และปีศาจตนนาง ก็เป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย นางยิมขึ้น ท่านอ้องอย่าหยอก ข้าเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ทำเอาข้าใจหายนีกว่าท่านความจำเสื่อม เสียแล้ว ข้าเกือบจะไปเรียกหมอหลวงมาแล้วรู้ตัวหรือไม่เจ้า คะ”

“ได้ ข้าจะไม่แกล้งเจ้าอีกแล้ว ดูเถิดตกใจเสียจนใบหน้าซีด เผือดไปหมดแล้ว ” ชายหนุ่มเงียบไปก่อนจะต่อยๆยิ้มออกมา อีกครั้ง “ข้าขอสินค้าที่พูดเมื่อครูทั้งหมดรวมถึงที่ว่าเจ้าเป็นแม่ นางน้อยที่โง่งมนั่นด้วย ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าไม่ใช่แม่นาง น้อยอีกแล้ว” เมื่อกล่าวจบ หลี่เฉินเป็นก็จงใจใช้สายตาเร่าร้อน แฝงไปด้วยเสน่ห์มองร่างกายนางอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมกับยิ้ม
ซูเลียหวนคิดถึงความแนบชิดของนางและเขาเมื่อครูใบหน้า ก็เห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงจนแทบกระดอนออกมา นางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “หากท่านพูดจาไร้สาระอีกข้าจะไม่ มาเยี่ยมท่านอีกแล้วนะเจ้าคะ

หลี่เฉินเย่นเลื่อนรถเข็นมาใกล้นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ยามนี้ ต่อให้เจ้าไม่มาเยี่ยมข้า ข้าก็ไปหาเจ้าเองได้แล้ว”

ชูเชื่อมองค้อนเขาอย่างหมั่นไส้ “ข้าจะลงกลอนประตูไม่ให้ ท่านเข้า

หลี่เฉินเย่นขยับรถเข็นมาหยุดอยู่ตรงหน้านางก่อนจะเอื้อม มือมากุมมือของนางไว้ฉุดให้นางนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยจริงจัง เอาเถิด ไม่แกล้งเจ้าแล้ว อย่างไรเสียข้าก็ ต้องกล่าวขอบคุณเจ้า

ชูเซียแสร้งเบิกตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านก็ ขอบคุณผู้อื่นเป็นด้วยหรือ เห็นพระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวัน ตกแน่นอนกระมัง

หลี่เฉินเย่นจ้องมองนางอย่างอ่อนโยน ข้าหาใช่พวกทิฐิสูง เสียหน่อย จริงสิ เจ้ายังจำยามที่พวกข้าอยู่บนหุบเขาเทียน หลวงได้หรือไม่ ที่เจ้าเล่าเรื่องผีให้ข้าฟัง เป็นหวางเกิดลืมไป เสียแล้วว่าหญิงสาวผู้นั้นมีนามว่าอะไร เจ้าจำได้หรือไม่”

ซูเซี่ยมองเขาอย่างไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกัน

แน่

หลี่เฉินเย่นนั่งหลังตรงเอียงคอมองนาง “เจ้าก็จำไม่ได้หรือ ที่แท้เรื่องทั้งหมดเจ้าก็แต่งขึ้นใช่หรือไม่ ยังกล้าพูดอีกว่าเป็น เรื่องที่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว หลอกลวง!”

ชูเซี่ยเลียนแบบท่าทางของเขานางนั่งหลังตรงก่อนเอียง คอมองเขาเช่นกัน “ผู้ใดว่าข้าจำไม่ได้กัน หญิงสาวผู้นั้นมีนาม ว่าชูเซี่ย” แม้ว่าในใจนางจะรู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกไปก็เถิด แต่ นางก็ยอมบอกเขาแต่โดยดี

“ชูเซี่ย ชูเซี่ย..” เขาพิมพาท่องชื่อนางแผ่วเบาทั้งยังสายตา คมกล้านั่นจ้องมองนาง หัวใจของนางรู้สึกอุ่นวาบ ที่แท้ชื่อของ นางที่ออกมาจากปากของเขาช่างน่าฟังถึงเพียงนี้เชียว

หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ “จากนี้ไปข้าเรียก เจ้าว่าชูเซี่ยดีหรือไม่”

หัวใจของชูเซี่ยกระตุกวบ ไฉนจึงเรียกข้าว่าชูเซี่ยกัน” เขา

ต้องจับพิรุธอะไรได้แน่
เขาขยับกายเข้าใกล้นางก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา “เพราะเจ้าคือโรคระบาดของข้าอย่างไรเล่า!”

“ทา” นางมองเขาอย่างตะลึง “ข้าคือซูเซี่ยของท่านงั้นหรือ

“ใช้แล้ว เป็นโรคระบาด เป็นภัยพิบัติของข้า” เขาหัวเราะออก มาเสียงดัง

โซเชียลลึงตามองเขา ก่อนกัดฟัน พูด “ท่านต่างหากที่เป็นภัย พิบัติ ท่านเป็นเก็ยพิบัติของข้า!”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ