ตอนที่ 54 ปลอบใจ
ตอนที่ 54 ปลอบใจ
จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านทำอะไรย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจ ไม่ใช่หรือ ในยามนี้หมอหลวงเข้าวังไปกราบทูลต่อฮ่องเต้แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงต้องเสด็จมากันแน่
ชูเซี่ยรู้สึกระโหยโรยแรง ที่แท้เขาก็มองว่าข้าเป็นคนเช่นนี้ เองสินะ” ทั้งๆที่นางและเขาต่างก็เคยผ่านประสบการณ์เฉียด
ตายมาด้วยกันแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังมองว่านางเป็นคนเช่น งั้นหรือ จริงอยู่ที่นางอาจเคยตายมาแล้วจริงๆ แต่นางก็ไม่ เคยลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นใครและควรดำเนินชีวิตต่อไป อย่างไร
ในความโกรธที่อัดแน่นเต็มหัวใจทำให้นางหลุดคำพูดบาง อย่างออกมาโดยที่ไม่ทันคิด “เข้ากล้ามองว่าข้าชูเซียคนนี้เป็น คนเช่นนั้นหรือ!”
โดยไม่ทันคิดนางก็เผลอตนบอกความจริงออกไปว่าตนเอง เป็นใครออกไปเสียแล้ว นางหลับตาอย่างข่มอารมณ์ก่อนเอ่ย อีกครั้ง “พวกท่านออกไปให้หมด ข้าอยากอยู่คนเดียว” เรื่อง ทั้งหมดเป็นเพียงความบาดหมางของนางและหลี่เฉินเย่นเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับผู้อื่นไม่ อีกทั้งจูเก๋อห มิงก็เคยช่วยชีวิตนางไว้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของนาง ต่อให้ นางไม่รู้สึกซาบซึ้งก็ไม่สมควรใส่อารมณ์กับเขาเช่นนี้
จูเก๋อหมิงขมวดคิ้วมองนางอย่างพิจารณาเงียบๆ เมื่อเห็นนาง หลับตานิ่งๆอย่างต้องการระงับอารมณ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ออกมาอีก สุดท้ายหมอหนุ่มก็หันกายเดินออกไปจากห้อง พร้อมบ่าวรับใช้ประจำตัว
หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ภายในห้องหนังสือ ในมือของเขามีภาพ วาดอยู่ใบหนึ่ง เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา มองเห็นวัว และแกะ ครั้งหนึ่งนางเคยยิ้มแย้มบอกกับเขาว่าจะไปเที่ยวทุ่ง หญ้าเพื่อไล่ตามหนุ่มน้อยเลี้ยงแกะ ทัศนคติของนางบ่งบอก ถึงความใจกว้างและเปิดเผยมาตลอด ในเวลาสั้นๆจะกลาย เป็นหญิงสาวที่ใช้มารยาและงี่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาจําได้ว่าหลิว เหอส่งคนไปตามเขาที่โรงหมอเพื่อให้เขา และจูเก๋อหมิงรีบกลับมาโดยเร็ว เมื่อเห็นนางนอนหมดสติอยู่ บนเตียงทั้งยังมีเลือดไหลออกมามากมาย ลมหายใจของแผ่ เบาจนน่าใจหายราวกับตายไปแล้วก็ไม่ปาน ยามนั้นความกลัว เกาะกินหัวใจของเขาจนปวดร้าวไปหมด เขากลัวเหลือเกินว่า นางจะตายไปแล้วจริงๆ ความกลัวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเพียงแค่ เขานึกถึงก็ทําให้หัวใจเต้นแรงและเหงื่อไหลซึมออกมาตามฝ่ามือและทั้งร่างกาย
จูเก๋อหมิงกล่าวว่าโชคดีที่นางรู้จักใช้ผ้าห้ามเลือดของตนเอง ไว้ ไม่เช่นนั้นนางก็คงเสียเลือดจนตายแน่แท้
เขาใช้วิธีสกัดจุดห้ามเลือดของนางไว้จึงช่วยชีวิตนางกลับมา ได้ แต่ทว่าหลี่เฉินเช่นกลับรู้สึกผิดหวังในตัวนางอย่างยิ่งจนใน ยามนี้ไม่อยากจะเห็นหน้าของนางอีก แม้กระทั่งคนของเรือน หรูอี้เขาก็ยังใจร้ายสั่งจำคุกมืดจนหมด
เมื่อจูเก๋อหมิงมาถึงหอตำรา เขาค่อยๆปิดตำราในมือลง อาจ จะเป็นเพราะเคร่งเครียดกับเรื่องบัญชีในกองทัพมาก
จนเกินไปทำให้ยามนี้ใบหน้าคมซีดขาวไร้สีเลือด
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจูเก๋อหมิง “นางตายหรือยัง”
จูเก๋อหญิงสายศีรษะอย่างระอา “เหตุใดจึงต้องเอ่ยวาจา ร้ายกาจเช่นนั้นด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็มีใจให้นางไม่ใช่ หรือ”
“เดิมทีอาจมี แต่ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นตอบเสียง เรียบ ในสายตาของเขาท่านอ๋องยิ่งผิดหวังมากก็ยิ่งดูจะแค้น ใจมากขึ้นเท่านั้น
จูเก๋อหมิงลอบถอนหายใจออกมา “เดิมอาการของนางคงที่ แล้วแต่ทว่าเมื่อนางรู้ว่าเหล่าข้ารับใช้ในเรือนของนางถูกคุม ขังในคุกมืดก็กระอักเลือดออกมา หากเจ้าไม่อยากให้นางตาย เข้าจริงๆก็รีบปล่อยพวกเขาออกมาเสีย ในความเห็นของข้า หากนางสามารถลงจากเตียงเองได้ก็คงบุกไปที่คุกมืดด้วยตัว เองแล้วล่ะ อีกอย่างหนึ่งคือนางไม่ใช่หลิวหยิงหลงจริงๆ”
หลี่เฉินเย่นชะงัก ก่อนจะมองไปที่นางเอ่ยเสียงแหบแห้ง
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้
จูเก๋อหมิงเล่าถึงยามที่นางเผลอตัวหลุดชื่อของตนเองออก มา “ยามที่คนเราตกใจมักจะเผลอหลุดพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจ
ออกมาเสมอ แท้จริงแล้วนางชื่อชูเซี่ยจริงๆ”
“ชูเซีย ชูเซีย ที่แท้นางก็เป็นโรคระบาดจริงด้วย!” หลี่เฉินเย่น ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
ในใจรู้สึกหนักอึ้ง หากจะกลับชาติมาเกิดได้นั้นย่อมต้อง หมายความว่าร่างเดิมของนางต้องตายไปแล้วจึงจะเกิดเรื่อง เช่นนี้ขึ้นได้ หากนางไม่ใช่หลิวหยิงหลง แสดงว่าหลิวหยิง หลงตัวจริงก็คงตายไปแล้ว แต่นางตายได้อย่างไร ตายเพราะ อะไร เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจไม่ใช่น้อยเพราะเมื่อก่อนหลังจากที่นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องด้วยนิสัย ของนางทำให้เขาไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจนางแม้แต่น้อยเพราะ นางเป็นคนทําร้ายจ่ายเงินจนกลายเป็นแบบนั้น
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ในยามนี้พวกข้าควรทำอย่างไรกันดี นางมีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ” จูเก๋อหมิงรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
หลี่เฉินเย่นนึกถึงเรื่องราวภายในถ้ำที่นางเล่าเรื่องผีให้เขา ฟัง โดยตัวละครหลักในเรื่องมีชื่อว่าชูเซีย บางทีเรื่องที่นาง เล่ามาอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้ ชายหนุ่มจึงตัดใจเล่าเรื่อง ผีเรื่องนั้นให้จูเก๋อหมิงฟัง “เจ้าหมายความว่าหญิงสาวในเรื่อง เล่านั่นก็คือชูเซี่ยคนนี้งั้นหรือ แล้วที่นางเอ่ยถึงห้องดับจิต นั่น ว่ากันตามตรงแล้วข้าไม่เคยได้ยินเรื่องห้องนี้ในแคว้นเรา มาก่อนด้วยซ้ำ อีกทั้งแคว้นเราและแคว้นใกล้เคียงก็ไม่มีโรง หมอใหญ่โตอย่างที่นางเล่ามาอีกด้วย รวมถึงเรื่องหมอผู้หญิง หมอหญิงในแคว้นเราก็มีอยู่บ้างแต่ที่ได้รับการยอมรับแทบจะ ไม่มี”
“ความหมายของเจ้าคือนางไม่ใช่พวกต่างแดนงั้นหรือ ดวงตาของหลี่เฉินเช่นฉายแววตื่นตระหนก
“กลัวแต่ว่านางจะมาจากแคว้นของศัตรูเสียมากกว่า บางที พวกเขาอาจใช้วิชามนต์ดำใส่พระชายาจากนั้นก็สวมวิญญาณ เข้าร่างของนางเพียงเพราะต้องการมาล้วงความลับของแคว้นเราก็เป็นได้ แต่ทว่าข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าถ้ามีแผนการ เช่นนี้ เหตุใดจึงต้องใช้สตรีด้วยเล่า ผู้ใช้มนต์ดำสลับร่างกับผู้มี อำนาจไปเลยโดยตรงเลยไม่ดีกว่างั้นหรือ
หลี่เฉินเย่นนึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยให้นางเป็น ตัวแทนแคว้นมาก่อนก็สายศีรษะปฏิเสธ “ไม่หรอก บางครั้ง การใช้สตรีก็ง่ายต่อการจัดการหลายๆเรื่อง เพราะไม่มีผู้ใดเกิด ความหวาดระแวงในตัวนางอยู่แล้ว”
จูเก๋อหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ปักใจเชื่ออยู่หลายส่วน สีหน้าของ ท่านหมอหนุ่มหนักอึ้ง ทว่าเมื่อลองตรองดูให้ดีแล้วก็กล่าว
ขึ้นมา “หานางมาจากแคว้นศัตรูจริงเหตุใดจึงต้องทําร้าย ร่างกายตนเองด้วยเล่า นี่มันไม่สมเหตุสมผล นางควรจะวางตัว และพยายามผูกสัมพันธ์กับคนในวางสิจึงจะถูก
เมื่อหลี่เฉินเย่นลองไต่ตรองดูก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าจะเป็น เพียงการคาดเดาแต่ในใจของเขาก็โกรธชูเซี่ยอยู่มาก ทำให้ ยามนี้เขารู้สึกมีความหวาดระแวงในตัวหญิงสาวมากกว่าเดิม หลายส่วน
เมื่อทั้งคู่ปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจที่จะปล่อยพวกเสี่ยวจี่ออก มาให้กลับไปอยู่ข้างกายชูเซี่ยเช่นเดิม
ชูเซี่ยไม่มีวันนึกถึงว่าหลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงจะคิดนางเช่น นี้ เมื่อนางเห็นว่าพวกเสี่ยวลึกลับมาก็ดีใจยิ่งนัก โทสะก่อน หน้าก็จางหายไปแบบไม่เหลือ ทว่าเมื่อเห็นว่าใบหน้าของมา มามีรอยแผลอยู่ นางอายุมากแล้วยังโดนทำโทษเพียงนี้ทำให้ ชูเซี่ยรู้สึกสงสารจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคืองอยู่บ้าง
มามาเห็นว่าบาดแผลและร่างกายของชูเซียย่ำแย่มากก็รู้สึก ไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่ชูเซี่ยได้กินยาที่หมอเทวดาต้ม แล้ว ชูเซียทราบดีว่าอีกฝ่ายมีเรื่องมากมายจะสนทนากับนาง นางทราบดีว่ามามามีคำถามมากมายที่อยากจะถามนางแต่ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพราะหญิงสาววัยกลางคนผู้นี้เป็นห่วงละรัก นาง ชูเซี่ยจึงยอมพูดคุยกับนางอยู่หลายคำ
ยามพลบค่าวังหลวงก็ส่งคนมาจริงๆ ทว่าหาใช่พวกข้าหลวง ไม่แต่ทั้งสองเป็นถึงฮองเฮาและหลงเฟย ชูเซี่ยจับจ้องมาที่ พระพักตร์ของฮองเฮาที่มีใบหน้าเหมือนแม่ของนางไม่มีผิดก็ ทำให้ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วยออกมา ความอยุติธรรมที่นาง ได้รับมาตลอดก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ “หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮาและทรงเฟยเพคะ!”
ฮองเฮาทอดพระเนตรมายังนางก่อนจะถอนปัสสาสะออกมา
“หมอหลวงกล่าวว่าเจ้าทําร้ายร่างกายของตนเอง เด็กน้อย เหตุใดเจ้าจึงโง่งมเช่นนี้
เนื่องจากซูเซี่ยเคยช่วยเหลือองค์ชายน้อยมาก่อนทำให้ห รงเฟยรู้สึกซาบซึ้งในตัวนางไม่น้อย ยามนี้เมื่อทราบเรื่องห รงเฟยจึงขอติดตามฮองเฮามาด้วยเพื่อมาดูอาการนางโดย เฉพาะ แต่เมื่อพระนางทอดพระเนตรเห็นว่าชูเซียโกรธแค้น สองคนนั้นมากทั้งยังแฝงไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ เมื่อ ฮองเฮาตรัสจบทรงเฟยจึงตรัสเสริมขึ้นมา “บุรุษสามารถแต่ง ภรรยาเข้าเรือนของตนได้มากมายนี่เป็นขนบธรรมเนียมที่มีมา แต่ช้านาน หากเจ้าเก็บมันมาใส่ใจก็ดีแต่จะทำให้ปวดหัวเสีย เปล่าๆ การทำร้ายร่างกายตนเองเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนที่รัก และห่วงใยเจ้าเจ็บปวดก็เท่านั้น เจ้าเป็นเด็กใจกว้างไฉนจึงทำ เรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้
ชูเซี่ยรู้สึกว่าตนเองได้รับความอยุติธรรมก็อับจนคำพูด น้ำ ตาค่อยๆไหลอาบแก้มช้าๆ ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ขา รวมกับความเจ็บใจทําให้นางอยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่อาจ จะห้ามน้ำตาที่ไหลรินลงมาเป็นสายได้เลย จึงได้แต่ร้องไห้ เงียบๆฟังคำพูดปลอบโยนของฮองเฮาและทรงเฟยอย่างแค้น เคืองใจ
ฮองเฮาดึงมือของนางไว้ “เด็กน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ เฉลียวฉลาดและรู้เรื่องราวดี อย่าให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นอีกรู้ หรือไม่ รีบๆหายขึ้นมาแล้วก็ยิ้มแย้มใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้ ข้าเห็นเข้าใจหรือไม่
“เห็นหม่อมฉันยิ้มแล้ว พระองค์จะดีพระทัยจริงๆหรือเพคะ” ชู
เซี่ยมองพระพักตร์ของฮองเฮาก่อนเอ่ยถามช้าๆ ทำให้
ฮองเฮารับรู้ได้ว่าเรื่องการแก่งแย่งครั้งนี้ทำให้เด็กน้อยคนนี้
ไม่สบายใจจริงๆ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” ฮองเฮาเอื้อมพระหัตถ์มาทาบหน้า ผากนางแผ่วเบาก่อนขมวดพระขนง “ไข้ของเจ้ายังไม่ลด เหตุ ใดดื่มยาเข้าไปแล้วจึงยังไม่ดีขึ้นอีกเล่า หากภายในสามวันเจ้า ยังไม่ดีขึ้นข้าจะสั่งประหารพวกมันให้หมด”
ครั้งหนึ่งชูเซี่ยเคยช่วยเหล่าหมอหลวงร้องขอชีวิตไว้ ฮองเฮาทราบดีว่านางเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม ดังนั้นที่ตรัสออก มาเช่นนี้ก็เพื่อให้นางเลิกทำร้ายตนเองและรีบหายดีในเร็ววัน มิฉะนั้นหากอาการของนางย่ำแย่ลงไปอีกจะทำให้หมอหลวง ที่อาศัยอยู่ประจำจวนอ๋องไม่อาจหลีกหนีโทษประหารไปได้
เมื่อชูเซียได้ฟังเช่นนั้นก็ร้อนใจยิ่งนัก “เสด็จแม่ได้โปรด อย่าลงโทษพวกเขาเลยนะเพคะ พวกเขาพยายามอย่าง สด ความสามารถแล้ว หม่อมฉันจะต้องดีขึ้นในเร็ววันแน่นอน เพคะ”
ทรงเฟยตรัสอย่างเป็นห่วง “เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดกล้ากราบทูลต่อไทเฮา แต่เสด็จพ่อของเจ้าทราบเรื่องแล้วล่ะทั้งยังคิดว่า เจ้าช่างเอาแต่ใจไม่รู้จักวางตัวเกินไปแล้ว หากไม่ได้ฮองเฮา เอ่ยห้ามไว้เกรงว่าคงสั่งลงโทษเจ้าแล้วล่ะ”
“ใช่แล้วล่ะ ฝั่งบิดามารดาเจ้าทางเราเองก็จำเป็นต้องปิดบัง พวกเขาเช่นกัน บิดาของเจ้ารักละเอ็นดูเจ้ามากยิ่งกว่าผู้ใด หากเขารู้ว่าเจ้าเป็นเช่นนี้จะต้องทำให้อาการป่วยของเขา กำเริบขึ้นมาอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงยากที่จะ รักษาแล้ว”ฮองเฮาถอนปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ชูเซี่ยเองก็ไม่เคยพบเจอบิดามารดาของ หลิวหยิงหลงมาก่อน นางไม่เคยกลับไปบ้านเดิมของเจ้าของ ร่างมาก่อน อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนนางเลยด้วย เมื่อได้ยินฮองเฮาตรัสออกมาว่าบิดาของตนป่วย นางก็รู้สึก กังวลขึ้นมา อยากทราบว่าเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่ “หม่อมฉัน ไม่เคยกลับบ้านนานแล้ว รอให้หม่อมฉันหายดีก่อนจะกลับไป เยี่ยมเยียนพวกเขาดูสักครั้ง”
ฮองเฮาได้ยินที่ชูเซี่ยกล่าวมาก็เลิกพระขนงขึ้น “เจ้ารู้จักคิด เช่นนี้ก็ดีแล้ว ความจริงแล้วคนเป็นพ่อลูกกันจะไปมีความแค้น ข้ามคืนต่อกันได้อย่างไรเล่า เรื่องพวกนั้นเจ้าก็อย่าได้นำมันมา ใส่ใจอีกเลยนะ มีเหอนางตั้งมั่นจะออกเรือนให้แก่เฉินเล่นอยู่ แล้ว อีกทั้งเฉินเย่นเองก็มีใจให้นาง แล้วพ่อของเจ้าจะทำเช่น ไรได้ในเมื่อลูกสาวทั้งสองต่างก็เป็นเลือดเนื้อของเขาทั้งสิ้น!”
เมื่อได้ยินที่ฮองเฮาตรัสมา ชูเซียก็พอจะคาดเดาได้ว่ายาม นั้นที่หลิวมี่เหอแต่งให้กับหลี่เฉินเย่นคงทำให้หลิวหยิงหลง รู้สึกเคียดแค้นบิดามารดาของตนเองอยู่มาก อีกทั้งอาจจะ ทะเลาะกันใหญ่โตเลยก็เป็นได้
ฮองเฮาตรัสเตือนสตินางอีกหลายคำจากนั้นก็ถวายของบำรุง และสมุนไพรให้นางอีกหลายอย่าง เมื่อทุกอย่าง
เรียบร้อยดีแล้วพระองค์และทรงเฟยก็เสด็จกลับวังหลวงไป
หลังจากฮองเฮาเสด็จกลับไป อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายา ก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนนางทั้งคู่ เจิ้นหยวนเฟยจับมือชูเซียไว้ แน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เรื่องพวกนี้ไม่ ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ขาเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่น นั้นแน่ ที่เจ้าทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอะไรแน่จริงหรือไม่
ชูเซี่ยรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ นางนึกไม่ถึงจริงๆว่าคนที่เข้าใจ นางมากที่สุดแท้จริงแล้วจะเป็นพระชายาเจิ้นหยวน แต่ยามนี้ อยู่ต่อหน้าอ๋องเจิ้นหยวนนางจึงไม่อยากอธิบายอะไรให้มาก ความนัก หญิงสาวจึงทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ “ขอบคุณท่าน มากที่เชื่อใจข้า!”
“หากเกิดอะไรขึ้นอย่าได้เก็บมันไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวนะ เจ้าสามารถเล่าให้ข้าฟังได้ ต่อให้ข้าไม่อาจช่วยเหลืออะไร เจ้าได้ แต่ไม่แน่ว่าหากได้ระบายออกมาก็อาจทำให้เจ้ารู้สึก สบายใจขึ้นบ้างก็ได้
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ จริงๆนะ ข้าสบายดีมาก!” เดิมทีนางก็รู้สึก เย็นลงบ้างแล้ว แต่เนื่องด้วยคำพูดจากอ๋องเจิ้นหยวนทำให้ นางอดที่จะเศร้าโศกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นมันก็ค่อยๆจางหายไป
อ๋องเจิ้นหยวนเป็นบุรุษที่เงียบขรึมจึงไม่รู้จักวิธีการปลอบใจผู้ อื่นเท่าใดนัก แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมาทั้งหนักแน่นและ
มั่นคง “หากเจ้ารู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมก็สามารถมาบอก ข้าได้ ต่อให้ข้าต้องแรกด้วยชีวิตข้าก็จะทวงความยุติธรรมให้ เจ้าจงได้”
ชูเซียได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจจนไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไร
ออกมาได้
การปลอบใจของบุรุ บางครั้งก็ไม่อาจเข้าใจถึงจิตใจล้ำลึก ของสตรี แต่ก็พอที่จะทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาได้บ้าง
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ