ตอนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น
ตอนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น
ดังนั้นเสี่ยวฉิงจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางกลาย เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าพระชายาแต่โดยดี พวก นางสองแม่ลูกก้มลงคุกเข่าต่อหน้าชูเซี่ยเพื่อขออภัยโทษ เสี่ยวนิงเอ่ยคำสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง “ครานั้นเป็นหม่อม ฉันเองเพคะที่ใส่ร้ายพระชายาแต่ทั้งหมดนั้นเป็นโหร่วเฟย เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าขัดนางจึง ได้แต่ยอมก้มหน้าก้มตาทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมเช่นนั้น หม่อมฉันทำเรื่องผิดต่อพระชายามากมายนัก ขอพระชายา ทรงลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ”
ชูเซี่ยพยุงนางขึ้นมา “เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว ข้าไม่ ถือโทษโกรธแล้วล่ะ”
เมื่อเสี่ยวฉิงเห็นว่านางจิตใจกว้างขวางในใจก็ยิ่งเกิด ความรู้สึกผิด ความมีน้ำใจและใจกว้างของพระชายา เหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดพาความหอมหวานเข้าสู่ ใจของนาง ยามนี้นางยอมรับและเปิดใจให้พระชายาอย่าง ไม่มีข้อแม้ใดใด
ชูเซียถามไถ่ถึงอาการป่วยของมารดาเสี่ยวฉิง เสี่ยวฉิงจึง ค่อยๆเอ่ยออกมาอย่างเศร้าสร้อย “อาการป่วยของท่านแม่ เป็นมานานมากแล้ว นับตั้งแต่พี่ชายของข้าถูกคนกระทืบ ตาย นางก็มักจะสติล่องลอยและดูเศร้าสร้อยอยู่ตลอด เวลา มีอยู่วันหนึ่งนางเห็นหมวกฟางที่พี่ชายข้ามักจะใส่ ออกไปทุ่งนาเป็นประจำก็เกิดคลั่งเสียสติขึ้นมาวิ่งเตลิด ออกไปเพื่อไปดูหลุมศพพี่ชายของข้า แต่ระหว่างทางเกิด โดนวัวชนเข้าทำให้นางล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนขาซ้าย เป็นแผลใหญ่และเลือดไหลนองราวกับสายน้ำ ข้าเคยเชิญ ท่านหมอมาดูอาการ ทว่าบาดแผลบางครั้งก็ดีขึ้นแต่บาง ครั้งกลับแย่ลง ยามที่รักษาจำเป็นต้องใช้ยาแรง ท่านหมอ เคยมาดูอาการแล้วแต่ก็วินิจฉัยอาการไม่ได้มารดาข้ามี อาการหายใจลำบากอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางมักจะเจ็บช่อง อกอยู่เสมอ บางครั้งหากอาการกำเริบขึ้นมาก็เกือบตายได้ เลยเพคะ ค่ายาที่ใช้รักษาก็แพงแสนแพงจะให้ได้ผลดี ที่สุดก็เห็นจะเป็นโสม หากอาการกำเริบขึ้นมาก็จำเป็นต้อง อมแผ่นโสมไว้ใต้ลิ้นจึงจะผ่านมันไปได้” นางเงียบไปครู่ หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองมาทางชูเซีย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “โหย่วเฟยเองก็ทราบเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงมักจะใช้โสมมา ติดสินบนหม่อมฉันให้ยอมทำตามที่นางสั่งเพคะ”
หลังประโยคสุดท้ายนางที่นางกล่าวออก นางก็ไม่ได้เอ่ย อะไรออกไปอีกเลย เสี่ยวฉิงได้แต่ก้มหัวลงด้วยความอัปยศ อดสู่
ยามนี้ชูเซี่ยเข้าใจถึงความยากลำบากของเสี่ยวฉิงแล้ว นางถอนหายใจออกมา “ลำบากเจ้าแล้ว!” เด็กสาวกตัญญูผู้ หนึ่ง นิสัยก็ไม่ได้เลวร้าย แต่บางครั้งชีวิตของนางก็ไม่ได้มี ทางเลือกมากนัก
นางหันหลังไปกล่าวกับมามา “ข้าออกจากวังมาครั้งนี้ มี ของพระราชทานเป็นโสมพันปีเส้นหนึ่ง พรุ่งนี้เจ้าส่งมาที่นี่ แต่แผลที่ขาอักเสบจนกลายเป็นหนองแล้วหรือยัง”
เสี่ยวฉิงพยักหน้าขึ้นลง “ยามนี้แผลเน่าเป็นหนองทั้งหมด เพคะ”
ชูเซียเอื้อมมือไปเลิกผ้าห่มเพื่อจะดูแผลทว่ากลับถูกมือ ของเสี่ยวฉิงหยุดไว้ก่อน “พระชายาอย่าดูเลยเพคะ เดี๋ยว พระองค์จะหวาดกลัวได้
ชูเซี่ยยิ้มขำ “มีอะไรน่าหวาดกลัวกัน” นางเคยเห็นมาเยอะ แล้ว จำได้ว่าในสมัยก่อนที่นางประจำอยู่ห้องฉุกเฉินไม่ว่า บาดแผลจะร้ายแรงหรือน่าหวาดกลัวเพียงใดนางก็เคยเห็น มาหมดแล้ว บาดแผลเพียงเท่านี้ไม่ทำให้นางหวาดกลัวอย่างแน่นอน
นอกจากเสี่ยวนิงจะพยายามห้ามนางแล้ว มารดาของ เสี่ยวฉิงหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้พระชายาดูบาดแผล ของตนด้วยเกรงว่านางจะหวาดผวาเอาได้ ชูเซี่ยไม่กล้าฝืน ใจผู้อาวุโสกว่าตนจึงได้แต่ยอมจำนน “พรุ่งนี้ข้าจะให้หมอ หลวงมาดูอาการมารดาของเจ้าก็แล้วกัน”
เสี่ยวฉิงมองอย่างตกตะลึง ประโยคนี้ชูเซี่ยเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังเลย ทว่าสำหรับเสี่ยวฉิงแล้วเสียงนี้ ราวกับเสียงของสวรรค์ที่ลงมาโปรดนาง เสี่ยวฉิงคุกเข่าลง กับพื้นก่อนจะร้องไห้โฮออกมา “ชีวิตของหม่อมฉันต่อจาก นี้จะเป็นของพระชายาแต่เพียงผู้เดียว พระชายามีอะไรให้ หม่อมฉันรับใช้ต่อให้บุกน้ำลุยไฟหม่อมฉันก็ยินดี”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคุกเข่าอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขยับชูเซี่ยก็ รู้สึกหมดหนทาง นางไม่มีเวลามาเล่นอะไรไร้สาระพวกนี้ อีกแล้ว หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง “เจ้าไม่จำเป็นต้อง ขอบคุณข้า ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังผลจากเจ้า นั่นก็คือข้ามี เรื่องให้บิดาของเจ้าช่วยเหลือ”
เสี่ยวฉิงปาดน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ยอย่างซาบซึ้ง อย่า ว่าแต่เชิญหมอหลวงมารักษามารดาของนางเลยลำพังแค่โสมหมื่นปีที่พระชายามอบให้
ให้บิดานางรับใช้พระชายาถึงสิบชาติแล้ว เสี่ยวฉิงทราบ ดีว่าพระชายาเอ่ยออกมาเช่นนี้ก็เพียงเพื่อให้นางรู้สึก
สบายใจ
ไม่นานนักบิดาของเสี่ยวฉิงก็กลับมา เมื่อเขาทราบเรื่อง ราวทั้งหมดจากบุตรสาวก็รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของพระ ชายายิ่งนัก ชายหนุ่มก้มลงมองกระดาษที่ชูเซี่ยให้เขาดู สักครู่ก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ของสิ่งนี้ ใช่รถเข็นหรือ ไม่”
ชูเซี่ยชะงัก “ท่านรู้จักหรือ”
บิดาของเสี่ยวฉิงเอ่ยตอบ “ข้าน้อยเคยเห็นมันมาก่อน เมื่อ ก่อนมีคุณชายท่านหนึ่งเคยมาหาข้า เขาร่างแบบรถเข็นมา ให้ร้านของพวกข้าดูเช่นกันให้พวกข้าช่วยตีเหล็กออกมา ให้มีรูปร่างเช่นนี้ รถเข็นที่เขาสั่งให้พวกข้าทำมีรูปลักษณ์ ประหลาดนัก สามารถยืดหดได้ นึกไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะ ออกแบบเช่นนี้ออกมาได้”
รถเข็นปรับยืน สวรรค์ ชูเซี่ยตกตะลึงยิ่งนัก หรือว่าในสมัย นี้ก็มีผู้คิดค้นเก้าอี้ปรับยืนได้แล้วหรือนี่ เท่าที่นางทราบมา ในยุคของนาง ต่างประเทศเพิ่งจะมีการคิดค้นรถเข็นนี้ขึ้น มา รถเข็นชนิดนี้สามารถปรับให้ตั้งตรงเพื่อให้ผู้ที่นั่งมันสามารถยืนขึ้นได้ แต่เพราะต้นทุนคอนขาง แพงจึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก
“คุณชายท่านนั้นอยู่ที่ใดกัน ท่านลุงพาข้าไปพบเขาได้ หรือไม่” ชูเซี่ยรู้สึกตื่นเต้น ยามนี้ใจใจของนางเกิดความ หวังขึ้นมา นางรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก บางทีในครั้งนี้นางอาจไม่ เพียงแค่ค้นพบรถเข็นปรับยืนเพียงอย่างเดียวแต่นางอาจ พบคนที่หลงยุคแบบนางก็เป็นได้
“ขอรับ ขอรับ รถเข็นคันนั้นยังอยู่ที่ร้านของข้าน้อย เถ้าแก่ ร้านลงทุนทำล้อเหล็กและราวเหล็กด้วยตนเองเลยทีเดียว คุณชายท่านนั้นกล่าวว่าเย็นนี้จะมารับของไป หากรีบไป ตั้งแต่ตอนนี้อาจจะทันได้พบขอรับ” บิดาของเสี่ยวฉิงลุกขึ้น ทันทีก่อนจะมอบหมายให้เสี่ยวฉิงดูแลบ้านให้ดี จากนั้นก็ นำทางชูเซี่ยและมามาออกจากบ้านไป
เมื่อกลับมาถึงร้าน บิดาของเสี่ยวฉิงก็เอ่ยถามเถ้าแก่ร้าน “เถ้าแก่ คุณชายเฉินมารับรถเข็นไปหรือยังขอรับ”
เถ้าแก่ร้านลอบมองประเมินเสื้อผ้าและการแต่งกายของชู เชี่ย เมื่อมองพิจารณารูปโฉมของนางกับการแต่งกายแบบ คุณหนูผู้ดีก็ไม่กล้าเสียมารยาท “เพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่ ท่าน หญิงผู้นี้ก็มาเพื่อทำรถเข็นเช่นกันหรือ”
บิดาของเสี่ยวฉิงเอ่ยตอบแทน “ใช่แล้ว ฮูหยินท่านนี้ ต้องการทำรถเข็นแบบเดียวกัน ไม่พูดต่อแล้ว พวกข้ายัง ต้องรีบตามคุณชายเฉินเสียก่อน”
เมื่อกล่าวจบเขาก็รีบวิ่งนำชูเซี่ยและมามาออกไปข้างนอก
ตลอดระยะทางที่วิ่ง บิดาของเสี่ยวฉิงเห็นว่าชูเชี่ย สามารถวิ่งตามเขาได้อย่างสบายๆทั้งยังไม่ได้ลดฝีเท้าลง ก็รู้สึกมึนงงว่าพระชายาเอาเรี่ยวแรงเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ครั้นเมื่อจะเอ่ยปากถามขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีรถม้าวิ่งเหยาะๆไปทางหัวมุมตะวัน
ตก
บิดาของเสี่ยวฉิงรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เขารีบเร่งฝีเท้าขึ้น “คุณชายเฉิน โปรดรอสักเดี๋ยว”
รถม้าค่อยๆหยุดลง บิดาของเสี่ยวฉิงรีบร้อนวิ่งเข้าไป ผู้ที่ นั่งอยู่บนรถม้าค่อยๆเลิกผ้าม่านขึ้นเอ่ยถาม “ท่านลุงช่างดี เหล็กมีอะไรกับข้าหรือ”
ชูเซียตามมาทันในที่สุด ชายหนุ่มตรงหน้า านางส เสื้อผ้าสีเขียว หน้าตาสดใส ทรงผมตัดสั้น แม้ว่าทรงผมจะ สั้นแต่ก็ยังคงผูกผ้าคาดหัวสีดำไว้สองสามเส้น ดูๆไปเขาก็ มีท่าทางหยิ่งทระนงอยู่บ้าง ชายหนุ่มมีสร้อยเงินเป็นรูป กระสุนห้องอยู่ที่หน้าอก เครื่องประดับเช่นนี้ ลูกกระสุน เขา จะใช่คนยุคปัจจุบันเหมือนนางหรือไม่นะ
ชูเซี่ยมองบุรุษผมสั้นตรงหน้า ดวงตาของนางแดงกำขึ้น มาอย่างไม่รู้ตัว นางมองชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยกระซิบเสียง เบา “คุณชายท่านนี้ ท่านสามารถให้เบอร์มือถือข้าไว้ติดต่อ กันได้หรือไม่”
ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักกึก จ้องมองนางเขม็ง
ถนนทางตะวันตกเงียบสงบไร้ผู้คน เพราะแถวนี้เป็นย่าน อยู่อาศัยของผู้คน ดังนั้นนอกจากเจ้าของบ้านเดินทางกลับ บ้านแล้วก็ไม่มีผู้คนเดินทางสัญจรแถวนี้แน่
ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้า “เมื่อก่อนนามว่าจางสิ่ง ตอนนี้
มีนามว่าจางจื่อเซียว!”
ชูเซี่ยจับมือเขากลับ “เมื่อก่อนนามว่าชูเซี่ย ตอนนี้มีนาม
ว่าหลิวหยิงหลง!”มือของทั้งคู่ประสานกันแน่น ดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อย ตกกระทบศีรษะของคนทั้งสอง บ่งบอกว่ายามเย็นใกล้ เข้ามาแล้วแสงแดดอ่อนๆที่ส่องมายิ่งพาให้หัวใจของทั้ง คู่หนักอึ้ง กาลเวลานับพันปีกลับชักนำคนสองคนที่ไม่เคย รู้จักกันมาก่อนให้คุ้นเคยกันราวกับเป็นสหายสนิทกันมา ก่อน
ในสายตาของคนภายนอก ทั้งคู่ใกล้ชิดกันราวกับโอบ กอดกันอยู่ ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ถ่ายทอดความรู้สึก ทั้งความสุขและความเศร้าออกมา มันเป็นความขัดแย้ง อย่างเห็นได้ชัด แต่หากมองดูให้ดีกลับเห็นว่าทั้งคู่ช่าง เหมาะสมกันยิ่งนัก
เป็นมามาที่ทนเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้จึงจับพวกเขาทั้งสอง แยกออกจากกันมามายืนขวางหน้าชายหนุ่มพร้อมเท้า สะเอวจ้องมองจางสิ่งด้วยความโมโห “บังอาจ เจ้ากล้า ล่วงเกินพระชายาของพวกข้าหรือ” บิดาของเสี่ยวฉิงตื่น ตระหนกมองดูฉากตรงหน้าอย่างนึกไม่ถึง
จางสิ่งเพียงยิ้มออกมาพลางจ้องมองหน้าชูเซี่ย “ยินดี ด้วยที่เจ้าได้เป็นถึงพระชายา
“อ่า อย่าพูดจาไร้สาระอยู่เลย รถเข็นของเจ้า ข้าขอดู หน่อยได้หรือไม่” ชูเซี่ยเข้าจุดประสงค์หลักที่นางมาทันที หากจะสานสัมพันธ์มิตรภาพต่อที่แห่งนี้ก็ไม่เหมาะ ยิ่งนัก เอาไว้นางค่อยนัดเจอกันใหม่วันหลังก็ย่อมได้ ยาม นี้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่รู้ว่าที่จวนอ๋องจะเกิดเรื่องขึ้นหรือ ไม่ ท่านอ๋องจะส่งคนมาดูนางหรือไม่นะ ถ้าหากมีคนมาดู นางจริงพวกสาวใช้จะรับมือได้หรือไม่นางก็ไม่มั่นใจนัก
จางสิ่งเลิกผ้าม่ายรถม้าขึ้น “เจ้าสนใจหรือ หรือว่าที่บ้าน เจ้ามีผู้พิการอยู่ล่ะ”
“ท่านอ๋องจวนข้า เพราะช่วยชีวิตข้าทำให้ขาทั้งสองข้าง เป็นอัมพาต เดิมทีข้าก็วาดภาพรถเข็นไว้เช่นกัน ข้าออก มาตามหาพ่อของเสี่ยวฉิงทว่าเมื่อเขาเห็นรูปวาดของข้า กลับบอกว่าเคยเห็นมันมาก่อนข้าดีใจยิ่งนัก” ชูเซี่ยพูดจา เร็วอย่างยิ่ง ยามนี้นางรู้สึกดีใจมากเหลือเกิน ราวกับได้ เจอสหายเก่าก็ไม่ปาน แม้จะเรียกว่าสหายเก่าก็ไม่ถูกต้อง นักเพระพวกเขาก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยในยุคศตวรรษ ที่ยี่สิบเอ็ด แต่ว่าเมื่อทั้งสองมาเจอคนที่เคยหายใจในยุค เดียวกันก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
“เพียงเพื่อช่วยเจ้างั้นหรือ ช่างเป็นชายหนุ่มที่ยึดมั่นในรัก และคุณธรรมอะไรเช่นนี้ เป็นบุรุษที่น่าชื่นชมเสียจริง” จาง สิ่งเมื่อได้ยินก็รู้สึกชื่นชมชายหนุ่มผู้นั้นยิ่งนักเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้านำรถ เข็นนี่กลับไปก่อน ข้ากลับเรือนค่อยสั่งทำใหม่ อีกอย่าง ข้าไม่ได้รีบใช้เท่าใดนัก ข้าเพียงแต่ทำสำรองไว้ก็เท่านั้น” เมื่อเขากล่าวจบ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสลดใจ
“สำรองหรือ เหตุใดจึงต้องทำรถเข็นสำรองกัน บ้านเจ้ามี ผู้ป่วยหรือ” ชูเซี่ยถามอย่างแปลกใจ ยิ่งนางเห็นสีหน้าเป็น กังวลของเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกหลายคำ
จางสิ่งเอ่ยตอบ “พ่อบุญธรรมของข้ามีโรคประจำตัว อีก ไม่นานก็เป็นอัมพาตแล้ว ทว่าช่วงนี้เขาก็ยังคงเดินไปไหน มาไหนได้อยู่ ทว่าท่านหมอได้กล่าวไว้ว่าอีกไม่นานขาทั้ง สองข้างคงหมดแรงเดินเหินเสียแล้ว”
ชูเซี่ยเป็นห่วงยิ่งนัก “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ เป็นโรคอะไร กันแน่”
“ข้าไม่ขอปิดบัง ที่จริงแล้วพ่อบุญธรรมของข้าก็คืออดีต แม่ทัพ เจ้ารู้จักนามจูเชียนชิวหรือไม่” จางสิ่งถาม
ชูเซี่ยส่ายศีรษะ “ขออภัย ข้าไม่รู้จัก”
ทว่ามามาที่ยืนอยู่ข้างนางกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ที่คุณชายจางกล่าวมาหรือว่าจะเป็นอดีต แม่ทัพจางใช่หรือไม่ เขาป่วยหรือ”
ชูเซียถามมามาอย่างสงสัย “มามารู้จักแม่ทัพจางด้วย หรือ”
มามายิ้มออกมาพลางเอ่ย “แม่ทัพจางงั้นหรือเพคะ ไม่มี ผู้ใดไม่รู้จักเขาหรอกเพคะ แม่ทัพจางเคยเป็นพระอาจารย์ ของท่านอ๋องมาก่อน หลายปีก่อนท่านอ๋องทั้งสองก็เรียน รู้วิชาขี่ม้ายิงธนูจากท่านแม่ทัพผู้นี้นี่ล่ะเจ้าค่ะ แม่ทัพจา งมีวรยุทธสูงส่ง เคยทำงานให้ราชสำนักทว่าตอนนี้ออก จากตำแหน่งไปเสียแล้ว แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงอยู่ไม่ เสื่อมคลาย แม่ทัพและเหล่าทหารกล้าที่มีชื่อเสียงในยาม นี้ก็ล้วนแต่เคยเป็นศิษย์ของแม่ทัพจางผู้นี้มาก่อนทั้งสิ้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังให้เกียรติเขาอยู่หลายส่วนเลยนะเพคะ”
ชูเซี่ยรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่น นั้นอาการป่วยของเขาเหตุใดจึงไม่เชิญหมอหลวงมารักษา เล่า”
จางสิ่งถอนหายใจออกมาหนักๆ “พ่อบุญธรรมข้าเป็นคน แข็งแกร่ง เป็นวีรบุรุษในสมัยนั้น จะให้เที่ยวบอกใครต่อ ใครว่าเขาป่วยงั้นหรือ ในสายตาคนนอกเขาเป็นคนที่เข้มแข็งและแข็งแกร่งอยู่เสมอ ทุกครั้งยามเข้าวังเข้าเฝ้า ฝ่าบาทก็มักจะวางท่าให้ดูองอาจอยู่เสมอ มีหรือจะยอม เสียหน้ากันเล่า จริงๆแล้วจะกล่าวว่าเขาป่วยเป็นโรคก็ไม่ ถูกนัก แต่ทว่าเมื่อยามที่เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบเมื่อ ครั้งยังหนุ่มนั้นได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอยู่หลายครั้งทำให้ บัดนี้บาดแผลเหล่านั้นฝังรากลึกอยู่ในร่างกายของเขา ยาม นี้เมื่อแก่ชราลงจึงเกิดกำเริบขึ้นมา รถเข็นนี้เจ้าก็เอาไปเถิด ข้ากลับไปค่อยสั่งทำขึ้นมาใหม่”
ชูเชียรู้สึกสลดใจคงเป็นอย่างที่เขากล่าวว่า หญิงงามย่อม มีวันโรยรา วีรบุรุษก็ย่อมมีวันแก่เฒ่า
นางขอบคุณจางสิ่งจากใจจริง “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็
ขอบคุณเจ้ามาก วันหน้าข้าจะต้องมาหาเจ้าแน่ มีอีกหลาย เรื่องไว้เราค่อยคุยกัน”
จางสิ่งรับคำ “ได้ ข้าจะคอยเจ้า!”
จางสิ่งให้พวกนางทั้งสองคนขึ้นรถม้าคันเดียวกับเขา ก่อนจะมาส่งถึงหน้าจวนอ๋อง ชูเซี่ยที่วันนี้ได้พบทั้งเพื่อน ร่วมชะตาทั้งยังได้รถเข็นในใจก็มีความสุขยิ่งนัก คิดเพียง แค่เมื่อกลับไปนางจะค่อยๆสอนหลี่เฉินเย่นใช้รถเข็นคันนี้ อย่างไรดี โดยหารู้ไม่ว่ายามนี้ในจวนอ๋องเริ่มมีพายุก่อตัวขึ้นแล้ว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ