หมอยาเสน่ห์หา

ตอนที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย



ตอนที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย

ตอนที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย

เนื่องจากภายในวังหลวงมีขนบธรรมเนียมและกฎเข้ม งวดมากมายทำให้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับการรักษา บาดแผล หลี่เฉินเย่นจึงทูลขอฮองเฮาออกจากวังหลวง กลับจวนอ๋องของตน เมื่อฮองเฮาทอดพระเนตรเห็นว่า พระองค์ไม่สามารถห้ามอะไรได้จึงอนุญาตแต่โดยดี เดิมที ฮองเฮาตั้งใจให้หมอหลวงตามทั้งสองกลับจวนไปด้วย ทว่าในจวนอ้องก็มีหมอมากฝีมือประจำอยู่แล้วทั้งจเก๋ อหมิงก็กลับมาด้วยแล้วมีเขาอาศัยอยู่ในจวนอ้องทั้งคน ฮองเฮาก็เบาพระทัยไปได้มากโข

หลิวมีเหอถูกหลี่เฉินเย่นส่งกลับจวนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หลายวันแล้ว แม้นางจะปวดใจมากเพียงใดแต่นางก็ทราบ ดีว่าระยะนี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นไม่สู้ดีนัก นอกจากความ เสียใจแล้วนางยังมีความรู้สึกกังวลใจมากขึ้นอีกด้วย วันนี้มี ข่าวจากทางวังหลวงว่าท่านอ๋องและพระชายาจะเสด็จกลับ จวนอ๋องนางจึงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตั้งแต่เช้าทั้งยัง สั่งให้ข้ารับใช้ในจวนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนอีกด้วย

เมื่อเห็นรถม้าของจวนต้องวิ่งเหยาะๆมาตามเส้นทางนาง

ก็สั่งการคนอย่างคล่องแคล่วให้คนนำเก้าอี้ที่ทำจากต้นไม้หลี่มาวางเตรียมไว้ เก้าอี้ตัวนี้มีเบาะรองนั่งสี เหลืองทอง พนักพิงสีเดียวกันกับเบาะ มองไกลๆก็สามารถ เห็นได้ถึงความหรูหราไม่ธรรมดา

ทว่าเก้าอี้ตัวนี้ในสายตาของหลี่เฉินเย่นข่างน่ารำคาญตา ยิ่งนัก ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง เก้าอี้ตัวนี้ถูก ตกแต่งอย่างประณีตงดงามบ่งบอกถึงความรอบคอบเอาใจ ใส่อย่างดีของนางราวกับว่านางจะให้เขานั่งเก้าอี้ตลอดไป เช่นนี้

อารมณ์กรุ่นโกรธกระจายไปทั่วใบหน้าของเขาอย่าง รวดเร็ว หลิวมีเหอไม่ได้รู้สึกอะไรนึกไปเพียงว่าเขาคงไม่ พอใจในตัวชูเซี่ยเท่านั้น นางจึงค่อยๆขยับกายเข้าไปช่วย พยุงร่างของเขานั่งลงเก้าอี้พร้อมเอ่ยเสียงเบา กลับมาก็ ดีแล้วเจ้าค่ะ” ชูเชี่ยสังเกตเห็นความไม่พอใจที่ฉายชัดอยู่ บนใบหน้าคมคายนั้น ในโรงพยาบาลนางพบเจอผู้ป่วยที่ขา พิการเช่นนี้อยู่มาก หัวใจของพวกเขาค่อนข้างจะบอบบาง เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆก็สามารถกระทบกระเทือนจิตใจพวก เขาได้นางรับรู้ได้ว่าเขาคงรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องมาอยู่ต่อ หน้าผู้คนมากมายเช่นนี้

ชูเซี่ยอยากลงพื้นด้วยตนเองแต่หลี่เฉินเช็นกลับชมวดคิ้ว ให้นางก่อนเอ่ยเสียงคุ “ถ้าขาของเจ้าก้าวลงพื้นเมื่อใดข้าจะดีขาของเจ้าหักไป!

คำพูดเช่นนี้หากอยู่ด้วยกันสองคนนางคงไม่เก็บมาใส่ใจ แม้แต่น้อยแต่ทว่าในยามนี้เขาดนางต่อหน้าผู้คนมากมาย นางก็รู้สึกอับอายจนอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงเขากลับไป “สารทฤดูลมพัดแรงยิ่งนัก ท่านอ๋องพูดมากเช่นนี้ระวังกัด ลิ้นตัวเองนะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบนางก็ตระหนักได้ว่าต่อหน้า ผู้คนมากมายเช่นนี้นางกลับทำให้เขาเสียหน้าเสียได้โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขากลายเป็นผู้พิการเช่นนี้ การที่ นางโต้เถียงเขากลับทำให้ผู้คนพากันเข้าใจผิดคิดว่านาง รังเกียจที่ท่านอ๋องเป็นเพียงผู้พิการไปแล้ว เมื่อเขาถูกนาง โต้กลับคงรู้สึกลำบากใจมากกระมัง แต่คำพูดของคนเมื่อ กล่าวออกไปแล้วก็ยากจะกลืนน้ำลายตัวเองกลับมาได้นาง จึงทำได้เพียงยอมขึ้นหลังข้ารับใช้หญิงรูปร่างแข็งแรงนาง หนึ่งโดยก้มศีรษะปิดบังความอับอายและละอายใจของตน

ความจริงแล้วเสียงที่นางพูดออกไปเบามากมีเพียงหลี่ เฉินเย่นและหลิวมีเหอที่ยืนอยู่ข้างๆนางเท่านั้นที่ได้ยินผู้ อื่นไม่มีทางได้ยินไปได้ความกังวลใจของนางมีความรู้สึก ผิดปะปนอยู่ด้วย ยามที่นางอยู่ในห้องบรรทมของตนเองก็ ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้นางอยากจะไปขอโทษเขาเหลือ เกิน
ใดข้าจะดีขาของเจ้าหักไป!

คำพูดเช่นนี้หากอยู่ด้วยกันสองคนนางคงไม่เก็บมาใส่ใจ แม้แต่น้อยแต่ทว่าในยามนี้เขาดนางต่อหน้าผู้คนมากมาย นางก็รู้สึกอับอายจนอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงเขากลับไป “สารทฤดูลมพัดแรงยิ่งนัก ท่านอ๋องพูดมากเช่นนี้ระวังกัด ลิ้นตัวเองนะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบนางก็ตระหนักได้ว่าต่อหน้า ผู้คนมากมายเช่นนี้นางกลับทำให้เขาเสียหน้าเสียได้โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขากลายเป็นผู้พิการเช่นนี้ การที่ นางโต้เถียงเขากลับทำให้ผู้คนพากันเข้าใจผิดคิดว่านาง รังเกียจที่ท่านอ๋องเป็นเพียงผู้พิการไปแล้ว เมื่อเขาถูกนาง โต้กลับคงรู้สึกลำบากใจมากกระมัง แต่คำพูดของคนเมื่อ กล่าวออกไปแล้วก็ยากจะกลืนน้ำลายตัวเองกลับมาได้นาง จึงทำได้เพียงยอมขึ้นหลังข้ารับใช้หญิงรูปร่างแข็งแรงนาง หนึ่งโดยก้มศีรษะปิดบังความอับอายและละอายใจของตน

ความจริงแล้วเสียงที่นางพูดออกไปเบามากมีเพียงหลี่ เฉินเย่นและหลิวมีเหอที่ยืนอยู่ข้างๆนางเท่านั้นที่ได้ยินผู้ อื่นไม่มีทางได้ยินไปได้ความกังวลใจของนางมีความรู้สึก ผิดปะปนอยู่ด้วย ยามที่นางอยู่ในห้องบรรทมของตนเองก็ ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้นางอยากจะไปขอโทษเขาเหลือ เกินไม่สงบอย่างยิ่ง นางอยากไปพบหลี่เฉินเย่นอย่างยิ่งเมื่อ หวนนึกถึงใบหน้าคมคายที่ฉายชัดถึงความไม่พอใจนางก็ อยากจะทำอะไรให้เขาบ้าง อีกทั้งที่เขาต้องกลายเป็นแบบ นี้ก็เพราะนาง

เมื่อเริ่มตกเย็นนางก็ได้มีโอกาสพบกับหมอเทวดาจูเก๋อห มิงที่เขาล่ำลือกัน เขาเดินมาเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่สาดแสงอยู่เบื้องหลังชู เซี่ยมองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา ใบหน้าของเขาและ แสงแดดที่ส่องอยู่เบื้องหลังดูคล้ายกลับรัศมีเทพอย่างไร อย่างนั้น ชูเซี่ยสามารถนิยามบุรุษผู้นี้ได้สิ้นๆก็คือ หนุ่ม หน้าหยก!

แม้จะไม่สามารถเอ่ยได้ว่ารูปงามแต่องคาพยพทั้งห้าของ เขาก็เข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ ความสูงประมาณ10เมตร และเนื่องจากเป็นคนรูปร่างผอมจึงทำให้ส่วนสูงที่สูงอยู่ แล้วดูสูงโปร่งยิ่งขึ้นไปอีก เขาสวมเสื้อสีเขียวหยกไว้บน ร่างมีถุงผ้าสีไม้ไผ่สีเขียวปักทองห้อยลงมาจากเอว เขา หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูสักพักก่อนจะเอ่ยกระซิบให้ ผู้ช่วยของเขาที่ถือกระเป๋ายาเข้ามาวางลงและไปเปิด หน้าต่าง

จากนั้นก็โค้งคำนับนาง “คาราวะพระชายาพะยะค่ะ
นางก็เอ่ยเสียงสดใสตอบกลับไป “ท่านหมอจูเก๋อหมิง!”

เขาแย้มยิ้มเป็นมารยาทก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงราบเรียบ “เฉินเย่นให้ข้ามาดูอาการของพระชายา” เขาเอ่ยเรียกหลี่ เฉินเย่นว่าเฉินเย่นเพียงคำเดียวแสดงให้เห็นถึงความใกล้ ชิดสนิทสนมของคนทั้งคู่ คงจะเป็นสหายรักกันกระมัง ทว่า เขากลับเอ่ยเรียกนางว่าพระชายา เขาก็คงพอทราบมา บ้างแล้วว่าในใจของหลี่เฉินเย่นไม่ได้ให้ความสำคัญกับ นางมากมายนาง จึงเรียกนางอย่างให้เกียรติเพียงเท่านั้น

ชูเซี่ยพยักหน้าก่อนจะยิ้มออกมา “ลำบากท่านหมอแล้ว”

จูเก๋อหมิงย่างเท้าเข้ามาหยุดตรงปลายเตียง เสี่ยวจี้ก็รีบ ร้อนหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้ให้เขานั่งก่อนที่ชายหนุ่มจะ เอ่ยขอบคุณเบาๆแล้วนั่งลง

ยังไม่ทันที่การรักษาจะได้เริ่มต้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งเข้ามา ภายในห้องก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “พี่จูเก๋อ!”

จูหมิงเก๋อไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เขาทำเพียงยิ้มออกมาน้อยๆ ถึงโหร่วเฟยแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังเรียกข้ ตออีกเล่าช่างไม่รู้มารยาทเสียจริง แม้น้ำแ เงไปด้วยการตำหนิแต่ก็มีความเอาใจใส่ ปะปนอยู่ในนั้นด้วยราวกับเล่นหยอกล้อกับน้องสาวตัวน้อย ของตนเองก็เมิปาน

ผู้มาใหม่คือโหย่วเฟยหลิวมี่เหอนั่นเอง นางกึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาหยุดอยู่ข้างกายของจูเก๋อหมิง “ข้าเรียกท่านว่าที่เช่น้ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเรียกเช่นนี้ตลอดไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ ถ้าท่าน ไม่พอใจอย่างมากก็ไม่ต้องขานรับข้าก็สิ้นเรื่อง ” หลิวมีเหอ เอาตัวยน้ำเสียงน่ารักมีชีวิตชีวา

จูเก่อหมิงสายศีรษะยิ้มๆ “เหตุใดไม่อยู่ดูแลเฉินแย็นแล่า มาทำอะไรที่นี่กัน

“ข้าเพิ่งไปคุมนางกำนัลในครัวให้ต้มน้ำแกงโสมจึงได้ยิน มาว่าท่านกลับมา เว็บมาพบท่านก่อนเจ้าค่ะ”

“อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปดูแลเฉินเผ่นก่อนเถิดอีกเดี้ยวข้า เสร็จแล้วจะตามเจ้าไปทีหลังแล้วกัน” จูเก๋อมิงว่าพลางก็ พับแขนเสื้อของตนขั้น
ข้ารอท่านไปพร้อมกันดีกว่าเจ้าค่ะ” เมื่อเล่ยจบหลีวนี่ice อก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ

จูเก่อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรกับนางอีก ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อ ครู่ของเขากลับกลายเป็นเฉยเมยก่อนจะหันมาทางสซูเชี่ย แล้วเอ่ยเสียงเรียบ พระชายาโปรดตรงขากางเกงขึ้นตัวย”

ซูเชียรับคำก่อนจะดึงกางเกงขึ้นจนมาตแผลที่ขาขอสนาย ปรากฏขึ้น เมื่อจูเก๋อหมิงเห็นมากแผลก็ถอนหาปใจอaกมา หนักๆ ยามที่เขาเดินเข้ามาภายในห้องก็เห็นทาหทางรของ นางกระปรี้กระเปร่าดีจึงคิดว่านางเป็นเพียงโรคลำออยของ เหล่าคุณหนูเท่านั้น นางอาจเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยแล้ว ไม่มีความอดทนเสียมากกว่า ทว่าเมื่อเขากลับนีกไม่ถึงม่า บาดแผลของนางจะรุนแรงและใหญ่มากถึงเพียงนี้

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้ไม่

ชูเซี่ยจึงรีบเอ่ยขึ้น ไม่ใช่เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้หมอพลวงก็ ใส่ยารักษาแผลให้ข้าบ้างแล้วทว่าไม่รู้ว่าเพราะแหตุใตเมื่อ ใส่ยาลงไปแล้วแผลกลับยิ่งเน่าเปื่อยเร็วมากขึ้น”
หลิวหยิ่งหลงเองก็เดินมาดูบาดแผลของนางก็เกิดใบหน้า เปลี่ยนสีรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา

จูเก่อหมิงสายศีรษะ “วันนี้ข้าคงต้องทำความสะอาดหนอง พวกนี้เสียก่อนอาจจะรู้สึกเจ็บบ้างพระชายาก็โปรดอดทน หน่อยนะพะยะค่ะ”

เขาให้เด็กรับใช้นำกระเป๋ายามาวางไว้ข้างกายก่อนจะ ค่อยๆหยิบกริชเล็กๆออกมาพร้อมทั้งขวดขนาดปานกลาง ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เขาเปิดฝาขวดออกจุ่มกริชลง ไปในขวดก่อนจะลนด้วยไฟจนกลายเป็นสีแดงฉาน ชูเซี่ยม องการกระทำของเขาอย่างประหลาดใจนัก อดเอ่ยถามขึ้น มาไม่ได้ ในขวดนี้คือน้ำอะไรหรือเจ้าคะ”

จูเก๋อหมิงก็เอ่ยตอบเสียงราบเรียบ ใช้สำหรับการฆ่าเชื้อ พะยะค่ะ

ดวงตากลมโตของชูเซี่ยสว่างวาบ “ฆ่าเชื้อ ท่านทำเอง หรือ”

ริมฝีปากของจูเก๋อหมิงกระตุกยิ้มเย็นชาขึ้นมา “พระชายา วางพระทัยเถิด ไม่มีพิษหรอก”
ชูเชี่ยคิดว่าเขาคงเข้าใจนางผิดไปจึงรับร้อนเลย ชาไม่

ได้…”

จูเก้อหมิงไม่คิดจะฟังคำแก้ตัวของนาง ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น มา พระชายาโปรดหันหน้าไปทางอื่นด้วยอาจจะเจ็บสัก หน่อย ข้าก็จะพยายามเบามือก็แล้วกัน จากนั้นก็สิ่งให้ เสี่ยวจีและมามาช่วยกันจับตัวนางไว้เพื่อเวลาที่นางเจ็บ ปวดจะได้ไม่ดิ้นไปมา

เสี่ยวจ๊อดร่างของชูเซี่ยไว้แน่นร่างกายนางสั่นสะท้าน ไปทั้งร่างแม้แต่นางก็ไม่กล้าหันหน้าไปมองรีบร้อนเอ่ยต่อ นายหญิงของตน พระชายาอย่ามองนะเพคะ ยิ่งมองก็จะ ยิ่งเจ็บ

ชูเชียไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณบาดแผลแม้แต่น้อย หาก ไม่ใช่เพราะร่างกายนี้นางสามารถเดินเห็นวิ่งได้อย่างอิสระ แล้วล่ะก็นางคงคิดว่าร่างกายนี้คงเป็นแค่ชากศพเป็นแน่

นางฉวยโอกาสนี้ศึกษาวิธีการรักษาจากเขามีอของเขา ลงมือได้อย่างช้านาญมองปราดเดียวก็รู้ว่าทักษะดีเลิศ กริชในมือเขาราวกับมีชีวิต เขาค่อยๆบรรจงลงมือใช้กริช พูดเบาๆบริเวณที่เป็นหนองออกช้าๆโดยม้าสีขาวผืนหนึ่ง คอยซับแผลอยู่เรื่อยๆ
เมื่อเขาเห็นว่าชูเซี่ยไม่เพียงไม่ดิ้นแม้แต่เสียงร้องด้วย ความเจ็บยังไม่มีเล็ดลอดออกมาจากปากนางแม้แต่น้อย เสียด้วยซ้ำไม่ต้องเอ่ยถึงอาการตัวสั่นที่ไม่ปรากฏออกมา ชายหนุ่มเงยหน้ามองนาง ดวงตาทั้งคู่สบประสานกัน หาก เขาจำไม่ผิดเมื่อก่อนนางเป็นโรคกลัวเลือดไม่ใช่หรือ ใน ยามนี้เลือดออกมาก็ไม่ใช่น้อยทั้งยังมีน้ำหนองปนออก มาด้วยนางกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ต่อให้นางไม่กลัวเลือดก็ เถอะ แต่บาดแผลขนาดนี้ก็ควรเจ็บมากไม่ใช่หรือ บาดแผล ขนาดนี้แม้แต่ผู้ชายร่างยักษ์อกสามศอกก็ยังต้องหลุด เสียงร้องออกมา ทว่านางกลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา เลยราวกับว่านี่เป็นขาของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น

ไม่เจ็บเลยหรือ” จูเก๋อหมิงอดไม่ได้ที่จะถามนาง

ชูเซี่ยอยากจะตอบเขาไปว่าไม่เจ็บแม้แต่น้อยทว่า บาดแผลก็ใหญ่ถึงเพียงนี้จะให้เอ่ยว่าไม่เจ็บแม้แต่น้อยก็ดู จะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก นางจึงแสร้งกัดฟันพูดออกมา “ยังพอทนได้!”

จูเก๋อหมิงเกิดความรู้สึกชื่นชมหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมา ความเจ็บปวดไม่ใช่น้อยนางกลับอดทนได้ถึงเพียงนี้ไม่ ธรรมดาจริงๆ
หลิวมีเหอขมวดคิ้ว “บาดแผลกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ท่านไม่ดื่มยาเลยหรือไร โดยทั่วไปแล้วหมอหลวงย่อม ต้องออก เทียบยาที่มีคุณภาพที่สุดแก่ท่านไม่ใช่หรือ” ใน ใจนางกลับคิดว่าชูเซี่ยจงใจให้แผลของตนเป็นเช่นนี้เพื่อ เรียกร้องความสนใจต่างหากเล่า นางเพียงใช้ร่างกายของ ตนเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากผู้อื่นต่างหาก

ชูเชียไม่ได้มองดูสีหน้านางจึงนึกไปว่าหลิวมี่เหอเป็นห่วง นางจึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้ข้าคงกินอะไร ตามใจปากไปบ้างแผลจึงอักเสบเช่นนี้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก หรอกเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นมาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

จูเก๋อหมิงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็เพียงแค่เหลือบ ตามองนางเพียงชั่วครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาขูดแผลให้นาง ต่อไปจนแผลสะอาดดีแล้วก็ค่อยๆโรยผงยาให้นางอย่าง เบามือ จากนั้นจึงเอ่ยกำชับ หลายวันมานี้พยายามอย่าให้ อะไรโดนแผลเด็ดขาด หากบาดแผลไม่ได้เจ็บปวดอะไร มากท่านก็สามารถลงเดินได้เองเพื่อให้เลือดลมเดินนั่นจะ ทำให้บาดแผลสมานได้ดียิ่งขึ้น”

ชูเซี่ยยิ้มไปจนถึงดวงตา “คำพูดนี้ท่านไปเอ่ยต่อท่านอ๋อง ด้วยเถิด”
หลิวมีเหอขมวดคิ้ว “บาดแผลกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ท่านไม่ดื่มยาเลยหรือไร โดยทั่วไปแล้วหมอหลวงย่อม ต้องออก เทียบยาที่มีคุณภาพที่สุดแก่ท่านไม่ใช่หรือ” ใน ใจนางกลับคิดว่าชูเซี่ยจงใจให้แผลของตนเป็นเช่นนี้เพื่อ เรียกร้องความสนใจต่างหากเล่า นางเพียงใช้ร่างกายของ ตนเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากผู้อื่นต่างหาก

ชูเชียไม่ได้มองดูสีหน้านางจึงนึกไปว่าหลิวมี่เหอเป็นห่วง นางจึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้ข้าคงกินอะไร ตามใจปากไปบ้างแผลจึงอักเสบเช่นนี้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก หรอกเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นมาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

จูเก๋อหมิงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็เพียงแค่เหลือบ ตามองนางเพียงชั่วครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาขูดแผลให้นาง ต่อไปจนแผลสะอาดดีแล้วก็ค่อยๆโรยผงยาให้นางอย่าง เบามือ จากนั้นจึงเอ่ยกำชับ หลายวันมานี้พยายามอย่าให้ อะไรโดนแผลเด็ดขาด หากบาดแผลไม่ได้เจ็บปวดอะไร มากท่านก็สามารถลงเดินได้เองเพื่อให้เลือดลมเดินนั่นจะ ทำให้บาดแผลสมานได้ดียิ่งขึ้น”

ชูเซี่ยยิ้มไปจนถึงดวงตา “คำพูดนี้ท่านไปเอ่ยต่อท่านอ๋อง ด้วยเถิด”
ชูเซี่ยมองสบใบหน้าของอีกฝ่าย ในประโยคแสดงความ ห่วงใยที่นางเอ่ยมาปนไปด้วยร่องรอยของความโศกเศร้า นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสื่ออะไร ขอบคุณน้องสาวที่ ห่วงใย พี่สาวจะรีบหายโดยเร็วที่สุด”

แก่งแย่งงั้นหรือ นางไม่แม้แต่จะคิดแม้ว่าความรู้สึกของ นางต่อหลี่เฉินเย่นจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม ทว่านางก็ไม่อาจ เรียกมันว่ารักได้ ต่อให้จะมีวันที่นางรักเขาได้จริง นางก็ไม่ กล้าเข้าไปทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนได้

หรอก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ